ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1327 : สามตัวเลือก
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1327 : สามตัวเลือก
สำหรับเมืองหุ่นเชิด ไคลน์วางแผนสร้างไว้นานแล้ว และตกผลึกได้ออกมาเป็นสามแผนหลัก
หากไม่คำนึงว่าจะถูกแทรกแซงจากภายนอก ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการสร้างเมืองไว้ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งบนทวีปเหนือ ดลบันดาลให้เมืองหุ่นเชิดถือกำเนิดในชั่วข้ามคืน และเชื่อมต่อกับเมืองข้างเคียงผ่านรางรถไฟ แม่น้ำ และถนนหลวง
ด้วยวิธีดังกล่าว ผู้คนจำนวนมากจะหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหุ่นเชิดทุกวัน เกิดเป็นปฏิสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับโลกภายนอก ในแง่หนึ่ง เมืองเล็กซึ่งไม่มีหมู่บ้านรายล้อม จะต้องซื้อธัญพืช เกลือ ผ้า สินแร่ และน้ำตาลทรายเข้าเมือง โดยในทางกลับกัน เมืองดังกล่าวก็จะมีผลผลิตเป็นของตัวเองและสามารถค้าขายกับเมืองเล็ก เมืองใหญ่ และหมู่บ้านโดยรอบ ในกรณีนี้ จำนวนของนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว และผู้คนกลุ่มอื่นๆ จะเดินทางผ่านเข้าออกตลอดเวลา ส่งผลให้มีปฏิสัมพันธ์กับหุ่นเชิดอย่างเข้มข้น
เมื่อมีปฏิสัมพันธ์ที่เข้มข้น ใช้เวลาเพียงไม่นาน เมืองหุ่นเชิดดังกล่าวก็จะถือกำเนิดขึ้นบนโลกวิญญาณในตำแหน่งที่สอดคล้องกัน และเมื่อชะตากรรมของชาวเมืองมีความสมจริงถึงขีดสุด ไคลน์ก็จะดื่มโอสถเพื่อเลื่อนเป็นลำดับ 1 บริวารเร้นลับ
อาจใช้เวลาราวสามเดิน บวกลบอีกเล็กน้อย
แต่ปัญหาคือ เมืองลักษณะนี้จะมิอาจเก็บเป็นความลับ
สำหรับโลกยุคปัจจุบัน การซุกซ่อนเมืองเมืองหนึ่งไว้ในอาณาจักรไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านไปสักพัก เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ และนักข่าวก็จะเดินทางมาสืบสวนหาความจริง ยิ่งข่าวพัดกระพือออกไป ผู้คนก็ยิ่งรู้จักเมืองดังกล่าวมากขึ้น และเป็นปัญหาที่มิอาจแก้ไขได้ด้วยมายากลลวงตา เว้นเสียแต่ว่า เมืองหุ่นเชิดของไคลน์จะไม่สร้างปฏิสัมพันธ์กับเมืองรอบข้าง หรือมีเพียงน้อยนิด ซึ่งนั่นก็จะขัดต่อเงื่อนไขของพิธีกรรม
เมื่อข่าวเกี่ยวกับเมืองหุ่นเชิดแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ไคลน์ย่อมต้องตกเป็นเป้าหมายของศัตรูอย่างซาราธหรืออามุนด์ เมื่อถึงตอนนั้น ความพยายามในการทำลายเมืองของอีกฝ่าย ย่อมง่ายกว่าความพยายามในการปกป้องเมืองของไคลน์ ชายหนุ่มทำได้เพียงอพยพหุ่นเชิดออกมาและยอมสูญเสีย ‘ปฏิสัมพันธ์’ ที่สั่งสมมาทั้งหมด เฉกเช่นที่เคยเกิดกับหมาป่าอสูรทมิฬ
ดังนั้น ไคลน์จึงทำเพียงแค่คิด แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ เว้นเสียแต่จะมี ‘นักสร้างฝัน’ เต็มใจช่วยเหลือ ดลบันดาลให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนทวีปเหนือใต้ยอมรับว่าเมืองดังกล่าวมีตัวตนมานานแล้วอย่างสมเหตุสมผล ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นกะทันหัน
เมื่อพิจารณาถึงอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก รวมถึงพลังของตัวเอง ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดของไคลน์จึงเป็นการสร้างเมืองหุ่นเชิดบนเกาะร้างซึ่งอยู่ห่างจากเส้นทางเดินเรือปลอดภัย ทุกทางเข้าออกปิดตายมิดชิด และปกคลุมด้วยพลังต่อต้านการทำนายและพยากรณ์ของปราสาทต้นกำเนิด
ขณะเดียวกัน ไคลน์จะใช้ ‘ม่าน’ เพื่อ ‘ปลูกถ่าย’ จุดหนึ่งของถนน แม่น้ำ และทางรถไฟภายในเมืองหุ่นเชิดกับโลกภายนอก ส่งผลให้มีคนหลงทางเข้ามาเป็นครั้งคราว
การทำเช่นนี้แม้จะมิอาจเก็บงำเป็นความลับได้โดยสมบูรณ์ แต่เมื่อ ‘เหตุการณ์ประหลาด’ แพร่กระจายเป็นวงกว้างจนดึงดูดความสนใจจากซาราธและอามุนด์ ไคลน์สามารถยกเลิกการ ‘ปลูกถ่าย’ เดิมและสร้าง ‘ทางเข้าใหม่’ อย่างง่ายดาย
ด้วยแผนดังกล่าว มีเพียง ‘ทางเข้า’ เท่านั้นที่จะถูกเปลี่ยน ไม่ใช่ทั้งเมืองหุ่นเชิด ส่งผลให้ค่า ‘ปฏิสัมพันธ์’ ที่สั่งสมไว้ในโลกวิญญาณยังคงสภาพเดิมโดยไม่ถูกขัดจังหวะ และพิธีกรรมยังสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง
แน่นอนว่า วิธีนี้มาพร้อมปัญหาสำคัญที่มิอาจเลี่ยง นั่นคือปริมาณของ ‘ปฏิสัมพันธ์’ จะมีจำกัด เป็นการยากที่จะสร้างผลกระทบต่อชีวิตประจำวันได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังมีความถี่ต่ำ
หากเลือกแผนนี้ ไคลน์อาจต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งปีเพื่อให้พิธีกรรมลุล่วง
แต่ถ้าต้องการทำให้มั่นใจที่สุด ด้วยการรอให้หุ่นเชิดทุกตัวมีชะตากรรมที่สมบูรณ์จนถึงจุดจบของตัวเอง ไคลน์อาจต้องใช้เวลามากกว่าห้าสิบปี อย่างไรก็ดี เงื่อนไขดังกล่าวมีทางลัด นั่นคือ หลังจากบรรลุเงื่อนไขพื้นฐานของโลกวิญญาณ ไคลน์จะกำหนดให้หุ่นเชิดทุกตัวตายจากเหตุอุกกาบาตถล่มเมือง หรือไม่ก็แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด นั่นเป็นชะตากรรมที่เกิดขึ้นได้จริงและสมเหตุสมผล
ระหว่างตัวเลือกที่สุดโต่งทั้งสองทาง แผนที่สามของไคลน์คือการเดินทางสายกลาง
นั่นก็คือ สร้างเมืองหุ่นเชิดขึ้นมาแทนที่เมืองเดิมซึ่งมีอยู่จริง และสร้างหุ่นเชิดทุกตัวเลียนแบบชาวเมืองทีละคน หากชั่วร้ายสักนิด ก็ทำลายเมืองดังกล่าวให้ราบเป็นหน้ากลอง และแทนที่ด้วยเมืองหุ่นเชิดของตน แต่ถ้ายังจิตใจดีมีเมตตา ก็ทำเพียงซ่อนเมืองนั้นจากโลกภายนอกและคอยจัดหาอาหารให้อย่างเพียงพอ – เหตุผลที่ไม่เปลี่ยนเมืองดังกล่าวให้กลายเป็นเมืองหุ่นเชิดโดยตรง เพราะนั่นเป็นสถานที่ซึ่งมีตัวตนจริงบนโลกวิญญาณอยู่แล้ว ไม่ใช่การสร้างขึ้นมาใหม่ตามเงื่อนไขของพิธีกรรม
หากอาศัย ‘ม่าน’ ซึ่งมีส่วนประกอบของตะกอนพลัง ‘บริวารเร้นลับ’ ไคลน์ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก: ‘ปลูกถ่าย’ สภาวะในช่วงเวลาหนึ่งของเมืองเป้าหมาย ลงบนเมืองหุ่นเชิดของตัวเอง
ด้วยวิธีดังกล่าว เมืองหุ่นเชิดของไคลน์จะมีลักษณะคล้ายกับด้านมืดของเมืองเป้าหมาย บุคคลภายนอกที่มาเยี่ยมเยียนเมืองในช่วงเวลาหนึ่ง จะมีปฏิสัมพันธ์กับหุ่นเชิดแทนคนจริง และเมื่อเวลาผ่านไป พวกมันก็จะกลับไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริงตามเดิม
ระหว่างนั้น ไคลน์จะสร้างหุ่นเชิดในบทบาท ‘คนนอก’ เพื่อคอยรักษาปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหุ่นเชิด ให้เกิดกับเมืองเป้าหมายไปพร้อมกันอย่างไร้รอยต่อ เป็นการสร้างโลกความจริงแบบคู่ขนาน.Aileen-novel.
กล่าวคือ ในบางช่วงเวลาจะเกิด ‘เมืองคู่ขนาน’ ขึ้น โดยชะตากรรมของทั้งสองฝั่งจะดำเนินไปเกือบพร้อมกันอย่างแนบเนียน ไม่มีใครตรวจพบความผิดปรกติ มีเพียงบางครั้งเมื่อถูกสลับกลับไปเป็นตามเดิม ความเข้าใจของ ‘คนจริง’ บางส่วนอาจคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็มิได้ร้ายแรงหรือสลักสำคัญ สามารถปล่อยผ่านไปได้
ค่อนข้างสอดคล้องกับคุณสมบัติของ ‘บริเวณเร้นลับ’ ซึ่งมีอำนาจในขอบเขต ‘การปกปิด’ ระดับหนึ่ง
แน่นอนว่า แผนดังกล่าวก็มีปัญหาเช่นกัน ชะตากรรมของหุ่นเชิดจะเหมือนกับชะตากรรมของ ‘คนจริง’ ที่มันเลียนแบบมากเกินไป และเมื่อปราศจากจุดแตกต่างที่ชัดเจน ผลลัพธ์ของพิธีกรรมอาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ
กึกกึก ไคลน์ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว ลังเลระหว่างวิธีที่สองและสาม
ผ่านไปหลายนาที ชายหนุ่มทำตามหัวใจและเลือกทางที่สอง ยอมใช้เวลานานขึ้นโดยไม่กระทบกับชะตากรรมของผู้บริสุทธิ์
ในอดีต ซาราธกับอันทีโกนัสคงเลือกแผนที่สาม… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เตรียมส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
ทันใดนั้น สายตาชายหนุ่มชำเลืองไปทางกองขยะอีกครั้ง ใคร่ครวญว่าจะส่งวิวรณ์ไปแจ้งให้เมืองเงินพิสุทธิ์เปลี่ยนเนื้อหาในพระคัมภีร์ดีหรือไม่
สำหรับเทพ พระคัมภีร์มิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด ประโยชน์สูงสุดคือการช่วยให้สาวกเทศนาได้ง่ายขึ้นและเพิ่มจำนวนหลักยึดเหนี่ยว
ในประเด็นดังกล่าว ไคลน์มั่นใจมาก เพราะเคยศึกษาพระคัมภีร์ ‘วิวรณ์แห่งรัตติกาล’ กับ ‘คัมภีร์วายุสลาตัน’ จนจับใจความได้ว่า:
เนื้อหาหลักจะเป็นการยกย่องเทพจารีต โอ้อวดสรรพคุณ และแสดงความเมตตากรุณาไปพร้อมกับการเห็นอกเห็นใจ
ต้องไม่ลืมว่าในสมัยอดีตกาล เหล่าทวยเทพเคยเผชิญปัญหาหลังจากปล่อยให้เหล่าสาวกเห็น ‘รูปลักษณ์’ ที่แท้จริงของพวกตน จึงมีการเปลี่ยนมาใช้ ‘ตราศักดิ์สิทธิ์’ แทนเทวรูปในภายหลัง จนปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยก็อยู่ในระดับที่ เทพธิดารัตติกาล วายุสลาตัน และทวยเทพที่เหลือ กล้าประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า พวกท่านถือกำเนิดจากส่วนหนึ่งของพระผู้สร้างต้นกำเนิด โดยมิได้เกรงกลัวว่าคำประกาศดังกล่าวจะไปกระตุ้นให้ตราประทับทางจิตภายในตัวเข้มแข็งขึ้น
กล่าวคือ หากเนื้อหาในส่วนดังกล่าวของพระคัมภีร์มีปัญหา เทพธิดารัตติกาลก็คงส่งวิวรณ์ลงมาให้สาวกเปลี่ยนคำอธิบายไปนานแล้ว จากการถือกำเนิดขึ้นจากดวงตาของพระผู้สร้างต้นกำเนิด ไปเป็นบุตรที่เกิดจากพระองค์โดยตรงซึ่งมีความสูงส่งมากกว่า
ในขณะเดียวกัน ‘ความเชื่อ’ บางแง่มุมของสาวกจะไม่ส่งผลในเชิงศาสตร์เร้นลับต่อทวยเทพโดยตรง ไม่อย่างนั้นอามุนด์คงแอบช่วยเหลือผู้คนในนามไคลน์หรืออดีตเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ล่อลวงให้เหล่าสาวกเชื่อว่า ‘เทวทูตกาลเวลา’ คือร่างอวตารของ ‘ราชันเร้นลับ’ จนสามารถสร้างการเชื่อมต่อลึกลับบางอย่างกับปราสาทต้นกำเนิดและแอบแทรกซึมเข้าไปทาง ‘ประตูหลัง’
สำหรับทวยเทพ นอกจากเหนือจากประโยชน์ด้านการเผยแผ่ศาสนา เนื้อหาของพระคัมภีร์มีสิ่งที่ต้องกังวลเพียงสองเรื่องเท่านั้น
ประการแรก การพรรณนาถึงอำนาจและพระนามเต็มของตัวทวยเทพเอง หากมีข้อผิดพลาด สาวกก็จะสวดวิงวอนไปยังตัวตนลึกลับอื่นที่ไม่ทราบปลายทาง นั่นไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายกับสาวก แต่ยังทำให้เทพสูญเสียหลักยึดเหนี่ยว ประการที่สอง ทุกเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่น หากมีข้อผิดพลาดในประเด็นนี้ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ง่ายดาย
สำหรับเทวทูตและนักบุญ เทพมิได้ใส่ใจมากนัก มีแต่ตัวเทวทูตกับนักบุญเองที่สนใจในเนื้อหา เพราะพวกมันจะได้รับหลักยึดเหนี่ยวผ่านสิ่งนี้
ดังนั้น คำอธิบายในส่วนของเทวทูตและนักบุญจึงละเอียดเป็นพิเศษ มีการกล่าวถึงอำนาจและนามเต็มเพื่อให้สาวกเลือกสวดวิงวอนได้สะดวก แต่อย่างไรก็ดี หลักยึดเหนี่ยวจากส่วนนี้มีเสถียรภาพไม่มากนัก เพราะเป็นความศรัทธาผ่านทวยเทพอีกทอดหนึ่ง
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ศาสนจักรมักจะมีการสร้างตำนานของเทวทูตและนักบุญในอุปถัมภ์แยกออกไปต่างหาก
เป็นเพราะความเข้าใจนี้เอง ไคลน์จึงไม่สนใจเนื้อหาของพระคัมภีร์ตัวเองมากนัก เพียงตรวจสอบอำนาจและนามเต็มของตัวเอง จากนั้นก็หยุดอ่านกลางคันเพราะความอับอาย และตัดสินใจเลือกวิธี ‘ทำนาย’ เพื่อตรวจสอบภัยอันตรายซ่อนเร้นและความขัดแย้งต่อศาสนาอื่น
ไตร่ตรองสักพัก ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะส่งวิวรณ์ไปให้เมืองเงินพิสุทธิ์แก้ไขเนื้อหา แต่เลือกวิธีที่นุ่มนวลกว่านั้น:
ในช่วงเวลาแลกเปลี่ยนของชุมนุมทาโรต์ มันจะใช้เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์กระตุ้นให้เดอะซันน้อยปรับเปลี่ยนเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘เทวทูตกาลเวลา’ ให้ชี้นำไปหาพาลีส·โซโรอาสเตอร์มากขึ้น ไม่สร้างความฉงนหรือแตกตื่นให้กับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์
…
ณ บายัม เวอร์ดู·อับราฮัมได้รับความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับมากมายจากชุมนุมผู้วิเศษที่มันเข้าร่วม
มันจุดตะเกียงแก๊สติดผนัง อาศัยประโยชน์จากแสงสว่างเพื่อพิจารณาเนื้อหาอย่างรอบคอบ
จากต้นจนจบ มันพบได้พบข่าวหนึ่งซึ่งตนไม่เคยทราบมาก่อน:
ท่าเรือแบนชีคือสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังลึกลับ มีการเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณและโลกดาราอย่างทรงพลัง… แม้โบสถ์วายุสลาตันจะทำลายท่าเรือจนราบเป็นหน้ากลอง แต่กลับยังมิอาจขจัดความผิดปรกติได้อย่างสมบูรณ์…
นักวิจัยศาสตร์เร้นลับจำนวนมาก รับซื้อสินค้าเกี่ยวกับท่าเรือแบนชีในราคาสูงสิบ…
แบนชี… เวอร์ดูพึมพำกับตัวเอง ค่อยๆ เริ่มสนใจท่าเรือดังกล่าวมากขึ้น
มันเริ่มพิจารณาว่า ตนควรซื้อสินค้าจากท่าเรือแบนชีมาวิจัยในเชิงลึก เพราะต้องไม่ลืมว่า โลกวิญญาณเกี่ยวข้องกับพลัง ‘เทเลพอร์ต’ และโลกดารากับอวกาศเกี่ยวพันกับการ ‘ท่องมิติ’ ซึ่งอาจมีบางสิ่งเชื่อมโยงกับวิธีช่วยเหลือมิสเตอร์ประตู เบเทล·อับราฮัม
บางที ถ้ามีโอกาส เราควรไปแวะที่แบนชีโดยตรง… เวอร์ดูผงกศีรษะแผ่วเบา
…………………