ราชาซากศพ - บทที่ 226 เสี่ยวจิน
บทที่ 226
เสี่ยวจิน
“โฮก! ข้าจะสังหารเจ้ามนุษย์….เจ้าใช้กลอุบายนี้กับข้าอีกครั้งแล้ว
วานรสีทองยักษ์กุมมือไปที่กล่องดวงใจ และคุกเข่าลงบนพื้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาของมัน มันมองไปที่ หลินเว่ยด้วยความอดกลั้น และขุ่นเคือง มันกลอกตามองด้วยความเจ็บปวด
ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน มันเป็นเพียงการโจมตีที่ไม่ตั้งใจ และแทบจะไม่ได้ใช้กำลังมากมายเลย จากสัตว์อสูรวานร
แม้ว่าวานรสีทองยักษ์จะเคยใช้ทักษะการป้องกันมาก่อนแล้ว แต่การป้องกันที่กล่องดวงใจกลับไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายโครงกระดูกลิงยังแข็งแกร่งมาก แม้ว่ามันจะไม่สร้างความเสียหายให้มากนัก แต่มันก็เจ็บปวดจริง ๆ!
“เอ่อ! เจ้าจะเชื่อหรือไม่? หากข้าบอกว่ามันคือ ความไม่ตั้งใจ ปากของหลินเว่ยกระตุก และเกาหัว เขาพูดด้วยความลำบากใจ
หลินเว่ยไม่ได้สั่งให้สัตว์ร้ายโครงกระดูกวานรโจมตีไปที่กล่องดวงใจของวานรสีทองยักษ์ บางทีมันอาจเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ร้ายโครงกระดูกวานร ที่ชอบโจมตีที่แห่งนั้น
“ให้ข้าเชื่อในตัวเจ้าเรอะ!ข้าไม่ได้โง่เขลา วานรสีทองยักษ์กัดฟัน พลางพูดด้วยความเจ็บปวด
“ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นอันใด…..เช่นนั้นมาสู้กันต่อเถอะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด หลินเว่ยก็ไม่ได้อธิบายต่อ แต่เขากลับปล่อยสัตว์โครงกระดูกวานรที่เขาเก็บเข้าพื้นที่มิติ ให้ออกไปอีกครั้ง
“ ผายลม! ไม่อีกต่อไป! ถ้าสู้ต่อไป….ข้าคงไร้สิ้นทายาท” หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เขาก็เห็นโครงกระดูกที่อยู่ ใกล้ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากได้เห็นโครงกระดูกวานรทั้งสองตัว
หนังศีรษะของวานรสีทองยักษ์ตัวใหญ่ เริ่มชาวาบ และส่ายหัวอย่างรีบร้อน เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับความพ่ายแพ้
จนกระทั่งวานรสีทองยักษ์กลายร่างหดตัวเหลือขนาดตัวเท่าเดิม หลินเว่ยเห็นสิ่งนี้และโบกมือเก็บโครงกระดูกทั้งหมดลงไป จากนั้นเขาก็มองไปที่วานรสีทองยักษ์ตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม หลินเว่ยรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาที่จะสังหารเขา
“ เหตุใดไม่หนีไป” หลินเว่ยเห็นวานรสีทองตัวน้อย และร้องถามอย่างเร่งรีบ
“ ….ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของเจ้า” หลินเว่ยเอียงศีรษะ และพูดอย่างขี้เล่น
“ฮึ่ม! ใครบอกว่า ไม่ใช่ดินแดนของข้า สัตว์อสูรวานรเผือก! เป็นท่านปู่ของข้า” เมื่อเห็นว่าหลินเว่ย เริ่มหยอกเย้า วานรสีทองตัวน้อยก็โกรธมาก จากนั้นเขาก็วางมือบนสะโพกของเขา และเงยหน้าขึ้นมองหลินเว่ย ด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ
“เจ้าหรือเป็นหลานของวานรเผือก เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ? เจ้าไม่ใช่วานรเผือกเช่นเดียวกับเขา!” หลินเว่ยขมวดคิ้วและเขามองไปที่อีกฝ่ายด้วยใบหน้าเย้ยหยัน และ พูดพร้อมกับบิดริมฝีปาก
“ไร้สาระ! ใครบอกว่า หากปู่ของข้าเป็นวานรเผือก ข้าต้องสืบทอดสายเลือดของวานรเผือก
ไม่สามารถสืบทอดสายเลือดอื่นงั้นหรือ…. เจ้าไม่รู้เรื่องราว….เป็นเด็กน้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เจ้ากล้าวิ่งไปรอบ ๆที่นี่ ”
วานรสีทองตัวน้อยโค้งงอปากของเขา และพูดอย่างดูถูก
“ เอ่อ … !” หลินเว่ยตกตะลึง และอับอายต่ออีกฝ่าย ที่รู้มากมายเกี่ยวกับสัตว์อสูร
“ปู่ของเจ้า มีพลังระดับใด หลินเว่ยถามอย่างรีบร้อน
เพียงหลานของเขาก็มีพลังมาก เห็นได้ชัดว่าปู่ของเขา ต้องมีพลังมากยิ่งขึ้น บางทีเขาอาจอยู่ในช่วงกลางของสัตว์อสูรขั้นศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้ช่วงปลาย
“ปู่ของข้าดูเหมือนว่าจะสัตว์เทพอสูร!
“เจ้ามั่นใจหรือ? หลินเว่ยขมวดคิ้วและถามดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย คิดว่าอีกฝ่ายกำลังโอ้อวด
“ฮึ่ม! แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าก็ไม่ธรรมดา วานรสีทองตัวน้อยชูหัวขึ้นสูงและพูดด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ
“ เจ้าแข็งแกร่งงั้นหรือ?” ดวงตาของหลินเว่ยสว่างขึ้น และเขาถามด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอนฟังข้า ปู่ของข้า ดูเหมือนจะ เป็นสัตว์ในตำนาน วานรเผือก” วานรสีทองตัวน้อยพูดอย่างหยิ่งยโสมากขึ้น จมูกทั้งสองข้างเชิดขึ้นไปมองท้องฟ้า
” เช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงเอาชนะสัตว์อัญเชิญของข้าไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดเป็นสัตว์อสูรขั้นที่เก้า แต่เจ้ามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับกลางของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์” หลินเว่ยกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สงสัย
“ผายลม! ใครบอกว่าข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ ข้าแค่ใช้พละกำลังไปครึ่งหนึ่งแล้ว และไม่สามารถใช้ทักษะของตัวเองได้ชั่วคราว หากว่าเต็มที่ในการต่อสู้ สัตว์อัญเชิญของเจ้าไม่สามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้ แม้เพียงหมัดเดียว”
หลินเว่ยมองลงไปที่ใบหน้าของวานรสีทองตัวน้อย ที่เปลี่ยนไปและกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวต่อหน้าเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายหลินเว่ยก็เงียบไป เมื่อนึกถึงการต่อสู้ครั้ง ก่อนมันเป็นเรื่องขำขันจริง ๆ ในความเป็นจริงทั้งสองฝ่ายไม่ได้พยายามต่อสู้อย่างเต็มที่
“ แต่โครงกระดูกหักๆของเจ้านั้น แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะมังกร ข้ารู้สึกว่ามันควรจะมีพลังต่อสู้ ในขั้นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ระดับสอง สำหรับโครงกระดูกวานรทั้งสองตัวนั้นความแข็งแกร่งของเพียงตัวเดียว แทบจะไม่ถึงระดับหนึ่ง
ถ้าร่วมมือกัน พลังการต่อสู้จะเหนือกว่า ระดับสองแน่นอน นี่เป็นเพียงสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่เบื้องหน้าของข้า”
เมื่อเห็นว่า จู่ ๆหลินเว่ยก็เงียบลง วานรสีทองตัวน้อยคิดว่าเขาน่าจะพูดอะไรมันรุนแรงมากเกินไป เขาจึงรีบเปิดปากเพื่อปลอบใจหลินเว่ย แต่สุดท้ายไม่นานนัก เขาก็โอ้อวดตนเองอย่าห้ามไม่ได้
“แล้วสัตว์อัญเชิญอื่น ๆ ของข้า พวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด” หลินเว่ยถามอย่างร้อนใจ
“ อืม….” วานรสีทองตัวน้อยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคว่ำริมฝีปากของเขา และกล่าวว่า “ส่วนที่เหลือของเจ้า อยู่ในระดับขั้นที่เก้า สูงสุดก็แข็งแกร่ง มันก็เทียบเท่ากับสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ระดับหนึ่ง”
หลินเว่ยนั้นรู้เรื่องนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านั้นโครงกระดูกเหล่านี้สามารถสังหารมังกรได้ จะว่าไปแล้วโครงกระดูกที่เหลืออีก 22 ร่าง ควรมีพลังต่อสู้ ระดับศักดิ์สิทธิ์ ระดับสองธรรมดา
“แล้วปู่ของเจ้าอยู่ที่ใด?” หลินเว่ยถามอย่างสงสัย ตามความจริง เมื่อเกิดเสียงดังมาก อีกฝ่ายจะไม่มาดู ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยงั้นหรือ?
“เหอๆ! ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน….ข้าไม่ได้พบเขามานานกว่าสิบปีแล้ว” เมื่อได้ยินหลินเว่ยถามถึงปู่ของเขา วานรสีทองตัวน้อยก็โค้งปากและพูดอย่างไม่พอใจ
หลังจากพูดแบบนั้น แต่ก็เผยให้เห็นสีหน้าเหงาหงอยอย่างเห็นได้ชัด ว่าคิดถึงปู่ของตน เนื่องจากอาศัยอยู่ที่นี่มานาน ย่อมรู้สึกโดดเดี่ยว
แต่ในไม่ช้าวานรสีทองตัวน้อยก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง และจากนั้นก็พูดอย่างกระตือรือร้นกับหลินเว่ยว่า: “ข้าจะให้เจ้ากินผลไม้ที่นี่ เจ้าสามารถเลือกกินอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ‘ ไม่ต้องเกรงใจ”
“อา….ดี… ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย….หลินเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
ปู่ของข้า มักจะเรียกข้าว่ากระต่ายน้อย วานรสีทองตัวน้อยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม
“อะไรนะ……กระต่ายน้อย?” ดวงตาของหลินเว่ยกระตุก เขามองดูวานรสีทองตัวน้อยอย่างแปลก ๆ แต่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
“อะไรนะ…..เกิดอะไรขึ้น? ” วานรสีทองตัวน้อยมองไปที่หลินเว่ยอย่างสงสัย
“อืม! มันไม่มีอะไร! แต่เจ้ากระต่ายน้อย มันไม่ใช่ชื่อ มันคือชื่อที่ปู่ของเจ้าเรียกขานอย่างง่ายๆ หลินเว่ยกระแอมไอ กลั้นหัวเราะ แล้วเขาก็พูดอย่างรีบร้อน
“โอ้! ข้าเข้าใจแล้ว เมื่อฟังคำพูดของหลินเว่ย วานรสีทองตัวน้อยก็งก้มหน้า และขบคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดกับหลินเว่ย
“ ต้องการให้ข้ามอบชื่อให้ดีหรือไม่” หลินเว่ยตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาคิดว่า ตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในการมอบชื่อให้หลายๆคน
“ดี!” หลินเว่ยจับคางของเขา พยักหน้าด้วยท่าทางที่จริงจัง จากนั้นชี้ไปที่อีกฝ่ายและพูดว่า “เจ้าปกคลุมไปด้วยขนสีทองอันสูงส่ง และเจ้าเป็นวานรสีทองตัวน้อย ดังนั้น ข้าจะเรียกว่า เสี่ยวจิน!”
“เสี่ยวจิน” วานรสีทองตัวน้อย ทบทวนชื่อ สองสามคำ จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย พยักหน้าอีกครั้งและพูดอย่างมีความสุขบนใบหน้าของเขา” เสี่ยวจิน …..เอาล่ะ ข้าชื่อ เสี่ยวจิน แม้ว่าจะรู้สึกแปลก ๆ ”
“ชื่อแปลกงั้นหรือ นี่คือชื่อที่ดีที่สุด” หลินเว่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“อืม….วานรสีทองตัวน้อย ตอนนี้ต้องเรียกว่า เสี่ยวจิน พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ตาม หลินเว่ย! เจ้าต้องการพักอยู่ที่นี่หรือไม่ เสี่ยวจินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ ดี! ข้าจะพักที่นี่หนึ่งคืน และออกเดินทางไปพรุ่งนี้ หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีปัญหา! เจ้าสามารถอยู่ได้นานเท่าที่เจ้าต้องการ” วานรสีทองตัวน้อยตบหน้าอกของเขา และกล่าวด้วยใบหน้าที่มีความสุข
คืนหนึ่ง ก็เพียงพอแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะออกจากหุบเขากู่เยว่ และกลับไปที่สถานศึกษา “หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวบอก
“สถานศึกษา มันเป็นสถานที่ของมนุษย์หรือ?” วานรสีทองตัวน้อยกะพริบตา และถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ อืม! ข้ามีสหายอยู่บ้าง…..ให้พวกเขากินผลไม้ที่นี่ได้หรือไม่?” หลินเว่ยพยักหน้า และถามอย่างคาดหวัง หากอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย ก็คงต้องทำผิดต่อจูต้าชางเท่านั้น ให้พวกเขาอยู่ในพื้นที่มิติหนึ่งคืน
สำหรับผลไม้ทางจิตวิญญาณเหล่านี้ หลินเว่ยจะเก็บไว้ให้พวกเขาโดยธรรมชาติ
“แน่นอนไม่มีปัญหา…. มีผลไม้มากมายที่นี่ ข้าแทบไม่ได้กินมันมา หลายร้อยปีแล้ว เรียกพวกเขามากินด้วยกัน มีจำนวนมากมายเพียงพอให้ทุกคน” เมื่อได้ยินว่า หลินเว่ยยังมีสหายอยู่ วานรสีทองตัวน้อยไม่คิดมากมาย
เขารีบบอกให้หลินเว่ย พาสหายของเขามาที่นี่
“ฮ่าฮ่า! หลังจากนั้น หลินเว่ยก็โบกมือทันที ทันใดนั้นจูต้าชาง, รูธ และ เสี่ยวไป๋ ก็ถูกย้ายออกจากพื้นที่มิติโดย หลินเว่ย
“ นายท่าน
“นายน้อย!”
หลังจากพวกเขาออกมา จูต้าชาง และพวกเขาทั้งหมดมองไปที่หลินเว่ย เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาทั้งหมดถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นพวกเขาทั้งหมดมองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบ ด้วยความประหลาดใจ
“หลินเว่ย! พวกเขาเป็นสหายของเจ้าหรือ?” เมื่อ เสี่ยวจินเห็นการปรากฏตัวของจูต้าชาง อย่างกะทันหัน แม้ว่าเขาจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับมัน เขาไม่รู้จักมนุษย์มากนัก ดังนั้นเขาจึงคิดว่านี่เป็นลักษณะธรรมดาของมนุษย์