ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1384 : จำแลงแนวคิด
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1384 : จำแลงแนวคิด
ได้ยินคำพูดอามุนด์ หัวใจไคลน์พลันหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มไม่เคยกังวลว่าอามุนด์จะเสนอข้อตกลงให้เทพแห่งตะเกียง เพราะอีกฝ่ายเป็นนักต้มตุ๋นตัวยง ทุกคำพูดที่ออกมาล้วนเชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะคำมั่นสัญญา นอกจากนั้น เทพแห่งตะเกียงยังเคยพบราชันเร้นลับมาแล้ว แถมยังตกเป็นเหยื่อของพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันจนต้องทุกข์ทรมานจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่เทพแห่งตะเกียงจะมองว่าคำพูดของอามุนด์มีความน่าเชื่อถือต่ำ
เป็นผลพวงมาจากการขาดความน่าเชื่อถือ
ในบางครั้ง การโกหก ฉ้อโกง และเอาเปรียบก็ช่วยสร้างผลประโยชน์ในระยะสั้น แต่หากมองถึงระยะยาว ความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือจะช่วยพาไปได้ไกลกว่า
แต่เมื่อครู่ หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์เพิ่งกำหนดกฎ ‘ห้ามหลอกลวงที่นี่’
และอามุนด์ก็ไม่โดนลงโทษหลังจากให้คำมั่นสัญญา!
ในเวลาเดียวกัน ทั้งไคลน์และเทพแห่งตะเกียงต่างก็ไม่พบว่าอามุนด์แอบใช้ช่องโหว่ของกฎ
คำพูดของอามุนด์จึงถูกยืนยันข้อเท็จจริงทางอ้อมทันที
เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นั่นคือคำพูดที่มาจากใจและมิได้หลอกลวง
นอกจากนั้น เทพแห่งตะเกียงยังสามารถพึ่งพาระดับตัวตนเพื่อบิดเบือนประโยค ‘ข้าสามารถรับปาก’ ให้เป็น ‘ข้ารับปาก’ ได้ด้วย เพื่อไม่ให้อามุนด์พลิกลิ้นผิดสัญญาในภายหลัง หากฝ่าฝืนหรือละเมิดก็จะได้รับความเสียหายร้ายแรงจากระดับตัวตนวันวาน
ไคลน์อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า ประโยค ‘ห้ามหลอกลวงที่นี่’ เกิดจากการที่อามุนด์แอบชักจูงหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ หรือเป็นความตั้งใจของเทพแห่งตะเกียงเอง เพื่อที่จะกดดันให้ราชันเร้นลับซึ่งสามารถเป็นใครก็ได้ แข่งกันส่งตนออกไปนอกอวกาศโดยเร็ว
สำหรับเทพแห่งตะเกียง มันไม่มีอะไรต้องเสียหากตอบรับข้อเสนอของอามุนด์ เพราะสัญญาระหว่างมันกับไคลน์ ฝ่ายที่กำลังติดหนี้คือไคลน์
หากเป็นสถานการณ์อื่น ไคลน์คงมีเวลาสื่อสารกับเทพแห่งตะเกียงเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน แต่ในปัจจุบัน ภัยคุกคามจากอามุนด์อยู่ห่างแค่เอื้อมเท่านั้น อีกฝ่ายคงไม่เปิดโอกาสให้ตนปรับความเข้าใจกับเทพแห่งตะเกียงแน่
หากเลือกจะเชื่อใจเทพแห่งตะเกียงต่อไป ก็เท่ากับว่าไคลน์ต้องยอมฝากชะตากรรมของตนไว้ในมือเทพภายนอก ปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการไปตามแผนเดิม – โดยที่ไม่รู้เลยว่า ในการต่อสู้ที่กำลังจะดำเนินมาถึง เทพแห่งตะเกียงจะแสร้งเขียนกฎที่ดูเหมือนจะดี แต่ความจริงแล้วแอบทำให้อามุนด์ได้เปรียบหรือไม่ และถ้าเป็นแบบนั้นจริง ไคลน์ที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่แล้ว ก็เรียกได้ว่าปิดประตูแพ้แบบไม่มีโอกาสพลิก
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจเดิมพันกับบางสิ่ง
เสื้อคลุมโปร่งแสงสีเข้มปรากฏขึ้นรอบตัวชายหนุ่มทันที ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยหน้ากากประหลาดที่บิดเบี้ยว
เดอะฟูล!
วงกลมระลอกคลื่นล่องหนแผ่ออกจากร่างไคลน์ ปกคลุมเทพแห่งตะเกียง หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ ดินแดนรกร้างว่างเปล่า และอามุนด์
อำนาจ ‘เขลาและบอด’ !
แว่นตาขาเดียวของอามุนด์สูญเสียความแวววาวไปครู่หนึ่ง ราวกับสูญเสียการมองเห็นไปพร้อมกัน ดวงตาของมันพลันเหม่อลอย
ความเร็วในการเขียนกฎใหม่ของหนังสือของเหลืองทรันซอสต์ชะลอตัวลงมาก ราวกับต้องใช้เวลาอีกสิบห้านาที หรือแม้กระทั่งสองสามชั่วโมงเพื่อจะเขียนกฎถัดไป
ร่างสีทองซีดและบิดเบี้ยวของเทพแห่งตะเกียง ไหววูบเล็กน้อยก่อนจะหดกลับเข้าไปในตะเกียงวิเศษสีทองคล้ายกาน้ำ ไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายกำลังหนี หรือเป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณ
ฉวยโอกาสดังกล่าว ไคลน์พยายามหลบหนีจากปราสาทต้นกำเนิด ขณะเดียวกันก็เตรียมปลูกถ่ายตัวเองกับบางสิ่ง
ทันทีที่สติชายหนุ่มดำดิ่ง เลนส์แว่นตาขาเดียวปรากฏขึ้นบริเวณขอบเขตปราสาทต้นกำเนิด ปิดก้นเส้นทางหนีของไคลน์ไว้อีกครั้ง
แม้สติปัญญาจะลดต่ำลงเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่อามุนด์ก็ยังไม่ลืมที่จะขัดขวางการหลบหนีของไคลน์
ดวงตาอามุนด์กลับมาแวววาวอีกครั้ง แต่สียังค่อนข้างคล้ำเช่นเคย มุมปากยกขึ้นอย่างมิอาจควบคุม
“ข้า ‘เขียน’ พฤติกรรมนี้ไว้ในสัญชาตญาณของตัวเอง มันคือวิธีที่ดีที่สุดสำหรับรับมือกับ ‘เขลาและบอด’”
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งพลังในการหลอกลวงกฎ หลอกตัวเอง ทำให้สัญชาตญาณเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ควรกระทำ
ไคลน์มิได้สิ้นหวังเสียทีเดียว เนื่องจากการ ‘ปลูกถ่าย’ ที่เตรียมไว้เสร็จสิ้นพอดี
ท่ามกลางอวกาศ ดาวยักษ์ดวงหนึ่งซึ่งกำลังเปล่งแสงและความร้อนอย่างต่อเนื่อง เกิดหรี่ลงในทันใด
ภายในดินแดนอันรกร้างซึ่งถูกปกคลุมด้วย ‘กลางวันนิรันดร์’ ดวงอาทิตย์สีส้มแดงซึ่งเปี่ยมไปด้วยออร่าทำลายล้างและแรงสะกดข่ม กำลังเคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้าด้านบน
ทุ่งโล่งเริ่มแตกร้าว เกิดรอยแยกและผิวโค้งงอ ราวกับถูกดึงดูดเข้าไปหาดาวดวงดังกล่าว
ในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งลุกเป็นไฟ รวมไปถึงอามุนด์ด้วย
วินาทีถัดมา ห้วงมิติโดยรอยเกิดการหดตัวราวกับว่านั่นคือดวงอาทิตย์ของจริง ทุกสิ่งภายในโลกใบนี้มีชะตากรรมต้องแหลกสลายหรือไม่ก็ระเหยกลายเป็นไอ สองสิ่งที่ยังหลงเหลือคือตะเกียงวิเศษประทานพรและหนังสือทองเหลืองของทรันซอสต์ พวกมันสามารถทนรับความเสียหายทั้งหมดได้โดยไม่บุบสลาย
ไคลน์ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ได้อันตรธานหายไปสักพักแล้ว
มันปลูกถ่ายตัวเองเข้ากับดาวดวงนั้น
แต่แน่นอน การปลูกถ่ายของไคลน์เพียงเชื่อมกับ ‘แนวคิด’ ของดวงดาว ไม่ใช่ดาวจริงๆ ไม่อย่างนั้น ด้วยร่างกายของเดอะฟูลซึ่งเปราะบางกว่าลำดับ 0 เส้นทางอื่นเป็นทุนเดิม มันคงถูกดวงดาวกลืนกินและเสียชีวิตภายในอาณาจักรเทพของตัวเอง
เดอะฟูลเป็นเทพที่สุดโต่งมาก มีพลังในการทำลายดวงดาว แต่ไม่มีปัญญาจะเผชิญหน้าโดยตรง จุดแข็งและจุดอ่อนเด่นชัดพอๆ กัน
แต่โดยทั่วไปแล้ว แนวคิดของวัตถุจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพแวดล้อม ไม่สามารถใช้ทำร้ายศัตรู หรือต่อให้ระบุชัดเจนว่า ‘มวลมาก แรงโน้มถ่วงสูง อุณหภูมิสูง คลื่นความร้อนรุนแรง มีปฏิกิริยาฟิวชัน’ ก็ใช่ว่าจะได้ผลลัพธ์ออกมาแบบเมื่อครู่ ต้องไม่ลืมว่า ‘เดอะฟูล’ คือผู้ถือครองอำนาจการ ‘ปั่นหัว’
ชายหนุ่มทำการเปลี่ยนภาพแวดล้อมให้ตรงตามแนวคิดของดาวดวงนั้น!
นี่เป็นทั้งอำนาจ ‘การเปลี่ยนแปลง’ อันหนักหน่วงที่ผนวกกับอำนาจ ‘การปั่นหัว’
ร่างของอามุนด์ซึ่งแต่งกายในชุดคลุมสีดำและหมวกปลายแหลม กำลังลุกไหม้เมื่อถูกดวงดาวแผดเผาจากระยะใกล้ อวัยวะบางส่วนเริ่มระเหย
ทันใดนั้นเอง ร่างของมันเกิดบิดเบี้ยวพร้อมกับถูกย้อมด้วยแสงดาวเจิดจ้า กลายเป็นบานประตูมายาที่ดูคล้ายกับ ‘ประตูดวงดาว’
ในวินาทีนี้ คล้ายกับอามุนด์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มก้อนของสัญลักษณ์ ‘พเนจร’ ‘อุโมงค์ดาว’ ‘กุญแจ’ และ ‘ประตู’
นี่คือพลังที่ ‘จอมเวทท่องมิติ’ ใช้ในการเดินทางข้ามดวงดาว – พวกมันสามารถจำแลงกายเป็นสัญลักษณ์และใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมของโลกดาราได้เกิดประโยชน์สูงสุด
ในลำดับ 0 ‘ประตู’ พลังดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพและกลายเป็น ‘จำแลงแนวคิด’
อามุนด์เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตนามธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจาก ‘ดาว’
ด้านหลังอามุนด์ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นไคลน์ที่แต่งกายในเสื้อคลุมยาวสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง
ในเวลาเดียวกัน ความคิดของอามุนด์เฉื่อยชาลงเล็กน้อย
ด้ายวิญญาณของมันถูกไคลน์สัมผัส
ไคลน์อาศัยความวุ่นวายที่เกิดจาก ‘ดาว’ เพื่อแอบคลายการ ‘ผนวกใหม่’ ระหว่างแนวคิด และนำบางส่วนไป ‘ปลูกถ่าย’ ลงในสองตำแหน่ง จากนั้นก็หายไปตัวไปโผล่ด้านหลังอามุนด์
เดิมที หากปราศจากการ ‘ผนวกใหม่’ อิทธิพลที่ดวงดาวสร้างต่อโลกใบนี้ก็ควรหยุดลงในทันที แต่ไคลน์ทำการปั่นหัวกระแสเวลาเพื่อทำให้ผลลัพธ์ในสองวินาทีแรก ยังคงอยู่จวบจนปัจจุบันโดยที่อามุนด์ไม่ทันรู้ตัว
หากเป็นไปได้ สิ่งที่ไคลน์อยากทำที่สุดก็คือ เข้าควบคุมด้ายวิญญาณของอามุนด์ในเชิงลึกและเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นหุ่นเชิด แต่ชายหนุ่มทราบดี ในสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสสำเร็จช่างริบหรี่เหลือเกิน: ในแง่หนึ่ง อามุนด์สามารถทนรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ และยังสามารถขโมยด้ายวิญญาณกลับไป และในอีกแง่หนึ่ง อามุนด์อาจอาศัยการเชื่อมโยงระหว่างด้ายวิญญาณ เพื่อใช้ ‘บั๊ก’ ทำการปรสิตไคลน์แบบย้อนกลับ
หากไม่มั่นใจจริงๆ ไคลน์ไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
จุดประสงค์หลักที่ชายหนุ่มตรึงด้ายวิญญาณอามุนด์ไว้ก็คือ มันการต้องทำให้อีกฝ่ายประสบความเฉื่อยชา
ผลลัพธ์ของวิธีดังกล่าวใกล้เคียงกับอำนาจ ‘ปั่นหัว’ ของเดอะฟูล เพราะต้องไม่ลืมว่า ด้วยสภาพของไคลน์ในปัจจุบัน ชายหนุ่มขอเลือกวิธีที่ปลอดภัยและมีแนวโน้มสำเร็จมากเป็นหลักก่อน ดีกว่าการใช้อำนาจ ‘ปั่นหัว’ พร่ำเพรื่อและต้องแบกรับความเสี่ยง
ในวินาทีนี้ นอกจากอามุนด์ ศัตรูของไคลน์ยังมีราชันสวรรค์ฟ้าดินภายในร่าง
แน่นอน ทางฝั่งอามุนด์ก็เช่นกัน หากมันไม่ผนึกความบ้าคลั่งของราชันสวรรค์ฟ้าดินกลับไป อีกฝ่ายก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาในร่าง
หลังจากทำให้อามุนด์เหม่อลอยชั่วขณะ ไคลน์มีสามทางเลือก:
ทางแรก ฉวยโอกาสหลบหนีออกจากปราสาทต้นกำเนิด แต่มันไม่แน่ใจว่าสัญชาตญาณของอามุนด์จะยังอยู่ไหม
ทางที่สอง อัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์มาช่วย แต่นั่นคงไม่มีประโยชน์สักเท่าไร เทวทูตแทบไม่มีบทบาทในศึกระหว่างทวยเทพ ต่อให้นำร่างจริงมาสู้ก็คงสิ้นฤทธิ์เพียงถูกอามุนด์จ้องตา เช่นนั้นแล้วนับประสาอะไรกับภาพฉาย หรือต่อให้เรียกมาส่งเสียงเพรียกเชิงข้อมูล แต่นั่นก็ไม่คุ้มค่าที่จะทำ – เพราะเทพจารีตที่เหลือไม่สามารถเข้ามาในปราสาทหลังนี้
ทางที่สาม ฉวยโอกาสนี้สร้างอิทธิพลบางอย่างที่สามารถออกฤทธิ์กับร่างต้นอามุนด์
ไคลน์เลือกทางที่สามโดยไม่ลังเล
มันต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อปลูกถ่ายอามุนด์เข้ากับ บานประตูแห่งแสงสีน้ำเงินเข้มบนปราสาทต้นกำเนิด
ไคลน์มองว่าอาการเสียสติของอามุนด์ยังรุนแรงไม่มากพอ แค่ช่างพูดกว่าปรกติเล็กน้อย และมักลงมือช้าไปในบางจังหวะ แต่ไคลน์ต้องการทำให้อามุนด์บ้ามากกว่านี้
เมื่ออามุนด์กับปราสาทต้นกำเนิดถูก ‘ผนวกใหม่’ เข้าด้วยกัน เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินในตัวอามุนด์ย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นมาก ความปั่นป่วนทางจิตใจจะยิ่งรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อเป็นเช่นนั้น อามุนด์จะขาดเหตุและผล พฤติกรรมจะดำเนินไปตามสัญชาตญาณมากกว่าความคิด
สำหรับมิสเตอร์ข้อผิดพลาดที่เก่งกาจด้าน ‘หลอกลวง’ ปัญหานี้ถือเป็นอันตรายร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่แน่นอน ระยะเวลาในการปลูกถ่ายต้องไม่นานเกินไป หนึ่งวินาทีกำลังดี ไม่อย่างนั้น ศัตรูที่ไคลน์ต้องเผชิญหน้าด้วยอาจไม่ใช่อามุนด์ หากแต่เป็นราชันสวรรค์ฟ้าดิน
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อีกฝ่ายคงหัวเราะเยาะชอบใจกับของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นนี้ เพราะมันจะได้สู้กับลำดับ 0 เดอะฟูลด้วยปราสาทต้นกำเนิด เอกลักษณ์ของประตูและข้อผิดพลาด รวมถึงตะกอนพลังที่เกี่ยวข้อง
อันที่จริง ไคลน์สามารถใช้อำนาจการปั่นหัวเพื่อทำให้ระดับสติปัญญาของอามุนด์ลดลง แต่ต้องไม่ลืมว่า ในสภาพปัจจุบัน ไคลน์ไม่สามารถใช้อำนาจได้เป็นเวลานานนัก นอกจากนั้น อามุนด์คือเทพแท้จริงสองเส้นทางและถือครองอำนาจมากมาย ระยะเวลาของ ‘เขลาและบอด’ คงดำรงอยู่ไม่นาน ไคลน์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเสี่ยงปลูกถ่ายเข้ากับปราสาทต้นกำเนิดโดยตรง
อามุนด์จะเสียสติไปอีกนาน จนกว่าจะค้นพบสมดุลใหม่ หรือไม่ก็ไปพบ ‘นักจิตบำบัด’ อันดับหนึ่งของโลก
ทันใดนั้น หน้ากากโปร่งแสงปรากฏบนใบหน้าไคลน์อีกครั้ง ส่วนร่างของอามุนด์ก็ปรากฏภาพของบานประตูแห่งแสงที่ฉาบด้วยสีน้ำเงินเข้ม
ปราสาทต้นกำเนิด