ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1326 : ‘มิสซา’ ประสบความสำเร็จ
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1326 : ‘มิสซา’ ประสบความสำเร็จ
เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล บัลเดอร์ยกมือเห็นพ้องทันที ไม่มีเจตนาจะคัดค้านบอนน์
ตัวมันเองก็คอยสวดวิงวอนนานกว่าหนึ่งนาทีในทุกเช้าและก่อนเข้านอน คอยขอบคุณเดอะฟูลผู้นำพาแสงแดด อาหารอร่อย และชีวิตที่ปราศจากความแร้นแค้นสิ้นหวังมาให้
“ตกลง ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปเตรียมวัตถุดิบของวันนี้ก่อน” บัลเดอร์หันไปผงกศีรษะให้บอนน์ด้วยรอยยิ้ม
ถัดมาไม่กี่วินาที มันถือถุงวัตถุดิบหลายชนิดเดินเข้าไปในครัว เป็นปริมาณที่มากประหนึ่งกำลังหอบผ้าม่านหลายม้วน
ในเวลาเดียวกัน บอนน์หาเก้าอี้นั่งสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล
“ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ข้าขอวิงวอนต่อท่าน ปรารถนาให้ท่านช่วยขจัดความพิการบนตัวข้า…”
ถ้อยคำแบบเดียวกันถูกเปล่งออกมาแทบจะพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นในวิหารบนถนนฟิลลิปส์ หลากหลายสถานที่ในบายัม ในเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่และเมืองจันทราในป่า ทุกเสียงดังซ้อนทับกังวาน
ซิน รุส และคนอื่นๆ ซึ่งรู้สึกว่าตนต่ำต้อย พอจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่า มิสเตอร์ฟูลพร้อมแล้วที่จะทำให้ความปรารถนาดังกล่าวเป็นจริง จึงอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขณะสวดวิงวอน
พวกมันอยากเป็นเหมือนคนปรกติ
อยากเห็นบายัมที่คึกคักและเจริญรุ่งเรือง อยากกินปลาย่างสูตรเด็ด อยากเห็นโรงงานลูกกวาด อยากกินอาหารท้องถิ่น และอยากใช้ชีวิตเพื่อดื่มกิน พูดคุย ร้องเพลง และเต้นรำเหมือนคนทั่วไป
เหนือม่านหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ เดอะฟูลไคลน์ซึ่งกำลังนั่งชิดกับโต๊ะทองแดงยาว มองเห็นจุดแสงบริสุทธิ์ทยอยสว่างขึ้นทีละดวง บรรจงก่อตัวกลายเป็นทางช้างเผือกขนาดใหญ่ซึ่งหมุนรอบตัวเองอย่างเชื่องช้าเบื้องหน้า
เสียงสวดวิงวอนปริมาณมหาศาลดังซ้อนทับภายในปราสาทต้นกำเนิดจนกลายเป็นระลอกคลื่น
ไคลน์หลับตาลง ยกมือขวาขึ้นพลางถอนหายใจยาว งอนิ้วเคาะลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ
ท่ามกลางเสียง ‘กึก’ คลื่นพลังล่องหนแผ่ออกไปทุกทิศในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำกระเพื่อม พรั่งพรูเข้าไปในจุดแสงแห่งการสวดวิงวอนทั้งหมดพร้อมกับอาบลงบนร่างชาวเมืองจันทรา
ซินสัมผัสถึงบางสิ่งกะทันหัน จึงยกมือขึ้นและลูบลงบนกึ่งกลางใบหน้า
เธอรู้สึกถึงจมูก
ซินทำตามสัญชาตญาณ ลูบไล้บริเวณดังกล่าวหลายครั้งก่อนจะยืนยันว่าเธอมีจมูกแล้วจริงๆ มิได้เป็นคนพิการอีกต่อไป
หญิงสาวหลับตาลง ก้มศีรษะต่ำ แนบหน้าผากชิดพื้น กล่าวสรรเสริญเดอะฟูลอย่างมิอาจควบคุม
รอบตัวเธอเต็มไปด้วยถ้อยคำสรรเสริญที่คล้ายคลึงกัน เสียงค่อยๆ ดังขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น
ดวงตาซึ่งเคยแนบชิดของรุสแยกออกจากกัน ดวงตาของบอนน์กลับไปสมมาตร ชาวเมืองจันทราทุกคนที่เคยพิการและน่ารังเกียจ สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมและกลับไปเป็นคนปรกติ
ทันใดนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นมุมใดของเมืองจันทราใหม่ เมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ หรือบายัม ทุกคนต่างได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นโดยพร้อมเพรียง
“ก๊อง!”
ระฆังอันไพเราะราวกับเสียงสวรรค์ ดังกังวานภายในหัวใจทุกคนที่ได้สดับ มอบความรู้สึกประหนึ่งจิตใจถูกชะล้าง และนำสัมผัสที่แท้จริงมาสู่ชีวิตของตน
ในที่สุด ซิน รุส และคนอื่นๆ ต่างกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว พลางตระหนักได้ว่าร่างกายและจิตใจของพวกมันกำลังสงบ ปราศจากมลทินโดยสิ้นเชิง
ทุกคนเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณและมองไปยังทิศทางของเสียงระฆัง พบว่าต้นกำเนิดเสียงดังมาจากด้านนอกเมืองจันทราใหม่ แต่ไม่แน่ใจว่าอยู่ห่างจากเมืองมากแค่ไหน
ปาฏิหาริย์… ความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในจิตใจชาวเมืองจันทราโดยพร้อมเพรียง
ณ เมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ซึ่งเชื่อมต่อกับเมืองจันทราด้วยถนน ฮอยต์·เฌอมงต์และคนอื่นๆ ต่างหันไปมองยังทิศทางของเมืองบายัม
ต้นเสียงของระฆังดังมาจากที่นั่น
“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!” พวกมันพึมพำแทบจะในเวลาเดียวกัน เลื่อนฝ่ามือขวามาไว้บนอกซ้าย
ภายในเมืองบายัม บอนน์และบัลเดอร์สวมกอดกันทั้งน้ำตา พลางหันหน้าไปทางถนนฟิลลิปส์ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งวิหารเดอะฟูล ดื่มด่ำไปกับเสียงสะท้อนของระฆังสวรรค์ซึ่งดังกังวาน
เหนือสายหมอกสีเทา เดอะฟูลไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจและมึนงง
เสียงระฆังไม่มีในแผนการของชายหนุ่ม
มันรีบเพ่งความสนใจไปยังวิหารเดอะฟูล อาคารหมายเลข 16 บนถนนฟิลลิปส์ทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผ่านจุดแสงสวดวิงวอน ไคลน์เห็นหอระฆังสูงเหนือวิหาร เห็นชายหนุ่มซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำทรงโบราณ กำลังยืนบนยอดหอระฆัง
ชายคนเดียวกันกำลังถือค้อนสีดำ ตีระฆังใหญ่หนแล้วหนเล่า
ทันใดนั้น ชายหนุ่มชะงักการกระทำพร้อมกับเงยหน้าขึ้น ขยับกรอบแว่นผลึกขาเดียวบนตาขวา ราวกับตระหนักได้ถึงการจ้องมองจากมุมสูง
รอยยิ้มของมันกว้างยิ่งกว่าเก่า
“…” ไคลน์เกือบหลุดสาปแช่งด้วยคำสบถหยาบคาย
ดวงตาชายหนุ่มมิอาจเก็บซ่อนความสงสัย และไม่เข้าใจว่าเหตุใด ‘เทวทูตกาลเวลา’ อามุนด์ถึงปรากฏตัวเพื่อสั่นระฆังวิหารอย่างขะมักเขม้น
สำหรับการมาเยือนของอามุนด์และซาราธ ไคลน์เตรียมใจไว้นานแล้ว เพราะชาวเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทรามีจำนวนมากเกินกว่าจะปกปิดเป็นความลับจากโลกภายนอก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตัวตนของเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทราจะถูกล่วงรู้โดยโบสถ์หลักและองค์กรลับอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่ศาสนาในเชิงลับหรืออย่างเปิดเผย ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร ไคลน์จึงยอมอนุญาตให้เมืองเงินพิสุทธิ์เผยแผ่ศาสนาเดอะฟูลอย่างอิสระ เพื่อเตรียมสร้างหลักยึดเหนี่ยวสำหรับเลื่อนเป็นลำดับ 1
จากเหตุผลข้างต้น ไคลน์เตรียมตัวเผชิญหน้ากับซาราธ อามุนด์ และศัตรูซ่อนเร้นทุกคนที่อาจแฝงตัวเข้ามาในบายัม และหวังว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในสักวัน
หากเป็นที่นี่ ไคลน์บนปราสาทต้นกำเนิดซึ่งมีระดับตัวตนและอำนาจทัดเทียมราชาเทวทูต สามารถใช้ความเป็น ‘เจ้าถิ่น’ จัดการกับศัตรูได้อย่างเต็มกำลัง นอกจากนั้น เมืองเงินพิสุทธิ์ยังมีสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ซึ่งสามารถยับยั้งอามุนด์และซาราธได้โดยสมบูรณ์
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ร่างต้นบังเอิญเผชิญหน้ากับศัตรูโดยไม่ทันตั้งตัว หรือการถูกค้นพบเมืองหุ่นเชิดเข้าโดยบังเอิญ การปล่อยให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถิ่นของเดอะฟูล คือทางเลือกที่ดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ดี พฤติกรรมในปัจจุบันของอามุนด์ทำให้ไคลน์ฉงนหนัก ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ‘เทพแห่งการหลอกลวง’ กำลังประสงค์สิ่งใด.ไอลีนโนเวล.
…
16 ถนนฟิลลิปส์ ภายในวิหารเดอะฟูล
อาร์ชบิชอปประจำวิหาร เดอร์ริค·เบเกอร์ หนึ่งในหกสภาอาวุโสแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ กำลังแหงนหน้ามองกระจกสีด้านบนวิหารด้วยความประหลาดใจ
แสงแดดส่องเข้ามาจากที่นั่น ช่วยให้เดอร์ริคมองเห็นสถานการณ์ภายนอก:
ค้อนสีดำที่ใช้ตีระฆังถูกวางลง เสียงก้องกังวานของระฆังทยอยเงียบลง
เราไม่ได้สั่งให้ใครไปตีระฆัง… เดอร์ริคขมวดคิ้ว
ในฐานะหกสภาอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์และครึ่งเทพเส้นทางสุริยัน สัมผัสวิญญาณของมันย่อมเฉียบคม จึงสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากล
อย่างไรก็ดี เสียงระฆังซึ่งดังผิดไปจากแผน กลับมิได้สร้างความเสียหายใดให้บริเวณใกล้เคียง ทุกสิ่งยังคงเป็นปรกติยกเว้นเสียงระฆังที่ดังขึ้น
เดอร์ริคอาศัยพลังของผู้เจิดจรัสตรวจสอบสภาพแวดล้อมทันที ขณะเดียวกันก็ไตร่ตรองว่าเสียงระฆังมีความหมายใดในศาสตร์เร้นลับหรือไม่
หลังจากทยอยตัดความเป็นไปได้ทิ้ง เด็กหนุ่มหวนนึกถึงพระคัมภีร์ของเดอะฟูลที่เมืองเงินพิสุทธิ์แต่งขึ้น
มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่นระฆัง!
เป็นเนื้อหาซึ่งอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเทวทูตกาลเวลาอามุนด์ กับเดอะฟูล เพื่อยกระดับสถานะของอีกฝ่าย
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เดอร์ริคคัดค้านการเขียนเนื้อหาดังกล่าว เพราะมันทราบดีว่าผู้เย้ยเทพอามุนด์มิใช่ข้ารับใช้ของเดอะฟูล ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายมิได้กลมเกลียว หากแต่อยู่ในรูปแบบของศัตรู
ทว่า คำโกหกของเดอร์ริคในอดีตได้กลายมาเป็นปัญหา สภาอาวุโสคนอื่นปักใจเชื่อว่าเทวทูตกาลเวลาอามุนด์คือผู้ได้รับมอบหมายจากเดอะฟูลให้มาเผยแผ่พระกรุณาแด่ทุกคนบนดินแดนเทพทอดทิ้ง เพราะ ‘ปรสิต’ ที่สิ่งสู่เดอร์ริคในคราวนั้นคือตัวจุดชนวนความหวังของทุกสิ่ง
เดอร์ริคอยากอธิบายความจริง แต่มันก็รู้สึกอับอายเกินกว่าจะยอมรับว่า ในอดีตตนเคยโกหกไว้มากมายเพียงใด และนั่นจะทำให้สูญเสียภาพในสายตาชาวเมืองเงินพิสุทธิ์และหกสภาอาวุโส เฉกเช่นคำที่จัสติสเคยกล่าวไว้ ความตายทางสังคม
ในท้ายที่สุด เด็กหนุ่มปล่อยเรื่องนี้เลยตามเลย โดยคิดว่าอีกเดี๋ยวมิสเตอร์ฟูลก็คงได้อ่านพระคัมภีร์ หากมีเนื้อหาส่วนใดไม่เหมาะสม พระองค์ก็จะส่งวิวรณ์มาแจ้งให้แก้ไขเอง
แต่กลับต้องผิดคาด มิสเตอร์ฟูลมิได้แสดงความเห็นใด และอนุญาตให้เมืองเงินพิสุทธิ์ใช้คัมภีร์นี้ได้
อามุนด์เป็นคนตีระฆัง? เดอร์ริคมึนงงไปสักพัก ยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
เด็กหนุ่มรีบก้มศีรษะลง เริ่มสวดวิงวอนเพื่อรายงานให้มิสเตอร์ฟูลทราบ
…
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในปราสาทต้นกำเนิด
ยังไม่ทันที่ไคลน์จะกำจัดอามุนด์ ร่างอีกฝ่ายได้โปร่งใสและเลือนหายไปจากหอระฆัง
หมอนั่นต้องการอะไรกันแน่? ถ้าพ่อของเขาเป็นมหาจักรพรรดิ มิใช่เทพสุริยันบรรพกาล การตีระฆังอาจหมายถึงการแช่งให้ตาย… ไคลน์รีบตรวจสอบว่ามีปรสิตแฝงตัวอยู่ในชาวเมืองเงินพิสุทธิ์กับจันทราหรือไม่ พลางวิเคราะห์พฤติกรรมของอามุนด์อย่างเคร่งเครียด
ขณะเตรียมใช้พลังทำนายเพื่อค้นหาเบาะแส คำสวดวิงวอนของเดอะซันเดอร์ริคถูกส่งมาถึงพอดี
“…พระคัมภีร์? พระคัมภีร์มีอะไร?” มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบา ก่อนจะเรียกพระคัมภีร์ซึ่งชาวเมืองเงินพิสุทธิ์สังเวยให้ ออกจากกองขยะ
ก่อนหน้านี้ มันมีโอกาสได้อ่านเพียงไม่กี่หน้า เพราะทนความอับอายไม่ไหว แทบอยากจะใช้ใบหน้าแทรกแผ่นดินหนี
แต่แน่นอน ชายหนุ่มมิได้ประมาท ยังมีการใช้พลังทำนายบนปราสาทต้นกำเนิดเพื่อยืนยันว่า เนื้อหาของพระคัมภีร์จะไม่นำอันตรายมาสู่ตน
ด้วยเหตุผลข้างต้น มันจึงอนุญาตโดยนัยให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ใช้พระคัมภีร์ดังกล่าวได้ตามสะดวก
หายใจเข้าออกเล็กน้อย ไคลน์เหยียดมือขวาพลางพลิกพระคัมภีร์อ่านทีละหน้า
กล้ามเนื้อใบหน้าชายหนุ่มกระตุกแผ่วเบาเป็นจังหวะ มุมปากยกขึ้นอย่างมิอาจควบคุม
ไคลน์เร่งการพลิกหน้าให้เร็วขึ้น จนกระทั่งมาถึงหน้าสุดท้าย
แปะ!
ไคลน์ปิดพระคัมภีร์แห่งเดอะฟูลและโยนกลับเข้ากองขยะ
หลังจากเกิดปาฏิหาริย์กับชาวเมืองจันทรา โอสถของเราถูกย่อยเกือบหมดแล้ว… ได้เวลานำเมืองหุ่นเชิดเข้าสู่เวทีแห่งประวัติศาสตร์… ไคลน์สำรวจสภาพตัวเองด้วยหน้าเฉยเมย ผงกศีรษะแผ่วเบา
เนื่องจากเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดในระดับหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มสามารถรับ ‘ความคืบหน้า’ ของโอสถได้จากที่นี่โดยตรง
…………………………………