ราชาซากศพ - บทที่ 80 กลายพันธุ์
บทที่ 80
กลายพันธุ์
“ตูม หลังจากส่งเสียงดังสองครั้ง ในสถานที่ที่คนทั้งสองยืนอยู่ มีรอยพิมพ์ฝ่ามือขนาดใหญ่ ด้วยความลึกกว่าครึ่งเมตร
ทั้งมนุษย์และเหล่าสัตว์อสูรวานรต่างก็ถูกลูกหลงไปด้วยจากการต่อสู้นี้
เมื่อเทียบกับตระกูลอื่น อาจจะกล่าวได้ว่าตระกูลซุยนั้นโชคร้ายกว่ามาก แม้ว่าจะสามารถหลบหนีออกไปได้ แต่แขนขวาของเขาก็หายไป และเลือดก็พุ่งออกมาราวกับเขื่อนทะลัก อาการบาดเจ็บแบบนี้สำหรับคนทั่วไป
อาจกล่าวได้ว่าบาดเจ็บถึงแก่ชีวิต แต่โชคดีที่การฝึกฝนของเขามาถึงช่วงปลายของขุนศึกขั้นที่ห้า เขาคว้ายาผงห้ามเลือดหลายขวดออกมาจากกระเป๋ามิติแล้วโรยลงบนบาดแผล จากนั้นเขาก็หยิบยาออกมาหลายขวดและกลืนยาอย่างรวดเร็ว
ชีวิตของเขาก็สามารถรักษาไว้ได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามเขาสูญเสียแขนขวาไป สำหรับเขาแล้วความแข็งแกร่งของเขาลดลงมากกว่าครึ่ง
แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถห้ามเลือดได้ แม้ว่าเวลาจะสั้นแต่ก็ไม่เร็วเท่าสัตว์อสูรวานรหางแดง อย่างไรก็ตามราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงนั้นไม่ได้โจมตีพวกเขาทั้งสามอีก
แต่เขาหันเป้าหมายไปที่นักรบคนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้กับลูกหลานของมัน
ระหว่างทางราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงที่ตัวใหญ่โตพุ่งสู่วงล้อมการต่อสู้ เหวี่ยงโบกมือคู่ใหญ่ ราวกับปัดเป่าพวกเหล่าแมลงวันที่มาตอม ฝ่ามือของมันตบผู้คนลงบนพื้นโดยตรง และทิ้งหลุมขนาดใหญ่ รวมทั้งกองเลือดเนื้อและโคลนไว้ภายในหลุมลึก
เกิดเป็นหมอกเลือดคละคลุ้งและกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
ในช่วงเวลาสั้น ๆ นักรบที่ทรงพลังหลายสิบ ถูกสังหารภายใต้เงื้อมมือของราชาสัตว์อสูรวานรหางแดง บางทีอาจเป็นเพราะความเร็วในการสังหารศัตรูไม่เร็วพอ หางทั้งสามด้านหลังราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงก็ร่วมเข้าต่อสู้ด้วยเช่นกัน ฝ่ามือสองข้างหน้าเปิดทางและหางทั้งสามด้านหลังราวกับงูพิษโบกสะบัด วิธีการโจมตีนั้นแปลกตา และคาดเดาทิศทางไม่ได้ ทุกครั้งที่มันโจมตีไม่เคยพลาดเป้า
“อา เมื่อเห็นการตายของเพื่อนร่วมทางพวกเขาที่เหลือ ทุกคนต่างหวาดกลัวจนหน้าซีดมือไม้และเท้าหย่อนยาน ต่างแตกฮือหนีตายอลหม่านราวกับแมลงวันไร้หัว
“หนีไป! ทุกคนออกไปจากที่นี่” ทั้งสามคนมองไปที่การตายของผู้คนจำนวนมาก พวกเขามองหน้ากันและพบว่ามีความหวาดกลัวอยู่ในดวงตา จากนั้นพวกเขาก็ตะโกนและวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
อีกสองคนที่เหลือเปลี่ยนเป็นจริงจัง เมื่อตระกูลซุยแตกพ่ายผู้นำทั้งสองคนที่เหลือจึงรับหน้าที่เป็นผู้นำ เนื่องจากพวกเขาอยู่นอกวงล้อมของการต่อสู้
จึงไม่ถูกขัดขวางจากสัตว์อสูรวานรหางแดง ในพริบตาพวกเขาก็หายไปหมด เหลือเพียงนักรบไม่กี่คน ที่เหลือถูกล้อมรอบด้วยสัตว์อสูรวานรหางแดงหลายร้อยตัว
ไม่นานการต่อสู้ก็สิ้นสุดลง ไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้จากวงล้อมของสัตว์อสูรวานรจำนวนหนึ่งร้อยคนถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด ในท้ายที่สุดเหลือเพียงขุนศึกขั้นห้าเพียงสามคนเท่านั้นที่รอดพ้น และส่วนที่เหลือถูกสังหารจนหมดสิ้น เหล่าครอบครัวสัตว์อสูรวานรหางแดง ทั้งยังต้องเสียชีวิตจำนวนมาก จากสงครามในครั้งนี้ เพื่อที่จะฝ่าวงล้อมออกจากสัตว์อสูรวานร เหล่านักรบมนุษย์ไม่ได้เตรียมการป้องกันใด ๆ เพียงแค่สะสมพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้ในการฝ่าวงล้อมออกไป
ราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงยืนอยู่ในที่ของมันและมองไปที่ซากศพทั่วพื้นดิน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แม้ว่าจะมีเพียงของนักรบมนุษย์จำนวนหกคนเท่านั้นที่เหลือรอด แต่สัตว์อสูรวานรหางแดงนั้นเหลือไม่ถึง 100 ตัว
ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา มีสัตว์อสูรวานรหางแดงขั้นห้าเหลือเพียงสามตัว รวมทั้งราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นสัตว์อสูรวานรหางแดงขั้นสี่ และไม่มีส่วนอื่นที่รอดชีวิตอีกต่อไป กล่าวกันว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
“ราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงขั้นหกตัวนี้ ความแข็งแกร่งทรงพลังและสัตว์อสูรขั้นหกธรรมดา ๆทั่วไปนั้นคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน” หลินเว่ยเห็นสถานการณ์การต่อสู้เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาซีดขาว และเขากลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ายัง … ตั้งใจจะไปเอาผลซุยหยวนกั๋วอยู่หรือไม่” เสี่ยวไป๋รู้สึกหนาวเหน็บและตัวสั่น
“อะไรกัน! เจ้าไม่เห็นหรือว่า เป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง?” เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ ใบหน้าของหลินเว่ยก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวและตะโกนด้วยเสียงต่ำ หลังจากนั้นร่างของเขาก็เริ่มหันหลังกลับ และเตรียมตัวออกเดินทาง
“ช้าก่อน!” ขณะที่หลินเว่ยกำลังจะเกิดนทางออกไป มีเสียงร้องดังมาจากหูของเขา
“อะไร?” หลินเว่ยหยุดอย่างรวดเร็ว และมองไปข้างหน้า
สัตว์อสูรวานรหางแดงกำลังลากศพของเหล่าวานรตนอื่น จับซากศพของนักรบมนุษย์เป็นครั้งคราว และกัดกินพวกมัน
เมื่อหลินเว่ยกำลังจะถามขึ้น ตาของเขาก็สว่างขึ้น เขาเห็นว่าร่างของราชาสัตว์อสูรวานรหางแดง ฟื้นกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว จากนั้นหลินเว่ยก็ใช้ความแข็งแกร่งทางจิตของเขา ในการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ในการรับรู้ของเขาทราบว่า
ลมหายใจของราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงนั้นอ่อนแอมาก ซึ่งอ่อนแอกว่าสัตว์อสูรวานรหางแดงขั้นสี่ตอนปกติเล็กน้อย
“นี่คือสภาพหลังจากการเปลี่ยนแปลงงั้นหรือ” หลินเว่ยขมวดคิ้วครุ่นคิดสักครู่ และพูดด้วยความไม่แน่ใจ
“เห็นได้ชัดว่าใช่! ผลของทักษะการเปลี่ยนร่างนั้นร้ายแรงมาก ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของอสูรวานรหางแดงตนนั้น ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ขั้นสี่หรือต่ำกว่านั้น” เสี่ยวไป๋พูดอย่างตื่นเต้น
“ ………. ” เมื่อเห็นว่า หลินเว่ยไม่ได้พูดอะไร เสี่ยวไป๋ก็รู้สึกร้อนใจ เขาพูดอย่างรีบร้อนว่า: “ไม่ต้องคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว ราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงบาดเจ็บและอ่อนแอขนาดนี้ นี่ไม่ใช่โอกาสอันดีหรือ?”
เมื่อเห็นใบหน้าของหลินเว่ย เนื่องจากคำพูดของเสี่ยวไป๋กระทบจิตใจของเขาอย่างจัง เสี่ยวไป๋จึงรีบเข้าไปตีเหล็กในตอนที่กำลังร้อน ๆ และพูดต่อ: “ด้วยกำลังของเจ้าสู้กับสัตว์อสูรวานรหางแดงที่อ่อนแอพวกนั้น แทบไม่ต้องใช้กำลังมากมายนัก หากตอนนี้เจ้ายอมแพ้และรอให้ราชาสัตว์อสูรวานรหางแดงฟื้นกำลัง เราจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว”
“ให้ตายเถอะ! ใช่ หลินเว่ยซึ่งเดิมทีเคยหวาดกลัว ราชาสัตว์อสูรวานรหางแดง และในตอนนี้รู้สึกปั่นป่วนโดยเสี่ยวไป๋ เขาตัดสินใจในใจทันใดนั้น เขาก็กัดฟันกระทืบเท้า กระโดดลงจากต้นไม้โดยตรง
และรีบไปที่กลุ่มสัตว์อสูรวานรหางแดง
“โฮก … ” หลินเว่ยและกลุ่มสัตว์อสูรวานรหางแดงอยู่ไม่ห่างไกลมากนัก ก่อนที่เขาจะวิ่งไปและเข้าใกล้ได้ เขาก็ถูกพบโดยราชาสัตว์อสูรวานรหางแดง เมื่อเขาพบว่าหลินเว่ยเป็นมนุษย์ ความโกรธของเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง เขาตะโกนใส่เหล่าสัตว์อสูรและรีบบุกไปที่หลินเว่ย