ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1336 : ปฏิสัมพันธ์
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1336 : ปฏิสัมพันธ์
สถานีรถไฟเบ็คลันด์ ชานชาลาที่สาม
หลังจากสนทนากับพ่อแม่และน้องสาวสักพัก อัลเฟรดถือโอกาสที่ยังไม่ถึงเวลาออกเดินทาง ลงจากรถไฟมายังชานชาลา จากนั้นก็กล่าวกับคนสนิท
“ขอบุหรี่ไบลัมตะวันออก”
หากจะถามว่า ประสบการณ์บนทวีปใต้ในช่วงไม่กี่ปีหลังส่งผลผลเสียใดบ้าง ถ้าไม่นับความเจ็บปวดทางจิตใจ ก็คงเป็นการสร้างนิสัยเสียเล็กๆ น้อยๆ ให้อัลเฟรด
หลังจากสูบบุหรี่ไบลัมตะวันออกซึ่งใช้เครื่องเทศและสมุนไพรมาห่อกับใบยาสูบโดยตรง อัลเฟรดก็ลืมบุหรี่กระดาษซึ่งชาวทวีปเหนือนิยมชมชอบไปโดยสิ้นเชิง มันมองว่าบุหรี่กระดาษมีรสชาติจืดชืด เหมือนกับการดื่มเหล้าผสมน้ำ
สำหรับซิการ์ อัลเฟรดทราบดีว่ายาสูบชนิดนี้ต้องใช้เวลาในการละเมียดละไม ไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน
แต่แน่นอน มันมิใช่สิงห์อมควันตัวยง ‘อัศวินวินัย’ มีร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านอาการเสพติด สาเหตุที่อัลเฟรดปลีกตัวลงมาสูบบุหรี่บนชานชาลา ก็เพราะมันรู้สึกว่าภายในขบวนรถไฟน่าอึดอัดเกินไป แถมมารดาก็ยังเอาแต่ถามว่าเมื่อไรจะแต่งงาน
หลังจากคนสนิทหยิบบุหรี่ไบลัมตะวันออกมาจุดไฟ อัลเฟรดรับวัตถุซึ่งมีสีน้ำตาลจนเกือบดำมาคาบปากพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าสุดปอด
กลิ่นอันทรงพลังซึมซาบเข้าไปในร่างกาย สมองของมันผ่อนคลายขึ้นทันใด
ทันใดนั้นเอง มันเห็นชายผมทองคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าชัดลึกคล้ายรูปปั้นแกะสลัก เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับบุรุษรับใช้
อัลเฟรดลังเลสักพัก ก่อนจะยิ้มพลางยกมือขวาพูด
“ฮิบเบิร์ต คิดว่านายจะไม่กลับเชสเตอร์ตะวันออกเสียอีก”
อีกฝ่ายคือบุตรชายคนโตของเอิร์ลฮอลล์ ฮิบเบิร์ตฮอลล์ พี่ชายของอัลเฟรด
ฮิบเบิร์ตฉีกยิ้มอย่างสง่างามและสมบูรณ์แบบ ตามด้วยกล่าว
“ฉันเป็นแค่เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ยุ่งจนไม่มีวันหยุดหรอกนะ”
อันที่จริง มันไม่คิดจะเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เป้าหมายมีเพียงการสั่งสมประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งต่างๆ ของรัฐบาล สร้างเครือข่ายเส้นสายของตัวเอง และเตรียมเข้าสู่สภาขุนนางในอนาคต
อัลเฟรดจับบุหรี่ไบลัมตะวันออกพลางยิ้ม
“ขอให้เป็นวันหยุดที่ดี”
หลังจากมองดูฮิบเบิร์ตเดินเข้าไปในขบวนรถไฟ อัลเฟรดสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองมาพลางจับกลุ่มพูดคุย
“ทำไมถึงไม่มีผู้โดยสารรอขึ้นรถไฟขบวนนั้นเลย?”
“จริงด้วย ยังไม่เต็มขบวนเลยนี่”
“ฮะฮะ! นั่นมันขบวนพิเศษที่ถูกคนใหญ่คนโตจองไว้ล่วงหน้าด้วยเงินก้อนโต เข้าใจว่าพวกนายไม่เคยเห็น แต่จงจำเอาไว้ ที่นี่คือเบ็คลันด์ เหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นเป็นประจำตามหัวเมืองใหญ่ เมื่อคนใหญ่คนโตออกเดินทางพร้อมครอบครัว คนรับใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยย่อมมีจำนวนหลักร้อย อาจมีสัตว์เลี้ยงด้วย จะให้ไปเบียดเสียดกับคนธรรมดาได้อย่างไร…”
“อย่างนี้นี่เอง…”
“คนใหญ่คนโตคราวนี้เป็นใคร?”
อัลเฟรดหันไปมอง และพบคนกลุ่มหนึ่งในเครื่องแบบสีเทาน้ำเงิน กำลังยืนอยู่บนชานชาลาที่สอง พลางแอบมองมายังชานชาลาติดกันผ่านรางรถไฟที่ว่างเปล่า
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่น้อย หากไม่ใช่เพราะอัลเฟรดมีโสตประสาทดีเยี่ยม มันคงไม่ทราบว่าอีกฝ่ายกำลังคุยอะไรกัน
“พวกเขาเป็นใคร” อัลเฟรดถามคนสนิทด้านข้าง
มันทราบเพียงว่า คนเหล่านั้นสวมเครื่องแบบของบริษัทรถไฟ
คนสนิทหันหลังกลับทันที วิ่งไปถามเจ้าหน้าที่ชานชาลา
ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกระซิบอัลเฟรด
“ท่านนายพล พวกเขาคือพนักงานควบคุมการเดินรถซึ่งมาจากทั่วทั้งอาณาจักร ปัจจุบันกำลังฝึกอบรมระยะสั้นในเบ็คลันด์”
อัลเฟรดพยักหน้าเล็กน้อย ชำเลืองไปทางชานชาลาที่สองอีกครั้ง
คนที่อายุมากที่สุดมีผมหงอก และเด็กที่สุดมีอายุราวยี่สิบตอนต้น ส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคนในช่วงสามสิบถึงสี่สิบ มีจำนวนไม่น้อยที่จอนข้างขมับเริ่มหงอกขาว
…
ทะเลโซเนีย บายัม เมืองแห่งการให้
เวอร์ดูถือกระเป๋าเดินทางซึ่งปราศจากสิ่งของล้ำค่า โดยสารเรือลำเล็กในตอนกลางคืน ออกจากท่าเรือมาขึ้นเรือโจรสลัด
ลำดับ 7 ของเส้นทางผู้ฝึกหัดมิได้เก่งกาจด้านการต่อสู้มากนัก และถึงแม้เวอร์ดูจะถือครองสมบัติวิเศษ แต่ก็ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง และไม่เต็มใจที่จะใช้หากไม่จวนตัวถึงขีดจุด ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน ประกอบกับการไม่ไว้วางใจโจรสลัด เวอร์ดูตัดสินใจไม่สวมใส่สิ่งของที่สามารถกระตุ้นความโลภในตัวผู้อื่นได้ง่าย
โจรสลัดบนดาดฟ้าชำเลืองเวอร์ดู จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องกังวลไป พวกเรารักษาสัญญาแน่ ขอเพียงจ่ายค่าโดยสารครบ ทางนี้สัญญาว่าจะไม่โยนลงทะเล และหากเป็นที่นี่ นายจะปลอดภัยกว่าการนั่งเรือโดยสารทั่วไป เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับโจรสลัด”
เมื่อเห็นว่าเวอร์ดูยังคงหวาดกลัวแม้จะเงียบ โจรสลัดโยนกุญแจให้ด้วยท่าทีร่าเริง
“ชั้นสอง ห้องในสุด”
เวอร์ดูรับกุญแจทองเหลือง เดินเข้าไปในเขตห้องโดยสาร ขึ้นบันไดไปหนึ่งชั้นและตรงไปยังส่วนลึกสุดของทางเดิน
คล้ายกับชั้นนี้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับคนธรรมดาที่โดยสารเรือโจรสลัดโดยเฉพาะ ระหว่างทาง เวอร์ดูพบผู้โดยสารหลายคนที่ดูไม่เหมือนโจรสลัดแม้แต่น้อย
ในหมู่คนเหล่านั้นประกอบด้วยหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าเปิดเผย ดูคล้ายโสเภณีข้างถนน ชายวัยกลางคนพุ่งป่องหน้ามันเยิ้ม และชายหนุ่มบรรยากาศเย็นชา สวมชุดคลุมและหมวกทรงสูง
“สนใจอยู่ด้วยกันไหม” หญิงสาวยิ้มพลางถามเวอร์ดูขณะเห็นมันจ้องเธอ ไม่มีใครทราบว่า เธอหางานพิเศษทำระหว่างการเดินทาง หรือเดินทางเพื่อทำงานพิเศษกันแน่
เวอร์ดูเพิกเฉยโดยสมบูรณ์ ถอนสายตากลับ เดินตรงไปยังห้องตัวเอง
ชายหนุ่มบรรยากาศเยือกเย็นเองก็หยุดเดินที่ประตูห้องฝั่งตรงข้ามในแนวเฉียง
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก บ้านเลขที่ 9 ถนนเบลลอตโต้
“เข้ามา” ซิลเหยียดหลังบนเก้าอี้ตัวใหญ่
ประตูห้องทำงานเปิดออก สมาชิก MI9 สองคนในทีมของเธอเดินเข้ามา
“พันเอก การสืบสวนเกี่ยวกับยูโทเปียมีความคืบหน้าครับ” ชายในแจ็กเกตสีเข้มรายงานกับซิล
ซิลตกใจเล็กน้อย
“ยังไง?”
ชายคนเดิมกล่าว
“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเราอาศัยเวลาว่างจากงานหลัก ตระเวนเยี่ยมชมผู้โดยสารของรถไฟทั้งหมดที่กลับมายังเบ็คลันด์ ทั้งไปพบด้วยตัวเองและฟังมาจากสายข่าว”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รถไฟขบวนที่ว่านั้นหมายถึง รถไฟที่เคยจอดสถานียูโทเปียโดยบังเอิญ
“ทำดี” ซิลพยักหน้า เป็นนัยให้อีกฝ่ายเล่าต่อ
ชายในชุดดำรายงาน
“ในขั้นต้น พวกเรายืนยันได้ว่า ผู้โดยสารที่กลับถึงเบ็คลันด์ปราศจากความผิดปรกติทุกชนิด สภาพจิตใจไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำ… แต่เราพบความผิดปรกติหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ ไม่ใช่ผู้โดยสารทุกคนที่กลับมาขึ้นรถไฟในช่วงเช้า จากข้อมูลของผู้โดยสารสองคน เพื่อนร่วมที่นั่งของพวกเขาเลือกที่จะอยู่ในยูโทเปียต่อ… เป็นสตรีที่รักการเดินทางและการสำรวจ หลงใหลในสถานที่แปลกใหม่ หลังจากได้เห็นไวน์แดง ของหวาน และชาเย็นซ่าอันเป็นเอกลักษณ์ของยูโทเปีย เธอตัดสินใจยกเลิกแผนการเดินทางเดิม และเลือกที่จะอยู่เมืองเล็กๆ แต่มีเอกลักษณ์แห่งนี้ให้นานขึ้นเพื่อค้นหามนต์เสน่ห์ด้านอื่น… เป็นข้อมูลที่ผู้โดยสารทั้งสองได้ฟังจากการคุยกับเธอโดยตรง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะนั่งใกล้กัน แต่ยังเลือกพักโรงแรมเดียวกันด้วย แถมยังได้พบกันในช่วงเช้าตรู่… โรงแรมที่เข้าพัก เป็นแห่งเดียวกับที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเราเคยเข้าไปพัก โรงแรมดอกไอริช”
ซิลพยักหน้าเชื่องช้า
“ทราบหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นบ้าง? แล้วเธอชื่ออะไร?”
“ยังครับ พวกเราไม่แน่ใจว่าเธอออกจากยูโทเปียหรือยัง” สมาชิก MI9 อีกคนผู้เป็นเจ้าของเคราแพะตอบ “ผู้โดยสารทั้งสองคนทราบเพียงว่า หญิงสาวคนนั้นมีชื่อว่าโมนิก้า แต่ไม่ทราบนามสกุลและภูมิหลัง”
ซิลอืมในลำคอ
“งานถัดไปของพวกคุณก็คือ สืบหาภูมิหลังของผู้หญิงคนนี้ พยายามหาครอบครัวและเพื่อนของเธอให้พบ ยืนยันให้ได้ว่าเธอกลับมาหรือยัง”
“ครับ พันเอก” เจ้าหน้าที่ MI9 ทั้งสองโค้งคำนับและเดินออกจากห้องทำงาน
ซิลอ่านรายงานที่อีกฝ่ายส่งมาอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่ว
เมื่อเทียบกับลูกน้อง ซิลเข้าใกล้ข้อเท็จจริงของยูโทเปียมากกว่า ทราบชัดเจนว่านั่นคือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
อย่างไรก็ดี เธอมิอาจแจ้งข่าวนี้กับเบื้องบนเพื่อแลกคะแนนผลงานได้
นอกจากความกังวลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของข่าวกรอง สิ่งที่ซิลต้องคำนึงมากที่สุดก็คือ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยินยอมให้ข้อมูลดังกล่าวถูกแพร่งพรายหรือไม่
เราควรลองติดต่อกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์และขอความเห็นจากเขา… ซิลเก็บข้าวของและเดินออกจากสำนักงาน MI9 ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หลังจากเปลี่ยนชุด หญิงสาวกลับไปยังเขตตะวันออกและย่านสะพาน ตระเวนไปตามผับต่างๆ เฉกเช่นเมื่อครั้งยังเป็นนักล่าเงินรางวัล เพื่อรวบรวมข้อมูลแปลกใหม่จากบรรดาคนรู้จัก
ระหว่างนั้น หญิงสาวถามทุกคนเกี่ยวกับยูโทเปีย แต่ก็ไม่มีใครเคยได้ยิน
จนกระทั่ง ซิลเข้าไปในผับแห่งหนึ่งย่านสะพานเบ็คลันด์ นั่งลงบนเก้าอี้สูงริมเคาน์เตอร์บาร์ กล่าวกับบาร์เทนเดอร์
“ช่วงนี้มีใครน่าสงสัยบ้างไหม”
“เพียบเลย แต่พวกเขาไม่มีค่าหัว” บาร์เทนเดอร์ตอบโดยไม่มองหน้า
ซิลตะล่อมถามข่าวสารไปเรื่อยๆ และปิดท้ายด้วยการถามในสิ่งที่ต้องการ
“เคยได้ยินชื่อยูโทเปียไหม”
“เคย” บาร์เทนเดอร์ตอบขณะเช็ดแก้ว
ดวงตาของซิลขยับเล็กน้อย
เธอจ้องหน้าบาร์เทนเดอร์และถาม
“ได้ยินจากไหน”
“ก่อนหน้านี้ มีแขกคนหนึ่งแวะมาที่ร้าน เขาดื่มไม่เต็มที่สักเท่าไร” บาร์เทนเดอร์เล่าเสียงเรียบ “ฉันแนะนำเมนูเหล้าเด็ดของร้านให้ แต่เขาบอกว่าต้องไปทำงานต่อ จึงดื่มได้แค่เบียร์ ฉันพูดชมเชยเขาเล็กน้อยและถามว่ามาจากไหน เขาตอบว่ายูโทเปีย”
…
เวนเดลล์ซึ่งเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ ได้ยินเสียงกริ่งจากประตู
ผ่านตาแมว มันเห็นตำรวจคนหนึ่งในเครื่องแบบขาวดำตารางหมากรุก จึงเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้างุนงง
“ขอโทษนะครับ มีธุระอะไรหรือ” เวนเดลล์ถามอย่างสุภาพ
บ้านหลังนี้ถูกจัดสรรให้มันหลังจากเดินทางเข้ามาทำภารกิจในเบ็คลันด์ เนื่องจากมันมีกำหนดต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก เพื่อเข้ารับการทดสอบและเฝ้าระวังอาการ
ตำรวจยังดูหนุ่ม หน้าอ่อนประสบการณ์ คล้ายกับเพิ่งยี่สิบตอนต้น
มันยิ้มและกล่าวกับเวนเดลล์
“สวัสดีครับ ผมชื่อไบลส์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยากเชิญคุณไปเป็นพยานในคดีหนึ่ง”
“คดีอะไร?” เวนเดลล์ขมวดคิ้ว
ตำรวจหนุ่มชื่อไบลส์ตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“คดีฆาตกรรมในยูโทเปีย ผู้ต้องหาชื่อเทรซี่”
“…” รูม่านตาเวนเดลล์พลันเบิกกว้าง
……………………