ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1379 : ผนึกกำลัง
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1379 : ผนึกกำลัง
‘ม่าน’ ที่ห่อหุ้มวังอันทีโกนัสเลือนหายไป ออร่าอันยากจะอธิบายหวนคืนสู่ความเป็นจริง ส่งผลให้ทั่วทั้งดินแดนดาราพลันสั่นสะเทือน
บนบาเรียนอกโลกซึ่งเต็มไปด้วยรอยร้าว เหล่าใบหน้าที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ พากันเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียง
บาเรียล่องหนเริ่มสั่นสะเทือนอย่างหนัก ราวกับพร้อมพังทลายลงในทุกเมื่อ
ทุกทวีปบนโลกเกิดแผ่นดินไหว แม้จะไม่รุนแรง แต่ก็ตระหนักได้ชัดเจน
เหนือห้าห้วงสมุทร คลื่นทะเลซัดสูงราวกับเกิดภาวะน้ำขึ้นกะทันหัน
ท่ามกลางท้องฟ้ายามเที่ยง ดวงจันทร์สีแดงเข้มปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน สีสันของมันเข้มข้นเกินจริง ขนาดใหญ่ผิดไปจากปรกติ ประหนึ่งกำลังห้อยลงมาจากหลังคาบ้านในแต่ละหลัง นอกจากนั้น ดาวน้ำตาล ดาวส้ม ดาวแดง ดาวทอง และดาวครามพลันเปล่งแสงจากพื้นผิวโดยพร้อมเพรียง
หากมองลงมาจากอวกาศ โลกทั้งใบดูคล้ายกับกำลังสั่นไหวและปกคลุมด้วยพายุล่องหน
นี่คือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อันเกิดจากความพยายามในการเจาะทะลวงบาเรียของเทพภายนอก
ออร่าที่เล็ดลอดจากวังโบราณกึ่งกลางโลกดารา ทำให้พวกมันหวนนึกถึงตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวจากอดีตกาล ดังนั้น ไม่ว่าจะด้วยความตึงเครียด ความโกรธ ความเกลียดชัง หรือความบ้าคลั่ง ทุกตัวตนต่างทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคืนชีพสำเร็จ
แต่เมื่อเทียบกับพวกมันที่ถูกกีดกันจากโลกแห่งความจริง สิ่งแรกที่ตอบสนองในทันทีคือตะเกียงวิเศษประทานพรในกระเป๋าเสื้อของ ‘ร่างเดิม’ ไคลน์
แสงสีทองซีดทะลวงผ่านผนึกที่ถูกอามุนด์เสริมความแข็งแกร่ง เผยให้เห็นร่างอันพร่ามัวและบิดเบี้ยว
มันเหยียดแขนหยิบหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ไปถือในมือ
กฎทั้งหมดที่ถูกเขียนก่อนหน้านี้พลันเลือนหาย คำสั่งใหม่ก่อตัวขึ้นในพริบตา
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนตายคืนชีพ!”
หมอกสีเทาอ่อนเจือจางสั่นไหวแผ่วเบา ประโยคหนึ่งถูกเขียนขึ้นเหนือข้อความล่าสุด
“กฎทั้งหมดหลังจากส่วนนี้ถือเป็นโมฆะ!”
แม้จะไม่ได้คืนชีพโดยแท้จริง และไม่ได้ดูดซับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล รวมถึงดูดซับตะกอนพลังของเส้นทางนักทำนายตั้งแต่ลำดับ 9 ถึง 1 อีกสองก้อนที่เหลือ แต่ราชันสวรรค์ฟ้าดินในร่างเดิมของไคลน์ ก็สามารถใช้งานปราสาทต้นกำเนิดได้ด้วยการกระตุ้นพลังผ่านระดับตัวตน
ในวินาทีนี้ การดำรงอยู่ของมันได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ชิ้นส่วนแสงในสายหมอกเกิดความโกลาหลทันที บ้างหลอมรวมเป็นหนึ่ง บ้างแตกสลาย มิอาจกลายเป็นชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์
สืบเนื่องมาจาก ชิ้นทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นเกิดความขัดแย้งในตัวเอง!
ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก็คือ: ไคลน์·โมเร็ตติผู้มีดวงวิญญาณของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ได้ก่อตั้งชุมนุมทาโรต์และสวมรอยเป็น ‘เดอะฟูล’ จากนั้นก็พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีระดับใกล้เคียงกับ ‘เดอะฟูล’ ตัวจริง ทว่า ประวัติศาสตร์ในปัจจุบันกลับกลายเป็น: ‘เดอะฟูล’ คือตัวตนอันยิ่งใหญ่นามว่าราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคจากโบราณกาล ที่ในภายหลังได้ฟื้นคืนชีพกลับมา!
ในวินาทีปัจจุบัน แม้ว่า ‘กฎ’ ที่เทพแห่งตะเกียงเขียนลงบนหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์จะส่งผลเพียงเสี้ยววินาที แต่นั่นก็มากพอจะทำให้ราชันเร้นลับใน ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์อ่อนแอลงมาก ราวกับเพิ่งถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง
สำหรับพระแม่ธรณีและเทพจักรกลไอน้ำ พวกมันเลิกยุ่งกับร่างโคลนอามุนด์สักพัก คล้ายกับต้องการปล่อยให้มิสเตอร์ข้อผิดพลาดลงมือจัดการกับราชันเร้นลับที่ตื่นขึ้นมาเสียก่อน
อย่างไรก็ดี เห็นได้ชัดว่าพวกมันที่ยังมีพลังเหลือเฟือ มิได้พยายามแตะต้อง ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์ แต่เลือกจะนำพลังส่วนนั้นไปใช้กำราบแม่มดบรรพกาลและปราชญ์เร้นลับแทน
การโจมตีและการแทรกแซงจากสองรายหลังเองก็บรรเทาลงหลายส่วน คล้ายกับกำลังรอชมผลลัพธ์
สำหรับพวกมัน ขอเพียงราชันเร้นลับคืนชีพ เป้าหมายก็จะลุล่วง
สนับสนุนให้ ‘เสาหลัก’ ถือกำเนิดโดยเร็วที่สุด แต่คอยป้องกันไม่ให้บุคคลที่เป็นศัตรูกับตน ได้ขึ้นเป็นราชันเร้นลับ
นอกจากนั้น เส้นทางของพวกมันก็มิได้เกี่ยวข้องกับสามเส้นทางราชันเร้นลับ และไม่เคยเป็นอริหรือขัดแย้งในเรื่องใดกับอีกฝ่ายมาก่อน
เหล่าอามุนด์ซึ่งหลุดพ้นจากภาวะโกลาหลโดยสมบูรณ์ เปลี่ยนเป้าหมายมายัง ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์ทันที
ไม่จำเป็นต้องให้ใครอธิบาย ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าปัจจุบันใครคือภัยคุกคามอันดับหนึ่ง!
โดยไม่มัวรีรอ เหล่าอามุนด์ยกมือขวาขึ้นพร้อมกันและกำหมัดแผ่วเบา พยายามขโมย ‘กลางวันนิรันดร์’ มาจากเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี อามุนด์บางส่วนยังไม่เลิกตามรังควานไคลน์ ด้วยจำนวนที่มากกว่า พวกมันแบ่งสมาชิกออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อคอยจับตามองไคลน์ซึ่งปัจจุบันเป็นบริวารเร้นลับ แถมยังอยู่ในตัวตนของอันทีโกนัส ไอรีนโนเวล
แว่นตาขาเดียวของอามุนด์เหล่านี้สว่างขึ้น อาศัยอำนาจของขอบเขต ‘ประตู’ เพื่อเคลื่อนย้ายไคลน์จากโลกดาราออกไปยังอวกาศ
ท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด ร่างของไคลน์ปรากฏขึ้นที่นั่น แต่เพียงพริบตา ลำตัวชายหนุ่มบางลงกะทันหันและกลายเป็นมนุษย์กระดาษ
กระดาษคนแผ่นดังกล่าวตั้งครรภ์ทันทีและให้กำเนิดทารกกระดาษ แต่สุดท้ายก็สลายตัวเป็นผุยผง
ไคลน์ใช้พลังปลูกถ่ายและกระดาษคนตัวแทน เพื่อตั้งรับการโจมตีจากเหล่าอามุนด์
ในเวลาเดียวกัน อามุนด์ส่วนที่เหลือประสบความสำเร็จในการขโมยคุณสมบัติ ‘กลางวันนิรันดร์’ ออกจาก ‘ร่างเดิม’ ไคลน์
แต่ในวินาทีถัดมา คุณสมบัติ ‘กลางวันนิรันดร์’ ได้ถูกขโมยกลับไปอีกครั้ง
นี่คืออำนาจของราชันเร้นลับผู้ควบคุมเส้นทางนี้โดยตรง แม้จะมิได้คืนชีพอย่างแท้จริง แต่ก็มีอำนาจในระดับหนึ่ง
ดวงตาอามุนด์สั่นไหวเล็กน้อย มันละสายตาจากไคลน์ทันที และเพ่งความสนใจไปยังสามสิ่ง:
เกือบทั้งหมดจะยังคงเน้นขโมยกลางวันนิรันดร์มาจากราชันเร้นลับ โดยแบ่งทีมเล็กคอยจับตามองอันทีโกนัสบนเก้าอี้หินยักษ์ พยายามขโมย ‘ภวังค์หลับลึกนิรันดร์’ จากอีกฝ่ายมาให้ได้
นอกจากนั้น อามุนด์ทั้งหมดจะยกเลิกการเสริมความแข็งแกร่งให้ ‘ผนึก’
ไคลน์ซึ่งไม่ถูกเหล่าอามุนด์โจมตี ก็มิได้โจมตีอีกฝ่ายกลับไป ความสนใจหันเหมายัง ‘ร่างเดิม’ ของตน
การคืนชีพของราชันเร้นลับยังคงเป็นปัญหาอันดับหนึ่งในตอนนี้!
ทันใดนั้น หว่างคิ้วไคลน์ปรากฏสัญลักษณ์มายาภาพหนึ่ง เป็นภาพของบานประตูแห่งแสงพิสดารที่ฉาบด้วยสีน้ำเงินเข้ม แผ่หมอกสีเทาอ่อนเจือจางออกมาตลอดเวลา
ไคลน์เริ่มลงมือยึดครองปราสาทต้นกำเนิดของราชันเร้นลับ เพื่อมิให้อีกฝ่ายสำแดงพลังจากระดับตัวตนได้ง่ายนัก!
และในเมื่อราชันเร้นลับมิได้คืนชีพโดยแท้จริง มิได้ปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล และมิได้ดูดซับตะกอนพลังที่เกี่ยวข้อง การยึดครองปราสาทต้นกำเนิดจะทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอลงมาก อัตราความสำเร็จในการใช้พลังต่างๆ จะลดลงหลายระดับ แถมประสิทธิภาพก็ยังด้อยลง
หากไคลน์ปั่นป่วนปราสาทต้นกำเนิด ผนวกกับการที่ผนึกของหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์อ่อนแอลง อามุนด์จะมีโอกาสขโมยสำเร็จเพิ่มขึ้น
ณ ดินแดนเทพทอดทิ้ง บริเวณปลายเท้าของเงายักษ์ขนาดมหึมาซึ่งเป็นร่างจำแลงของเทพสุริยันบรรพกาล เหนือผิวทะเลที่อันแน่นไปด้วยทุกสีสันบนโลก ข้อความภาษาเก่าแก่ที่สุดของโลกปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว:
“ราชันเร้นลับคืนชีพล้มเหลว มีการแทรกแซงมากเกินไป”
ขณะประโยคดังกล่าวก่อตัวเสร็จสมบูรณ์ เป็นเวลาเดียวกับที่ไคลน์พยายามแก่งแย่งการควบคุมปราสาทต้นกำเนิด ส่วนเหล่าอามุนด์คอยขโมยคุณสมบัติ ‘กลางวันนิรันดร์’ ภายในตัวราชันเร้นลับ
ในอีกด้านหนึ่ง อามุนด์ประสบความสำเร็จในการขโมย ‘ภวังค์หลับลึกนิรันดร์’ จากอันทีโกนัส
โดยไม่มัวรีรอ อามุนด์ทำการย้ายภวังค์หลับลึกไปยัง ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์ด้วยการ ‘มอบ’ ให้ราชันเร้นลับ
ออร่าของตัวตนโบราณที่คืนชีพพลันเงียบสงัด แต่เพียงไม่นานก็ฟื้นตัวกลับมาทันที
ในวินาทีนี้ ประโยคหนึ่งถูกเขียนขึ้นบนหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ที่ผนึกอ่อนแอลงมาก
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้คืนชีพคนตาย!”
ทันใดนั้น เจตจำนงอันน่าสะพรึงภายใน ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่จะหลับใหลกลับไปอีกครั้ง
ทว่า เจตจำนงดังกล่าวทรงพลังเป็นอย่างมาก ไม่ยอมหลับใหลแม้จะผ่านไปแล้วครู่หนึ่ง ภายใต้พันธนาการทั้งสองชนิด มันกลับยังคงความแน่วแน่ไว้ได้และค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา แถมยังพยายามใช้ ‘แผลง’ กับ ‘ปั่นหัว’ เพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤติ
ไคลน์สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังระดมพลังปราสาทต้นกำเนิด จึงตั้งสมาธิและแทรกแซงทันที
ในเวลาเดียวกัน เทพธิดารัตติกาลที่ลอยอยู่เหนือวังโบราณ เริ่มผ่อนคลายการตรึงร่างต้นของอามุนด์ลง ก่อนจะดึงเครื่องประดับทองคำรูปนกออกมาพร้อมกับเล็งมาทางด้านล่าง
ประตูมายาหลายชั้นพลันพรั่งพรูออกจากดวงตาสีทองแดงของเครื่องประดับรูปนก เกิดเป็นหยดน้ำไร้สีซึ่งมีออร่าอันทรงพลังของความเงียบสงัดนิจนิรันดร์ หยดลงบน ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์ในวังโบราณ
หยดน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์!
ขณะเทพธิดาลงมือ อามุนด์ร่างต้นที่พยายามเปิดประตูหลบหนีมาตลอด เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงจากเดิมโดยนัย
หยดน้ำแหวกอากาศลงมาด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง กำแพงธรรมชาติที่สร้างโดยพระแม่ธรณี และม้วนภาพอารยธรรมของเทพจักรกลไอน้ำ ต่างก็รีบแหวกทางเล็กๆ เพื่อหลบให้
แปะ! น้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์หยดลง ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์อย่างแม่นยำ ก่อนจะซึมเข้าไปใต้ผิวหนังอย่างเงียบงัน
ออร่าของราชันเร้นลับที่ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ถึงคราวถดถอยอย่างก้าวกระโดด ความผันผวนเลือนหายไป เหลือเพียงภวังค์หลับลึกชั่วนิรันดร์
อย่างไรก็ดี สถานะดังกล่าวยังไม่มั่นคง สามารถพังลงได้ทุกเมื่อ
ในเวลาเดียวกัน มือข้างที่ว่างเปล่าของเทพธิดารัตติกาล ดึงดาบยาวเล่มยักษ์ออกจากความว่างเปล่า
ผิวดาบยาวฉาบด้วยแสงสีส้มอมแดง แผ่ออร่าเสื่อมโทรมพร้อมกับแสงสนธยา
นี่คือสัญลักษณ์ของ ‘ยักษ์สนธยา’
เทพธิดารัตติกาลเหยียดแขนซึ่งปกคลุมด้วยขนสั้นสีดำ ฟาดดาบยักษ์ขนาดมหึมาลงไป
เธอสำรองพลังเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ราวกับเตรียมไว้ใช้ในเวลานี้โดยเฉพาะ!
ท่ามกลางเสียงความว่างเปล่าแตกละเอียดและผุกร่อน ดาบยาวซึ่งปกคลุมด้วยแสงสนธยา ฟันทะลุลงไปถึงหลังคาโดมของวังอันทีโกนัส ส่งผลให้ศพมากมายที่ถูกแขวนอยู่หล่นกระจัดกระจาย
ทันทีหลังจากนั้น คลื่นดาบกระแทกเข้ากับ ‘ร่างเดิม’ ของไคลน์ซึ่งยังไม่หยุดพ้นจากภวังค์หลับลึกชั่วนิรันดร์
เศษเสี้ยวเจตจำนงแห่งการคืนชีพของราชันเร้นลับดับวูบลงในพริบตา ร่างที่เป็นภาชนะทรุดตัวลงกะทันหันอย่างมิอาจขัดขืน เอกลักษณ์ของเดอะฟูลบนใบหน้า และตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ภายในร่างกาย ร่วงหล่นลงมากองรวมกันบนพื้น
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ไม่มัวรีรอ รีบทำตามแผนโดยการระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อดึงสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์หนึ่งในสี่ส่วนออกมาปกคลุมกองวัตถุดิบ
ท่ามกลางหมอกสีขาว เอกลักษณ์ของเดอะฟูลและตะกอนพลังผสานเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์
พวกมันดูดซึมสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์โดยรอบเข้าไปจนอิ่มหนำ แปรสภาพกลายเป็นของเหลวสีเข้มลุ่มลึกไร้รูปร่าง
ของเหลวดังกล่าวยืดออกและก่อตัวเป็นสิ่งที่คล้ายกับเสื้อคลุมโปร่งแสงแปลกประหลาด หรือไม่ก็ชายคนหนึ่งซึ่งไม่มีเลือดเนื้อและอวัยวะภายใน
โอสถเดอะฟูล!
เหล่าอามุนด์เหยียดมือขวาออกพร้อมกันและลงมือ ‘ขโมย’ โอสถ
………………………………