ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1378 : เปลี่ยนแผน
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1378 : เปลี่ยนแผน
บนใบหน้าอามุนด์ที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน แว่นตาขาเดียวซึ่งมีรูปทรงแตกต่างกันไป เปล่งแสงบริสุทธิ์ออกมาโดยพร้อมเพรียง
นี่คือสิ่งที่ขโมยมาจากส่วนลึกของซากสมรภูมิแห่งเทพ เป็นพลัง ‘กลางวันนิรันดร์’ ที่เทพสุริยันบรรพกาลเคยใช้งาน มีคุณสมบัติในการชำระล้างความชั่วร้ายและสิ่งสกปรก อีกทั้งยังสามารถปลุกสิ่งที่หลับใหลให้ลืมตาตื่น
พวกมัน ‘มอบ’ สิ่งนี้ให้กับไคลน์
เมื่อผนวกกับพลังในการเสริมแกร่งผนึกจากอำนาจเส้นทางผู้ฝึกหัด สภาวะ ‘หลับลึกนิรันดร์’ ย่อมถูกทำลายลง
เพียงพริบตา ตราประทับทางจิตของอันทีโกนัส และเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินในร่างไคลน์พลันลืมตาตื่น อารมณ์ความบ้าคลั่ง ยิ่งใหญ่ ป่าเถื่อน กระหายเลือด และโหดเหี้ยม ก่อตัวเป็นพายุล่องหนพร้อมกับโหมกระหน่ำเข้าใส่จิตใจชายหนุ่มทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน บนใบหน้าของไคลน์ ภายในเอกลักษณ์ของเดอะฟูลที่ยังปรองดองไม่เสร็จ เจตจำนงอันทรงพลังราชันสวรรค์ฟ้าดินพลันเปิด ‘ตา’ ขึ้นในลักษณะเดียวกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลในความมืดมานานหลายพันปี
ทันใดนั้น ความโกลาหลและภาวะใกล้คลุ้มคลั่งซึ่งเคยเผชิญได้ตอนต้น ได้หวนกลับมาเล่นงานจิตใจไคลน์อีกครั้ง แต่ชายหนุ่มมิได้ตื่นตระหนก เพียงลงมือตามแผนสำรองอย่างใจเย็น อาศัยพลังปลูกถ่ายเพื่อย้ายตราประทับทางจิตของอันทีโกนัส เข้าไปปะทะกับเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินภายในเอกลักษณ์ เป็นการส่งคู่อริที่เคย ‘ทะเลาะ’ กันมานานกว่าสองพันปี ให้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ไคลน์อาศัยการตระหนักรู้ของตัวเอง และหลักยึดเหนี่ยวจากสาวกของเดอะฟูลกับเทพสมุทร สร้างสมดุลกับส่วนหนึ่งของเจตจำนงราชันสวรรค์ฟ้าดินภายในตะกอนพลังของตน เฉกเช่นเมื่อครั้งแยกหุ่นเชิดบริวารเร้นลับออกมา
หากไม่ติดขัดประการใด และทุกสิ่งดำเนินไปตามครรลองนี้ ไคลน์มีโอกาสที่จะสร้างสมดุลสำเร็จทั้งสองฝั่ง และบรรลุเป้าหมายในการปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูลโดยสมบูรณ์ หลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในพิธีกรรม ทว่า ในสภาพถูกอามุนด์รายล้อมทุกทิศเช่นนี้ มีหรือที่สถานการณ์จะไม่ติดขัด?
อามุนด์จำนวนมากเร่งมือเสริมความแข็งแกร่งให้กับผนึกของหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์และตะเกียงวิเศษประทานพร เพื่อลบกฎและข้อห้ามที่เพิ่งถูกบัญญัติขึ้น อามุนด์บางส่วน ‘มอบ’ กลางวันนิรันดร์ให้ไคลน์ และอามุนด์ส่วนน้อยพยายาม ‘ขโมย’ บางสิ่งจากไคลน์
สิ่งที่พวกมันต้องการขโมยก็คือ ‘การตระหนักรู้’ ของอีกฝ่าย
อามุนด์มากมายล้มเหลว แต่ก็ยังมีอามุนด์จำนวนหนึ่งประสบความสำเร็จ พวกมันขโมยการตระหนักรู้ของไคลน์ได้ราวสองวินาที
ความคิดไคลน์พร่ามัวทันที เมื่อปราศจากคนนำทาง ตราประทับทางจิตของอันทีโกนัส เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินสองส่วน และบรรดาหลักยึดเหนี่ยวของไคลน์ เข้าสู่ภาวะขาดสมดุลและเริ่มปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง ต่างฝ่ายต่างกัดกร่อนซึ่งกันและกัน
สถานการณ์กลายเป็นโกลาหลทันที และดูเหมือนว่าจะย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว
ร่างกายไคลน์แตกสลายไปทีละนิด กลายเป็นกลุ่มก้อนหนอนโปร่งใสดีดดิ้น หนวดรยางค์ผิวลื่นดูชั่วร้ายยืดยาวกวัดแกว่งส่งเดช
ในเวลาเดียวกัน กฎล่าสุดของหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ถูกลบออก จากนั้นก็เขียนทับลงไปอีกครั้ง
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้พูด!”
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้โจมตี!”
ทันทีหลังจากนั้น เหนือกฎสองข้อดังกล่าว ประโยคที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง:
“กฎทั้งหมดหลังจากส่วนนี้ถือเป็นโมฆะ”
หลังจากผนึกถูกเสริมความแข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์จะเข้าสู่วัฏจักรอนันต์ใหม่ และดูเหมือนว่าเทพแห่งตะเกียงจะส่งอิทธิพลกับมันได้ไม่มากนัก
เพียงไม่นาน สติของไคลน์ฟื้นคืนกลับมา แต่สถานการณ์กำลังเผชิญวุ่นวายจนอยู่นอกเหนือความควบคุม
ชายหนุ่มมิอาจจำแนกขั้วอิทธิพลต่างๆ ได้อีก และไม่มีความหวังที่จะสร้างสมดุลขึ้นมาใหม่
กล่าวคือ ไคลน์กำลังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะคลุ้มคลั่งและกลายพันธุ์
โดยแทบไม่เสียเวลาคิด ไคลน์พึ่งพาสัญชาตญาณและประสบการณ์ ตัดสินใจเลือกใช้งานแผนลับสุดท้าย
ชายหนุ่มเลิกรักษาสมดุลทางจิตใจ และไม่ให้ความสนใจในประเด็นนี้อีก
ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังเป็นฝ่ายทำให้หุ่นเชิดบริวารเร้นลับกลายพันธุ์เป็นวังวนหนอนแมลงสีใส และนำมาผสานกับร่างต้นพร้อมกับตราประทับทางจิตของซาราธ
มันจะบ้าให้สุดทาง!
อย่างไรก็ดี ร่างโคลนของอามุนด์ไม่ปล่อยให้กระทำสิ่งใด นอกจากอามุนด์ส่วนที่ต่อสู้กับตะเกียงวิเศษประทานพรและหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ ส่วนที่เหลือล้วนพยายาม ‘ขโมย’ อย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้ไคลน์มีโอกาสได้คิด หวังให้ชายหนุ่มเหม่อลอยอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์
อามุนด์ในเครื่องแบบบุรุษไปรษณีย์ประสบความสำเร็จในการขโมย แต่สิ่งที่ขโมยได้กลับไม่ใช่ความตระหนักของไคลน์ หากแต่เป็นเลือดสดหนึ่งหยด
เลือดดังกล่าวซึมเข้าไปในฝ่ามือของบุรุษไปรษณีย์อามุนด์ทันที
ทันทีหลังจากนั้น ดวงตาบุรุษไปรษณีย์อามุนด์กลายเป็นสีแดงเลือด ท้องของมันป่องออกด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ ภายในท้องมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว
คล้ายกับมันกำลังตั้งครรภ์!
สิ่งที่มันขโมยไปก็คือ หยดเลือดที่ได้รับพรจากดวงจันทร์บรรพกาล หรืออีกชื่อหนึ่งมือมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม!
เมื่อไคลน์เลิกสนใจตราประทับทางจิตของอันทีโกนัส เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดิน และบรรดาหลักยึดเหนี่ยว มันก็ไม่จำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับความยุ่งเหยิงตลอดเวลา สามารถแบ่งสมาธิบางส่วนคอยตอบสนองการขโมยของอามุนด์ได้
ไคลน์ใช้พลังปลูกถ่ายเพื่อย้ายเป้าหมายการขโมยของอามุนด์ ไปยัง ‘หยดเลือด’ ในกองขยะบนปราสาทต้นกำเนิด – หยดเลือดที่ได้รับพรจากดวงจันทร์บรรพกาล
เลือดของราชาหมอผีคารามัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แต่ละร่างโคลนของอามุนด์ย่อมมีการเชื่อมโยงระหว่างกัน และไม่มีทางที่พวกมันจะเป็นตัวตนในลำดับ 0 ดังนั้น เมื่อบุรุษไปรษณีย์อามุนด์ตั้งครรภ์ เหล่าอามุนด์ที่เหลือย่อมเกิดความปั่นป่วนในทำนองเดียวกัน บางตัวท้องป่องออกมา บางตัวมีดวงตาสีแดงเลือด และบางตัวกำลังอุ้มทารกล่องหนพลางหมุนไปรอบๆ
ส่งผลให้ความพยายามในการขโมย กลายเป็นล้มเหลวทั้งหมด
ไคลน์ฉวยโอกาสที่สติกำลังมั่นคงชั่วขณะ ระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้าง ‘ม่าน’ ปกคลุมทั่วห้องโถงภายในวังโบราณ
ที่นี่กลายเป็นดินแดนซ่อนเร้นอีกครั้ง
ถัดมา ชายหนุ่มมิได้แยแสตราประทับทางจิตของอันทีโกนัส ตราประทับทางจิตของซาราธ และเจตจำนงทั้งสองส่วนของราชันสวรรค์ฟ้าดินซึ่งเริ่มหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เพียงออกคำสั่งกับร่างโคลนสภาพดีของตนที่ยืนเหม่อลอยอยู่ไม่ไกล ให้เหยียดแขนมาทางร่างต้น
นิ้วทั้งห้าของมือข้างดังกล่าว พับเข้าการกันอย่างรวดเร็วพร้อมกับบิดข้อมือ
เนื่องจากไคลน์มิได้ขัดขืน แถมยังให้ความร่วมมือแต่โดยดี หลังจากล้มเหลวเพียงไม่กี่ครั้ง ร่างโคลนที่ระดมพลังจากปราสาทต้นกำเนิด ประสบความสำเร็จในการขโมยชะตากรรม หลักยึดเหนี่ยว การตระหนักรู้ และตัวตนของไคลน์เกือบทั้งหมด
ตัวตนเดียวที่ชายหนุ่มเหลือทิ้งไว้ในร่างก็คือ ‘เดอะฟูล’
ขณะเดียวกัน มันยังลงมือ ‘ขโมย’ ตัวตน ชะตากรรม และตราประทับทางจิตของบรรพชนอันทีโกนัส โดยประสบความสำเร็จภายในไม่กี่หนด้วยเหตุผลเดียวกับการขโมยครั้งแรก
เมื่อสายน้ำแห่งแสงซึ่งเต็มไปด้วยแควย่อยปรากฏขึ้น ใบหน้าของร่างโคลนไคลน์เกิดบิดเบี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นไคลน์·โมเร็ตติที่มีกลิ่นอายคล้ายคลึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์
มันกลายเป็นร่างต้น ร่างต้นที่ไม่มีตะกอนพลัง! ไอรีนโนเวล
แน่นอนว่า การตระหนักรู้และหลักยึดเหนี่ยวของไคลน์ ยังคงต้องต่อสู้กับตราประทับทางจิตของบรรพชนอันทีโกนัส แต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนหน้า ปัญหาในปัจจุบันแก้ไขได้ง่ายกว่ามาก
เนื่องจากคุ้นชินกับตัวตนอันทีโกนัสเป็นอย่างดี ไคลน์จึงพบสมดุลใหม่ภายในเวลาอันสั้น ช่วยยืดชะตากรรมที่ต้องคลุ้มคลั่งออกไปก่อน
แม้จะยังสลัดชะตากรรมดังกล่าวไม่หลุด แต่ก็มีเวลาพอที่จะแก้ไขสถานการณ์
อีกด้านหนึ่ง ในร่างเดิมซึ่งเคยเป็นของไคลน์ สิ่งที่ยังหลงเหลือประกอบไปด้วย: เอกลักษณ์ของเดอะฟูล, ตะกอนพลังจาก ‘ม่าน’ , ตะกอนพลังของซาราธ, ตะกอนพลังเล็กๆ น้อยๆ ที่ไคลน์กินเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว, เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดิน, ตราประทับทางจิตของซาราธ และตัวตนของเดอะฟูล
และเมื่อไม่มีทั้งการตระหนักรู้ของไคลน์ ตราประทับทางจิตของอันทีโกนัส และหลักยึดเหนี่ยว ตราประทับทางจิตของซาราธได้เผชิญความพ่ายแพ้ในพริบตา ถูกกัดเซาะโดยเจตจำนงที่ต้องการคืนชีพอย่างแรงกล้าของราชันสวรรค์ฟ้าดินที่รวมสองก้อนเป็นหนึ่ง
วินาทีถัดมา ร่างเดิมของไคลน์พลันแน่นิ่ง
ภาวะการแยกตัวหยุดลง ลำตัวตั้งตรงในท่าก้มศีรษะเล็กน้อย หนวดรยางค์ผิวลื่นไม่เคลื่อนไหว ราวกับดวงวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ความเงียบน่ากลัวยิ่งกว่าการคลุ้มคลั่งหลายเท่านัก
ร่างกายที่ไม่ขยับเขยื้อน ยิ่งดูเหมือนกำลังจะให้กำเนิดสัตว์ร้ายสุดแสนน่าสะพรึง!
แต่ไคลน์มิได้แยแส เพียงรีบ ‘ปลูกถ่าย’ การเชื่อมต่อระหว่าง ‘ร่างเดิม’ เข้ากับสายหมอกสีเทา
ถัดมา มันเปลี่ยนไปเล็งเป้าอันทีโกนัสบนเก้าอี้หินยักษ์
เมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอามุนด์ ฮาล์ฟฟูลรายนี้จึงยังไม่หลุดพ้นจากภวังค์หลับลึกนิรันดร์
ไคลน์เหยียดแขนขวาอีกครั้ง ลงมือ ‘ขโมย’ ตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ที่ยังหลงเหลือในตัวอีกฝ่าย
แม้ในปัจจุบันจะสวมตัวตนและชะตากรรมของอันทีโกนัส แต่การขโมยก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นปรกติที่จะล้มเหลวต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกัน ร่างโคลนอามุนด์ซึ่งอยู่ด้านนอก ‘ดินแดนซ่อนเร้น’ ที่สร้างโดยปราสาทต้นกำเนิด ทยอยได้สติกลับมาจากความโกลาหล
พวกมันยกมือขึ้น ขยับกรอบแว่นตาขาเดียวเพื่อให้แสงสีแดงเลือดในดวงตาเลือนหายไป บางส่วนก้มมองท้องและเลื่อนมือลงไปลูบคลำ
วินาทีถัดมา ท้องอันปูดโปนของแต่ละคนทยอยถูกผ่า ทารกสีแดงจางไหลออกมาทีละหนึ่ง
ทารกเหล่านี้มิได้ร้องไห้หรือพิการ เด็กทุกคนต่างหยิบแว่นผลึกออกจากความว่างเปล่าอย่างง่ายดายและสวมไว้ที่ตาขวา
อามุนด์มีจำนวนเพิ่มขึ้น
มันเปลี่ยนทารกที่เกิดใหม่ให้เป็นร่างโคลนของตัวเอง เพื่อป้องกันมิให้ร่างต้นถูกดวงจันทร์บรรพกาลกัดกร่อน
ณ ปัจจุบัน ทั้งพระแม่ธรณีและเทพจักรกลไอน้ำเริ่มเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าในศึกของตัวเอง จึงสามารถแบ่งพลังแทรกแซงสถานการณ์ภายในวังโบราณได้เล็กน้อย
เพียงพริบตา อามุนด์บางส่วนถูกเปลี่ยนให้เป็นพืชพรรณบานสะพรั่งและกลับคืนสู่ผืนธรณี บางส่วนถูกเปลี่ยนให้เป็นกลุ่มก้อนความรู้ ข้อมูล และถ้อยคำ จากนั้นก็ถูกสลักลงบนหนังสือมายา
อย่างไรก็ดี ยังมีอามุนด์อีกส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงอิทธิพลจากสองเทพแท้จริงสำเร็จ ทั้งจากการใช้บลิงค์ อาศัยช่องโหว่ และหลอกลวงกฎ โดยหลังจากนั้น ขณะพวกมันเสริมความแข็งแกร่งให้ผนึก เพื่อกำราบตะเกียงวิเศษประทานพรและหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ บางส่วนเปิดประตูเข้าสู่ดินแดนซ่อนเร้นที่ไคลน์สร้างขึ้น
ในเวลาเดียวกัน เหล่าเทวทูตเริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงบนโลกดารา แต่สายตาของพวกมันมิอาจทะลวงผ่านบาเรียทางธรรมชาติของพระแม่ธรณี และม้วนภาพอารยธรรมของเทพจักรกลไอน้ำเข้ามาได้ จึงไม่มีใครมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน
กล่าวคือ ต่อให้พวกมันต้องการลงมือ แต่ก็อ่อนแอเกินกว่าจะทำสำเร็จ
ภายในดินแดนซ่อนเร้นที่สร้างโดยปราสาทต้นกำเนิด หลังจากเผชิญความล้มเหลวหลายหน ในที่สุดไคลน์ก็ประสบความสำเร็จในการขโมยตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ที่ถูกย่อยเสร็จสมบูรณ์!
จากกฎการดึงดูดของเส้นทางใกล้เคียง ผนวกกับเรื่องที่อันทีโกนัสมีชีวิตยืนยาวหลายพันปี แถมยังเคยเปลี่ยนผู้คนให้เป็นหุ่นเชิดมานับไม่ถ้วน มันย่อมซึมซับตะกอนพลังเหล่านั้นเข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้ร่างของอันทีโกนัสในปัจจุบัน ยังหลงเหลือตะกอนพลังเส้นทางนักทำนายอีกเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือผู้ชี้นำปาฏิหาริย์
จุดแสงสีดำลอยเข้ามาผสานกับร่างไคลน์อย่างรวดเร็ว หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
และเนื่องจากไคลน์ในปัจจุบันคืออันทีโกนัส ตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ที่เคยถูกอันทีโกนัสย่อยเสร็จสมบูรณ์ จึงไม่สร้างมลพิษทางจิตใจเพิ่มเติม ชะตากรรมการคลุ้มคลั่งของไคลน์ยังคงทรงตัว
ลงเอยด้วย ไคลน์กลายเป็นลำดับ 1 บริวารเร้นลับที่ย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์อีกครั้ง แต่ยังหนีชะตากรรมที่ต้องคลุ้มคลั่งไม่พ้น
ทันใดนั้นเอง ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์เงยหน้าขึ้นด้วยดวงตามืดมิด
เพียงถูกจ้องมอง ความคิดไคลน์ในร่างปัจจุบันพลันเฉื่อยชา อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงโดยมิอาจต้านทานขัดขืน
เจตจำนงอันแข็งแกร่งที่คุ้นเคยค่อยๆ แผ่ขยายทีละนิด พยายามสร้างอิทธิพลบางอย่างกับปราสาทต้นกำเนิด
ในวินาทีนี้ ราชันเร้นลับได้คืนชีพกลับมาบางส่วนภายใน ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์
เดอะฟูลกลายเป็น ‘ตัวตนอันยิ่งใหญ่’ ผู้พยายามทวงคืนพลังอำนาจของตน สอดคล้องกับสิ่งที่ชาวชุมนุมทาโรต์เข้าใจมาตลอด แต่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ก่อนที่ความคิดจะหยุดนิ่งโดยสมบูรณ์ ไคลน์ตัดสินใจร่วมมือกับอามุนด์ โดยการยกเลิก ‘ดินแดนซ่อนเร้น’ และปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกแทรกซึมเข้ามายังภายใน
ชายหนุ่มสามารถ ‘ปั่นหัว’ ประวัติศาสตร์ได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ แต่คำถามที่ว่า เรื่องราวจะปิดฉากลงอย่างไร มันเองก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน
เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แผนการสุดท้ายที่ไคลน์เลือกใช้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญจึงเป็น:
ทุบหม้อข้าวตัวเองทิ้ง เปลี่ยนจากพิธีกรรมปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล ไปเป็นพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เดอะฟูลตัวจริง!
ไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยเช่นไร มันก็ไม่เลวร้ายไปกว่าปัจจุบันแล้ว
……………………………………………………