ราชาซากศพ - บทที่ 101 ลับหลัง
บทที่ 101
ลับหลัง
“หลานชาย… เจ้าจะจัดการคนพวกนี้อย่างไรดี” เย่ชิงเฟิงชี้ไปซุยชวนจุน และถามจึงการจัดการกับตระกูลซุย
“ข้าต้องการเพียงแค่สิ่งของ ในส่วนที่เหลือ มอบให้ท่านเป็นคนจัดการเถอะ” หลินเว่ยส่ายหัวและพูดด้วยใบหน้าเฉยเมย
“นายน้อย…..ตอนนี้ค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ต้องจัดการกับชิงหลิงถัง ส่วนวิธีจัดการกับคน
และอาณาเขตของตระกูลนี้ ท่านเย่จัดการเองได้ตามสมควร ! กองทหารรับจ้างโลกันตร์จะไม่เข้าไปวุ่นวาย
” เมื่อเห็นเย่ชิงเฟิงมองมาที่ตนเอง เถาจุนก็ไม่อยากสนใจ และพูดออกมาตรง ๆ
“เอาล่ะ มีกองกำลังขนาดเล็กและขนาดกลางที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรของพวกเขาหรือไม่? ท่านช่วยส่งข่าวให้ข้า และให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม ทรัพยากรครึ่งหนึ่งของตระกูล ต้องถูกส่งมาให้ข้า อย่าต้องให้ข้าเดินทางไปรับด้วยตนเอง ในตอนนั้น มันอาจจะไม่ใช่แค่ทรัพยากรครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าข้านั้นจัดการหนักมือเกินไป ก็อย่าได้ตำหนิ”หลินเว่ยยังไม่ลืมว่ามีของหวานอีกมากมาย แม้กองกำลังเหล่านี้อาจไม่ทรงพลังเท่าตระกูลซุย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“ได้…เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน” เย่ชิงเฟิงพยักหน้าและกล่าวยืนยันว่า จะส่งรายละเอียดไปให้
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว หลินเว่ยจึงเก็บสัตว์ร้ายโครงกระดูกและเสี่ยวหลงเข้าไปในพื้นที่มิติ หลังจากกล่าวทักทายเย่ชิงเฟิงและคนอื่น ๆ หลินเว่ยก็หันหลังกลับไปที่บ้านของเขา
“ฮึ่ม! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน…. เจ้าลูกหมา ไม่นานหลังจากที่หลินเว่ยจากไป ซูเหมยก็พูดออกมาอย่างโกรธ ๆ
“ผู้นำซู เกรงว่าจะไม่ดี ที่ท่านจะเอ่ยลอบด่าทอหลินเว่ยลับหลัง อย่างไรก็ตาม….เถาจุนยังอยู่ที่นี่!” เย่ชิงเฟิงพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่สนุกสนานบนใบหน้าของเขา
“ทำไมข้าจะด่า ท่านมีปัญหาหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงเฟิง ซูเหมยก็หันหน้าไปมองเถาจุน และถามด้วยท่าทางข่มขวัญ มีสายตามุ่งร้ายในดวงตาของนาง
“ไม่…..ไม่!” ใบหน้าของเถาจุนแข็งทื่อ เขาส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพูดตะกุกตะกัก แต่ในใจเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เขาก่นด่าตัวเอง “ไม่เป็นไร…..อย่านำข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย”
“ เห็นหรือไม่……ไม่มีผู้ใดมีปัญหา” ซูเหมยกางมือออก และตอนนี้ใบหน้าของนางนั้นดูดีขึ้นมาก
“อา….. เย่ชิงเฟิงและคนอื่น ๆ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทั่วทั้งเมืองเฮยสุ่ยคงไม่มีผู้ใดกล้ามีปัญหากับท่าน
“เอาล่ะ! ข้าต้องการสองส่วน” ซูเหมยพูดอย่างไม่เต็มใจ
“ได้!” ไป๋หลงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
…………
ระยะเวลาผ่านไปนาน กว่าครึ่งเดือน นับตั้งแต่เกิดเรื่องราวใหญ่โต ทุกคนสามารถมองเห็นชะตากรรมของตระกูลซุย ตระกูลหลิว และ ชิวหลิงถังได้ กองกำลังขนาดเล็กและขนาดกลางเหล่านั้นมีความซื่อสัตย์มาก
ในวันที่สามหลังจากมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่ามีบางคนมาที่จวนหยางฝู และพบกับหลินเว่ยพร้อมมอบทรัพยากรส่วนใหญ่ของตระกูลออกมา อย่างไรก็ตามเถาจุนเป็นคนออกไปรับแขก และนำสิ่งของไปมอบให้หลินเว่ย
หลังจากที่เข้ายึดชิวหลิงถัง ความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างโลกันตร์ก็พุ่งสูงขึ้น และเหล่าร้านค้าของชิวหลิงถัง ก็กลายมาเป็นของกลุ่มทหารรับจ้างโลกันตร์ หลังจากนั้นค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ก็ไม่ได้เป็นค่ายทหารอีกต่อไป
ดังนั้นหลังจากได้รับการอนุญาตจากหลินเว่ย กลุ่มทหารรับจ้างโลกันตร์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นจวนหยางฝู หลินเว่ยเป็นผู้นำและเถาจุนเป็นรองหัวหน้า ภายในจวนประกอบไปด้วยห้องโถงสองห้อง และสามห้องโถงใหญ่ ไท่เซียนคือหัวหน้าห้องหลอมอาวุธ,
ห้องโถงลงทัณฑ์และห้องโถงกลั่นยา เนื่องจากมีนักปรุงยาเพียงสามหรือสองคน และพวกเขาสามารถปรุงยาระดับหนึ่งและสองได้เพียงบางส่วน ดังนั้นพื้นที่ภายในห้องจึงไม่ใหญ่โตมากมายนัก
ห้องโถงที่เหลือคือ ห้องโถงของกงฟา เนื่องจากมีกองกำลังหลักสามกองกำลัง และมีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้มากมายกว่ากองกำลังใด ๆ ห้องโถงของกงฟาจึงถูกจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษ ขุนศึกขั้นห้าของค่ายทหารได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสและจัดการงานในนามของหลินเว่ย
ส่วนที่เหลืออีกสองหน่วยงานคือ หัวหน้าหน่วยการค้าซึ่งดูแลธุรกิจทั้งหมดของจวนหยางฝู นั่นคือ กู่เทียนหมิงเป็นหัวหน้าฝ่ายการดูแลการค้า และหัวหน้าดูแลคลังสมบัติ ซึ่งรับผิดชอบการแจกจ่ายวัสดุ เงินทอง และเมล็ดพืชของจวนหยางฝูทั้งหมด และบริหารร่วมกันโดยหญิงสาวหลายคน
ในแง่ของคนที่อยู่ในจวน แบ่งออกเป็น ศิษย์ฝึกหัด, ศิษย์ชั้นนอก, ศิษย์ชั้นใน, ศิษย์ชั้นยอด และศิษย์หลัก ซึ่งจะมีระดับพลังขั้นต่ำคือ ขั้นสอง ส่วนศิษย์ที่มีระดับพลังต่ำกว่านั้น จะเป็นศิษย์ฝึกหัด
พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นแรงงานในจวนและฝึกฝน พวกเขาจะได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนในทุกเดือน เมื่อพวกเขาก้าวหน้าไปถึงขั้นสาม พวกเขาก็จะกลายเป็นศิษย์ชั้นนอก ซึ่งจะได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนมากกว่าศิษย์ฝึกหัดหลายเท่า
ในทางกลับกันศิษย์ชั้นใน ต้องการมีระดับการฝึกฝนถึงขั้นสี่ พวกเขาจะได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นสิบเท่า และสถานะของตนเองในจวนจะเพิ่มขึ้นมาก เมื่อถึงขั้นตอนนี้พวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ไปภารกิจบางอย่าง
หากสามารถเลื่อนระดับไปถึงขั้นห้า จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์ชั้นยอด หรือผู้อาวุโส เพื่อช่วยเถาจุน ในการจัดการงานของจวนหยางฝู ทรัพยากรที่จะได้รับนั้นอุดมสมบูรณ์มาก สำหรับศิษย์สายหลัก พวกเขาต้องฝึกฝนจนถึงขั้นซึ่งใช้เวลา และมีพื้นที่ส่วนตัวในการฝึกฝน
สำหรับการจัดการของจวนหยางฝู หลินเว่ยก็กลายเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ หลังจากที่เขามีแก่นคริสตัลจำนวนมาก ความแข็งแกร่งของเขาก็เริ่มดีขึ้น อีกครั้งหลังจากผ่านไปกว่าครึ่งปี
จำนวนและคุณภาพของสัตว์อสูรของกองกำลังของเขาในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่ แต่ยังมีคุณภาพสูงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม คุณภาพของแก่นคริสตัลที่จวนหยางฝูได้รับมาจากกองกำลังขนาดเล็กและขนาดกลางนั้นไม่ดีมากนัก แต่จำนวนนั้นมีมากมาย
ด้วยเหตุนี้แก่นคริสตัลเกือบครึ่งเมืองเฮยสุ่ยก็ถูกรวบรวมไว้ในมือของหลินเว่ย และทักษะการคืนชีพโครงกระดูกของ หลินเว่ยได้รับการเลื่อนระดับเป็นขั้นที่หก แต่พลังงานที่เหลืออยู่นั้น ไม่เพียงพอที่จะเพิ่มพื้นที่มิติ
ด้วยเหตุนี้ หลินเว่ยจึงนำเงินที่ได้มาจากกองกำลังทั้งหมด รวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดของเขา เปลี่ยนเป็นเหรียญทองม่วง ซึ่งมีจำนวนแปดล้านชิ้นในเมืองเฮยสุ่ยเพื่อกว้านซื้อแก่นคริสตัล
ในท้ายที่สุด ราคาของแก่นคริสตัลก็พุ่งขึ้นหลายเท่า แต่ในเวลานั้นหลินเว่ยใช้เงินของเขาไปจนหมดสิ้น
หลังจากใช้เงินจนหมดสิ้นเนื้อประดาตัว หลินเว่ยก็สามารถเลื่อนระดับของพื้นที่มิติได้สมความปรารถนา และความสำเร็จทางศิลปะการต่อสู้และเต๋าของเขา ก็สามารถทะลวงปถึงขุนศึกระดับสอง สำหรับความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณเขานั้นได้พัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีหนทางอีกยาวไกล ที่จะไปก้าวไปสู่ขั้นสวรรค์
เหตุผลที่เขาสามารถเลื่อนระดับนั้น เป็นผลมาจากการมีการใช้ของเหลวรวมวิญญาณ จนถึงตอนนี้มีของเหลวรวมวิญญาณ เหลือเพียงครึ่งที่อยู่ในพื้นที่มิติของเขา เป็นเพราะทั้งเขาและสัตว์อสูรทั้งสองตนนั้น แบ่งปันของเหลวรวมวิญญาณในการฝึกฝน
หลังจากระดับพลังของเขาดีขึ้น หลินเว่ยก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปม่อหลิงเทียนอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะจากไป เขาจัดพื้นที่มิติเล็กน้อย และทิ้งของที่ไม่จำเป็น คราวนี้เขาทำความสะอาดกระเป๋ามิติของตนเองจนโล่งเตียน แต่สิ่งของที่ถูกทิ้งไว้ที่ จวนหยางฝู มูลค่านั้นไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีอาวุธวิญญาณมากกว่า 30 ชิ้น ที่ได้รับจากกองกำลังหลักทั้งสามของตระกูลซุย ส่วนใหญ่เป็นอาวุธขั้นสูงของสามกองกำลัง แต่ตอนนี้พวกมันกลายมาเป็นของ หลินเว่ย อย่างไรก็ตามหลินเว่ยไม่ได้สนใจอาวุธวิญญาณโดยเขาส่งมอบให้ไท่เซียน