ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1273 : อาโรเดสผู้น่าสงสาร
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1273 : อาโรเดสผู้น่าสงสาร
ไคลน์ไม่ได้แวะไปหาเบ็นสันกับเมลิสซ่าเนื่องด้วยเหตุผลว่า สิ่งที่ตนต้องพัวพันนั้นมีระดับสูงเกินไป การเข้าใกล้พี่ชายกับน้องสาวรังแต่จะนำพาหายนะไปสู่อีกฝ่าย สำหรับตัวตนที่ไม่ได้สนิทสนมกับไคลน์มาก่อน ลำพังพฤติกรรมดังกล่าวก็มากพอจะทำให้กระจ่างในความสัมพันธ์ระหว่างเบ็นสัน เมลิสซ่า และไคลน์ และหากเมื่อใดที่ความสัมพันธ์ถูกล่วงรู้ พวกมันจะทราบทันทีว่าไคลน์ยังคงเป็นมนุษย์และห่วงใยครอบครัว
ดังนั้น การอยู่ให้ห่างจากเบ็นสันและเมลิสซ่า คือการแสดงความรักที่ดีที่สุดของชายหนุ่ม
แต่แน่นอน ไคลน์พอจะเข้าใจสถานการณ์ของพี่ชายกับน้องสาวตนผ่านมิสจัสติส
ระหว่างสงคราม เบ็นสันได้แสดงฝีมือและไหวพริบอันโดดเด่นภายในกระทรวงการคลัง และได้รับการเลื่อนขั้นหลายครั้งจนกลายเป็นรองอธิบดีกรมที่ห้าพร้อมด้วยค่าจ้างสามร้อยปอนด์ต่อปี
เมลิสซ่าได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ที่ปรึกษา พอร์ตแลนด์·โมมงต์และได้รับโอกาสในการเป็นผู้วิเศษ แน่นอนว่าอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์เป็นสาวกของโบสถ์จักรกลไอน้ำ และตัวมันก็เป็นผู้วิเศษ ปัจจุบันอยู่ในลำดับ 7 นักประเมิน มันต้องการให้เมลิสซ่ากลายเป็นลำดับ 9 ‘นักปราชญ์’ เพื่อพัฒนาความจำและซึมซับความรู้ จะได้มีรากฐานมั่นคงในสาขาอาชีพเครื่องกล
อันที่จริง เมลิสซ่าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ก็มิอาจเล็ดลอดสายตาของผู้ชมระดับครึ่งเทพไปได้ นอกจากนั้น ออเดรย์ยังแจ้งไคลน์ว่าเมลิสซ่ามีแนวโน้มที่จะตอบตกลง และเตรียมจะตัดสินใจในอีกไม่กี่วัน
สำหรับทัศนคติของไคลน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายหนุ่มยอมอนุญาตโดยนัย เพราะในแง่หนึ่ง สัมผัสวิญญาณของผู้วิเศษอย่าง ‘นักปราชญ์’ นั้นค่อนข้างจำกัด เมลิสซ่าจะไม่ได้เห็นหรือได้ยินในสิ่งที่ไม่ควร และในอีกแง่หนึ่ง เมื่อวันสิ้นโลกใกล้เข้ามา โอกาสที่ผู้วิเศษระดับล่างจะคลุ้มคลั่งยิ่งมีต่ำลง นอกจากนั้นยังมีผู้ชี้นำปาฏิหาริย์อย่างไคลน์ที่คอยลดความเสี่ยงในการคลุ้มคลั่ง
สำหรับแม่สาวคลั่งเครื่องจักร พลังความรู้ของลำดับ 9 นักปราชญ์ก็คงเพียงพอ… โมมงต์เองก็คงคิดแบบเดียวกัน เขาคงไม่อยากให้สาวกของเทพธิดาดื่มโอสถจากโบสถ์จักรกลไอน้ำมากนัก…
อา วันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามา บาเรียล่องหนรอบโลกอ่อนกำลังลงทุกที สัญญาณการรุกรานโลกจากเทพภายนอกคงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่คนธรรมดาจะได้พบเจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติย่อมต้องเพิ่มขึ้น จากมุมมองดังกล่าว เป็นเรื่องดีแล้วที่เมลิสซ่ากลายเป็นผู้วิเศษ หากเธอสามารถเลื่อนเป็นลำดับ 6 ‘ช่างฝีมือ’ หรือที่มีฉายาว่าเจ้าแห่งเครื่องกล ไม่เพียงเธอจะได้เติมเต็มความฝัน แต่ยังสามารถปกป้องตัวเองและเบ็นสันได้ด้วย…
คงต้องฝากให้มิสจัสติสหาโอกาสสอนเทคนิคสวมบทบาทอย่างแนบเนียน… เธอจะเติบโตไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้ว อย่างมากเราทำได้เพียงมอบความโชคดีให้เธอ… เอ่อ… อาจรวมถึงสูตรโอสถกับวัตถุดิบด้วย… ทำไมฟังดูเหมือนเราเป็นพี่ชายที่ไม่ยอมปล่อยวาง… นั่นสินะ ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว… อีกอย่าง นี่คือการช่วยเติมเต็ม ‘ความปรารถนา’ ในแง่หนึ่งไม่ใช่หรือ?
เดี๋ยวนะ… เมลิสซ่าคงต้องการชุบชีวิตให้ไคลน์ไม่ผิดแน่ ถ้าเราเดินไปปรากฏตัวต่อหน้าเธอ จะได้รับผลตอบสนองจากโอสถเป็นอย่างไร?
…เลิกคิดไปได้เลย การทำแบบนั้นมีแต่จะนำพาหายนะไปสู่เมลิสซ่ากับเบ็นสัน… ไคลน์ส่ายหน้าพร้อมกับเลิกหาข้ออ้าง
ชายหนุ่มกดหมวกทรงสูงบนศีรษะและเดินเข้าไปในโรงแรมใกล้เคียง หยิบเงินหนึ่งทองปอนด์ออกมาเปิดห้อง
นี่เป็นเหรียญจริง ไคลน์นำกลับมายังโลกความจริงได้สักพักแล้ว
ในสงครามก่อนหน้า ไคลน์ทำการบริจาคธนบัตร 14,800 ปอนด์ ทองคำแท่งมูลค่า 14,200 ปอนด์ และอัญมณีคุณภาพสูงอีกเกือบยี่สิบเม็ดผ่านมิสจัสติส หากไม่นับสินค้าบนกองขยะ ปัจจุบันชายหนุ่มจะเหลือเงินติดตัวเพียงสามสิบเก้าทองปอนด์และอัญมณีคุณภาพสูงอีกสิบเม็ด
ชำเลืองไปทางเงินทอนที่เป็นเหรียญซูลและเพนนีซึ่งเจ้าของโรงเรียนทอนกลับมา ไคลน์เก็บพวกมันเข้ากระเป๋าเสื้อ เดินเข้าไปในห้องและตรงไปยังกระจกบานใหญ่
โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มหยิบปากกาและกระดาษออกมาวาดคาถาอัญเชิญกระจกวิเศษอาโรเดส
เวลาผ่านไป แต่กลับไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเกิดขึ้น
กระจกบานยาวยังคงเงียบสงัด
ผ่านไปอีกไม่กี่วินาที ไคลน์หัวเราะในลำคอพลางเลิกคิ้ว ตามด้วยหยิบเหรียญทองออกจากกระเป๋าเสื้อ
…
ฉึกฉัก! ฉึกฉัก! ฉึกฉัก!
หัวรถจักรพลังไอน้ำพ่นควันโขมงไปตามแนวราง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของผืนทวีป
ไอคานส์เจ้าของผมเผ้ายุ่งเหยิง รวมถึงสมาชิกหน่วยจิตแห่งจักรกล พวกมันกำลังยืนอยู่ในรถม้า จดจ้องไปยังกรงเหล็กด้านหน้าด้วยใจจดจ่อ
บนกรงดังกล่าว หนามโลหะแหลมยื่นออกมาด้วยบรรยากาศอันน่าสะพรึง ส่องสะท้อนท่ามกลางแสงสลัว
“ท่านอาวุโส ไปถึงอินทิสแล้วจะกลับไปที่โลเอ็นอีกไหม” สมาชิกจิตแห่งจักรกลที่มีหน้าตาตามแบบฉบับชาวโลเอ็น มองไปยังทุ่งกว้างด้านนอกหน้าต่างที่ฉายผ่านไปอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะถาม
หลังสงครามจบลง โบสถ์จักรกลไอน้ำที่เลือกฝ่ายผิด ต้องยอมรับผลของการตัดสินใจผิดพลาดด้วยความขื่นขม ต้องย้ายผู้วิเศษทั้งหมดในระดับสูงกว่าครึ่งเทพ และสมบัติปิดผนึกที่สูงกว่าลำดับ 2 ออกจากโลเอ็นภายในเวลาที่กำหนด ตามคำสั่งของโบสถ์รัตติกาลและวายุสลาตัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันสูญเสียสถานะเดิมไปแล้ว จะเปิดทำการได้เพียงวิหารเล็กๆ ไม่กี่แห่งภายในโลเอ็นเหมือนกับโบสถ์พระแม่ธรณี
หากไม่ใช่เพราะมีสาวกเทพจักรกลไอน้ำในอาณาจักรเป็นจำนวนมาก และบางคนก็เป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยซ่อมบำรุงอาณาจักรโลเอ็นหลังสงคราม เป็นที่เชื่อกันว่าโบสถ์จักรกลไอน้ำจะไม่มีทางได้รับการบทลงโทษเพียงเท่านี้
ในทำนองเดียวกัน เมื่อวิหารน้อยลง จำนวนสมาชิกของจิตแห่งจักรกลก็ลดลงเช่นกัน ผู้วิเศษส่วนใหญ่จึงต้องย้ายจากโลเอ็นไปยังอินทิส
ไอคานส์เงียบไปสักพักก่อนจะยิ้มขื่นขม
“ในตอนแรก ผมจะปฏิบัติตามการจัดสรรของท่านอาร์ชบิชอปไปก่อน แต่ภายหลังจะหาโอกาสโยกย้ายกลับไปยังโลเอ็น เพราะที่นั่นเปี่ยมไปด้วยวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยหนุ่มของผม มีความทรงจำมากมายที่ยังไม่อยากทิ้งไป…”
ขณะกล่าว สายตาของมันมองออกไปยังที่ห่างไกล ประหนึ่งกำลังจดจ้องมหานครแห่งนคร เมืองหลวงแห่งเมืองหลวง
ทันใดนั้นเอง กรงเหล็กที่มีหนามแหลมพลันสั่นสะเทือน
เส้นสายฟ้าสีเงินสว่างจำนวนมากผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่าและผ่าลงมา แต่ทั้งหมดก็ถูกดูดซับไว้โดยกรงโลหะ ไหลผ่านลวดจำนวนหนึ่งที่หุ้มด้วยฉนวนไฟฟ้า ออกไปยังพื้นดินด้านนอกรถไฟจนเกิดแสงประกาย
ตึง! ตึง! ตึง!
กรงเหล็กคล้ายกับถูกมือล่องหนทุบตี แต่ก็มิอาจทำลายบาเรียคุ้มกัน
“กระจกวิเศษมีการตอบสนองที่รุนแรงมาก… ทั้งที่เมื่อก่อนมันสงบเสงี่ยมมาตลอด” สมาชิกของจิตแห่งจักรกลคนเดิมกล่าวด้วยสีหน้างุนงง
ท่ามกลางเสียงอึกทึก ไอคานส์สัมผัสไรผม
“ไม่ได้สงบขนาดนั้น บางครั้งมันก็แสดงด้านที่บ้าคลั่ง หากไม่มีอาการดังกล่าว พวกเราจะมองว่ามันเป็นแค่สมบัติปิดผนึกระดับ 2”
“อย่างนี้นี่เอง หึหึ ผมไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน ก็เลยไม่ทราบ… ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่ดูเหมือนว่ากระจกวิเศษจะไม่ต้องการไปจากเบ็คลันด์” สมาชิกของจิตแห่งจักรกลกล่าวพลางยิ้ม
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดลงมาทีละเส้น แต่ก็ดูดกรงเหล็กดูดซับไว้
ตึง! ตึง! ตึง! เสียงกระแทกค่อยๆ ดังขึ้น ประหนึ่งเป็นเสียงคร่ำครวญสุดท้ายแสนอ่อนแอ
ไอคานส์หยิบนาฬิกาพกที่ค่อนข้างเก่าออกมาเปิดฝา…ไอลีนโนเวล
“เจ้านั่นอาละวาดแค่สองนาที ดีกว่าตอนเช้ามาก”
ขณะสมาชิกของจิตแห่งจักรกลที่เพิ่งย้ายมาใหม่เตรียมถาม มันพบว่าเสียงทุบกระแทกเงียบลงกะทันหัน ประหนึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่มิอาจต้านทาน
“กระจกวิเศษมักเป็นแบบนี้เสมอเลยหรือ?” มันถาม
ไอคานส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ก็ไม่เชิง… ตามปรกติแล้ว มันจะอาละวาดไม่เกินยี่สิบถึงสามสิบวินาทีต่อครั้ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งผิดปรกติ…”
“ท่านอาวุโสไม่ต้องกังวล บนรถไฟมีคนใหญ่คนโตโดยสารมาด้วย ตำแหน่งสูงกว่าท่านอาร์ชบิชอปเสียอีก” สมาชิกจิตแห่งจักรกลด้านข้างพูดสร้างความมั่นใจด้วยเสียงเรียบ
บนรถไฟลำนี้มีสมบัติปิดผนึกอันตรายอยู่มากเกินไป หากไม่มียอดฝีมือมาคอยดูแล โอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันย่อมมีสูง
ไอคานส์พยักหน้า เป็นนัยว่าไม่กังวล
บนถนนในชานเมืองที่ห่างจากรถไฟลำดังกล่าวราวสิบกิโลเมตร ไคลน์ซึ่งกำลังนั่งบนรถม้าที่ตนเสกขึ้น จ้องมองกระจกเงาตรงหน้า
เมื่อวาดสัญลักษณ์ที่ผสมผสานระหว่างการ ‘ปกปิด’ และ ‘ส่องความลับ’ เสร็จ แสงสว่างพลันปรากฏขึ้นบนกระจก ข้อความภาษาโลเอ็นสีทองบรรจงเรียงตัวทีละหนึ่ง
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดท่านก็มาถึง! อาโรเดส ทาสรับใช้ผู้ต่ำต้อย ซื่อสัตย์ และน่าสงสารของท่านคิดถึงท่านมาก!”
หือ… เมื่อต้องเผชิญความกระตือรือร้นที่เหนือความคาดหมาย ไคลน์ผงะเล็กน้อยจนยากจะสังเกตเห็น
หากพฤติกรรมเมื่อครู่ของกระจกวิเศษอาโรเดสยังหลงเหลือความเคร่งขรึมอยู่บ้าง ไคลน์คงมองว่าอีกฝ่ายต้องการประจบสอพลอ แต่เมื่อครู่ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่คล้ายการร่ำไห้อย่างเลือนราง
“ในทรีอาร์เต็มไปข่าวชู้สาว อัตราส่วนสูงลิบชนิดที่เบ็คลันด์เทียบไม่ติด เจ้าน่าจะชอบไม่ใช่หรือ” ไคลน์เย้าแหย่อาโรเดสด้วยรอยยิ้ม
“นั่นเพราะนายท่านไม่ต้องการไปอยู่ทรีอาร์” ตัวอักษรสีทองบนผิวกระจกจางลงและกลายเป็นสีเงินซีด
ไคลน์ส่ายหน้าเล็กน้อย
“เรามีเรื่องอยากถามเจ้า”
“ได้โปรดถาม” อาโรเดสตอบอย่างถ่อมตน
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าพระแม่ธรณีเป็นใคร” ไคลน์เข้าประเด็นทันที
แสงบนกระจกทึบลงทันใด ตัวหนังสือสีเงินถูกย้อมเป็นสีขาวซีด
“ข้าเองก็ไม่ทราบ… แต่ในศึกระหว่างทวยเทพ ข้าได้ยินเสียงเรียกชื่อจากภายใน ‘สวรรค์มืด’ … เป็นชื่อจริงของต้นตระกูลผีดูดเลือด”
กระจกวิเศษไม่กล้าเอ่ยนามลิลิธโดยตรง
ลิลิธ? เป็นลิลิธนี่เอง… ไคลน์ผงะในตอนต้น ก่อนจะพบว่าคำตอบดังกล่าวอธิบายความคาใจของตนได้มากมาย
จากนั้น ชายหนุ่มหวนนึกถึงเดอะมูนเอ็มลิน
แวมไพร์รายนี้เดินวนเป็นวงกลม เผชิญเหตุการณ์มากมายจนตั้งคำถามกับตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่า แท้จริงแล้วเขาไม่เคยเปลี่ยนความเชื่อ…
หากเอ็มลินมีนิสัยเหมือนแอนเดอร์สัน หมอนั่นคงพูดกับเจ้าชายและมาร์ควิสผีดูดเลือดว่า: โย่! พวกนายก็สาวกพระแม่ธรณีเหมือนกันสินะ… ไคลน์ที่จินตนาการฉากสุดฮาในใจ กล่าวกับกระจกวิเศษอาโรเดส:
“ตาเจ้าถาม”
“นายท่านเชิญถามต่อได้ ไว้ข้าค่อยถามทีเดียวในตอนสุดท้าย” ตัวอักษรสีขาวซีดเปลี่ยนกลับไปเป็นสีเงิน
ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“สถานการณ์โลกตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง? ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์ในฟุซัค”
…………………………………….