ราชาซากศพ - บทที่ 77 ออกล่าอีกครั้ง
บทที่ 77
ออกล่าอีกครั้ง
“เอ่อ! มันค่อนข้างยากที่จะเอ่ย! เป็นเพราะเราทำให้ตระกูลซุยขุ่นเคือง พวกเราก็ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ในทุกวันนี้ตระกูลซุยบีบบังคับพวกเราทุกหนทุกแห่ง และกีดกันชาวบ้านในค่ายผู้ลี้ภัยนี้ แม้ว่าผู้คนที่นี่จะไม่สามารถช่วยเหลือเราได้
แต่พวกเขาต่างก็แยกตัวออกจากเรา ไม่มีใครจ้างงานเพื่อให้พวกเราออกไปหาวัสดุหรือทำงาน แม้แต่ยาเม็ด เราก็ไม่สามารถติดต่อซื้อขายกับใครได้เลย และตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเวลายากลำบาก “เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เถาจุนก็ถอนหายใจ ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและอดกลั้น
“ข้าได้ยินมาหมดทุกอย่าง…ไม่ต้องเป็นกังวล ก่อนที่ข้าจะกลับมาที่นี่ ข้าได้สร้างพันธมิตรกับตระกูลเย่ไว้แล้ว และข้าก็ได้รับยาจากตระกูลเย่มาจำนวนหนึ่ง เจ้าเอาไปมอบให้พี่น้องในค่ายทีหลัง!” เมื่อได้ยินคำพูดของเถาจุน หลินเว่ยพยักหน้าพลางปลอบโยนสองสามคำแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายน้อยท่านได้เป็นพันธมิตรกับตระกูลเย่แล้วหรือ…..ตระกูลเย่หรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ใบหน้าของเถาจุนก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและถามด้วยความสงสัย
“ฮ่าฮ่า! ในเมืองเฮยสุ่ย นั้นมีตระกูลเย่กี่ตระกูลกันที่จะกล้าต่อต้านตระกูลซุย” หลินเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม โดยรู้สึกว่าเถาจุนนั้นโง่งมไปแล้ว
“จริงหรือ ตระกูลเย่เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับตระกูลซุย พวกเขาจะเลือกร่วมมือกับเรางั้นหรือ?” เถาจุนได้ยินดังนั้น เขาจึงพูดออกมาพลางคิ้วขมวดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มีแววปรากฏความดีใจบนใบหน้า
“อืม! ในอนาคตหากว่าข้าไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเกิดเรื่องขึ้น เจ้าไปขอความช่วยเหลือที่ตระกูลเย่ โดยใช้ชื่อของข้าได้” หลินเว่ยพยักหน้าและยืนยันคำพูดกับเถาจุนอีกครั้ง
“อืม…ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!” หลังจากได้ยินคำแนะนำของหลินเว่ย เถาจุนก็พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่มีคำอธิบายของหลินเว่ย เขาก็จะทำเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้วเขาเป็นเพียงนักรบตัวเล็ก ๆ ในเมืองเฮยสุ่ย
แค่นั้น หลังจากเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้นมา ทำให้เขาเข้าใจได้ถ่องแท้
ตอนที่เขาอยู่ในเมืองหมั่นฉี เขาเป็นนักรบขั้นสามแทบจะไม่มีเวลาฝึกฝน เมื่อเขาสามารถทะลวงขั้นสี่ได้สำเร็จ ความคิดของเถาจุนก็เปลี่ยนไปและพฤติกรรมของเขาก็ไม่ค่อยดีนักรวมถึงความปากร้าย
แต่หลังจากอพยพมาจากเมืองหมั่นฉี เขานั้นก็พบกับกู่ชิงและซุยฮ่าว และได้มีเรื่องขุ่นข้องใจกัน และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาก็ทำร้ายอาวุโสลำดับสี่ของตระกูลซุยบาดเจ็บสาหัส
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสองสามวันที่เกิดเรื่องเหตุการณ์ก็สงบลง จากนั้นเถาจุนก็ตระหนักถึงความเข้มแข็งที่ชอบธรรมของตนเองอีกครั้ง ต่อหน้าตระกูลซุยนั้นมันเป็นแค่เรื่องตลก
อีกฝ่ายส่งผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ออกมาข่มขู่พวกเขา หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยข่าวลือออกมาว่า หากใครที่ให้การช่วยเหลือกองทหารรับจ้างโลกันตร์ ก็ถือว่าเป็นปรปักษ์กับตระกูลซุย เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา
พวกเขานั้นถูกตัดขาด และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมาได้ ในตอนนี้มีต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลเย่คอยสนับสนุน มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะเห็นแก่ทิฐิ ที่จะไม่ยอมรับการช่วยเหลือ
หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของทหารรับจ้างโลกันตร์ และรู้ว่าไม่มีสถานการณ์อื่นใด นอกจากวิกฤตทางการเงิน หลินเว่ยก็วางใจที่หนักอึ้งลงได้ และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปที่ม่อเทียนหลิง เขาต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งที่นั่นให้มากที่สุด
ก่อนจากไป เขาได้ฝากยาส่วนใหญ่ให้เถาจุน เหลือเพียงยาขั้นสี่จำนวนห้าสิบขวดที่นำติดตัวไป ท้ายที่สุดแล้วจุดประสงค์ของการเดินทางไปยังม่อเทียนหลิงก็คือ แม้ว่าเขาจะล่าและสังหารสัตว์อสูรเป็นหลัก แต่การฝึกฝนของตนเองก็ไม่สามารถละทิ้งไปได้
นอกจากยาเม็ดแล้ว สิ่งที่ทำให้เถาจุนดีใจคือ หลินเว่ยได้มอบกระบี่วิญญาณและคัมภีร์ลับหลายอย่าง ในการเข้าถึงระดับซวนเจี๋ย
มีอาวุธวิญญาณเพียงชิ้นเดียวซึ่งมอบให้กับเถาจุน แต่สมาชิกทั้งหมดของค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ทุกคนสามารถฝึกฝนทักษะเหล่านั้นได้ บุคคลที่สามารถเข้าร่วมการฝึกฝนได้จะต้องมีระดับขั้นการฝึกฝนขั้นที่สี่
หลังจากหลินเว่ยจากไป สิ่งต่าง ๆ เรื่องเกี่ยวกับยาเม็ดและคัมภีร์ลับก็หลั่งไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ในค่ายกองทหารรับจ้างโลกันตร์ โดยเถาจุนเป็นคนปล่อยข้อมูล เขาหวังว่าจะใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนเหล่านั้น
เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้รับยาเม็ดและคัมภีร์ลับจำนวนมากของหลินเว่ย และรู้สึกตกใจที่ภูเขาซากศพที่หลินเว่ยทิ้งไว้ก่อนที่เขาจะจากไป เพราะมันเป็นภูเขาซากศพของหนูศิลาจำนวนนับไม่ถ้วน
นี่คือความมั่งคั่งที่หลินเว่ยทิ้งไว้ให้ ในเรื่องนี้ทั้งเถาจุนและเหล่าทหารระดับต่ำสุดในค่ายต่างก็เลื่อมใสหลินเว่ยจากก้นบึ้งของหัวใจ ในใจของพวกเขาสถานะของหลินเว่ยนั้นใจดีกว่าผู้นำที่เคยพบมา แม้แต่เถาจุนเองก็ยังรู้สึก
หลังจากออกจากค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ หลินเว่ยกลับไปยังม่อเทียนหลิงอีกครั้งและเริ่มค้นหาสัตว์อสูรขั้นห้า
เขาทำเช่นนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง ตราบเท่าที่เขาสามารถเรียกโครงกระดูกขั้นห้าออกมาได้เพียงไม่กี่ตน ปัญหาต่าง ๆ จะสามารถคลี่คลายได้โดยง่าย
ม่อเทียนหลิงนั้นมีขนาดใหญ่มาก สามารถแบ่งพื้นที่รอบนอกออกจากส่วนลึกของม่อเทียนหลิงได้ ส่วนลึกที่สุดอยู่บนแผนที่ และไม่มีใครที่สามารถวาดแผนที่ออกมาได้ เนื่องจากสัตว์อสูรขั้นหกอยู่ที่นั่น ดังนั้นคนที่เขียนแผนที่จึงไม่ได้ลงรายละเอียด
และไม่มีใครทราบว่าส่วนที่ลึกที่สุดของม่อเทียนหลิงนั้นมีอะไรอยู่ อย่างไรก็ตามม่อเทียนหลิงยังเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของหุบเขาเวเนเชี่ยนและขอบเขตของมันกว้างมาก ก่อนหน้านี้ หลินเว่ยได้พบกับเสี่ยวไป๋
จากนั้นเดินทางไปสังหารดอกไม้คุมวิญญาณ จากนั้นเขาก็พาเย่เหิงกลับบ้าน เขาจึงไม่สนใจสัตว์อสูรที่ชายป่าของ ม่อเทียนหลิง
อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ เป้าหมายของหลินเว่ยยังคงเป็นรอบนอกของม่อเทียนหลิง เมื่อเทียบกับส่วนที่ลึกที่สุดที่ระบุไว้บนแผนที่ ตอนนี้หลินเว่ยยังไม่เหมาะที่จะเดินทางไป หลังจากข้ามขอบเขตดินแดนระหว่างด้านนอกและด้านลึก
หลินเว่ยต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรขั้นห้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมักจะรวมกลุ่มกันเป็นฝูง ในอดีตหลินเว่ยแค่การสังหารพวกมันแบบเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีเป้าหมายใด ๆ
ด้านชายป่ารอบนอกของม่อเทียนหลิงนั้นดีมาก แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์อสูรขั้นสามหรือขั้นสี่ แต่ก็มีสัตว์อสูรขั้นห้ามากมายเช่นกัน พวกมันมักจะอยู่ตนเดียวและอ่อนแอ ตราบใดที่มีความระมัดระวัง หลินเว่ยก็สามารถรับมือกับมันได้สบาย ๆ
ด้วยความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ กองทัพโครงกระดูกห้าสิบตน สามารถเปิดทางให้หลินเว่ย ในใจของหลิยเว่ยมุ่งเน้นการโจมตีไปที่สัตว์อสูรขั้นสี่และขั้นห้าเท่านั้น โดยไม่สนใจสัตว์อสูรที่มีระดับขั้นที่ต่ำกว่านั้น เว้นแต่อีกฝ่ายจะเข้ามาหาเรื่อง
เป็นที่น่าสังเกตว่า การฝึกฝนความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของหลินเว่ยนั้น ต้องใช้เวลาในการดูดซับของเหลวรวมวิญญาณที่เจือจาง และสามารถประสบความสำเร็จในระดับกลางของขั้นปฐพีได้
เมื่อเทียบกับพลังจิตวิญญาณของชนชั้นมนุษย์แล้ว พลังวิญญาณของระดับปฐพีจะแข็งแกร่งกว่ามาก ก็ต่อเมื่อเรารับรู้สภาพแวดล้อมบางอย่าง ในระยะสั้น ๆ หลินเว่ยรับรู้ถึงสัตว์อสูรทั้งหมดภายในรัศมีสิบกิโลเมตร อย่างไรก็ตาม
ยิ่งระยะห่างไกลเท่าไหร่สิ่งที่รับรู้ก็จะไม่ชัดเจนมากตามไปด้วย
…………
เมื่อเวลาผ่านไป หลินเว่ยได้เดินเตร่ ๆ อยู่บริเวณรอบนอกของหุบเขาม่อเทียนหลิง มานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว เขายังไม่ได้พบกับสัตว์อสูรขั้นห้า โชคดีที่เจอสัตว์อสูรขั้นสี่บ้าง แต่ส่วนใหญ่มีระดับพลังที่ไม่สูงมากนัก มีเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น
ระดับขั้นของพวกมันอยู่ในช่วงปลายใกล้จะเลื่อนขั้น หลินเว่ยจึงใช้ทักษะการคืนชีพโครงกระดูกกับพวกมัน หลังจากนั้น เมื่อพบว่าระดับพลังนั้นต่ำเกินไปมันจะถูกกำจัดและเก็บเกี่ยววัสดุในร่างกายของสัตว์อสูร และวัตถุดิบในร่างกายสัตว์อสูรขั้นสี่ยังคงมีค่ามาก
ถึงกระนั้นกองทัพโครงกระดูกของเขา ก็เปลี่ยนไปตามสัตว์อสูรขั้นสูงที่หลินเว่ยพบเจอ ยกเว้นโครงกระดูกกิ้งก่าเพลิง ซึ่งเขาทนไม่ได้ที่จะปลดปล่อยมัน ในขณะนี้ส่วนอื่น ๆ ทั้งหมด ถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์โครงกระดูกขั้นสี่
ท้ายที่สุดโครงกระดูกกิ้งก่าเพลิงนี้ มีความสามารถพิเศษและสามารถส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อสัตว์อสูรขั้นห้า