ราชาซากศพ - บทที่ 83 เรียบเรียง
บทที่ 83
เรียบเรียง
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติการเพิ่มพลังนี้ยังไม่เคยค้นพบที่ใดมาก่อน และยิ่งเป็นสัตว์อสูรวานรหางแดง ก็ไม่เคยมีผู้ใดค้นพบความพิเศษนี้
มิฉะนั้น คนเหล่านี้คงไม่ต้องบาดเจ็บล้มตายเกลื่อนกลาดอย่างน่าสังเวชใจ นักรบมนุษย์ที่มีขั้นพลังต่ำกว่ามัน ล้วนถูกสังหารอย่างน่าอนาถใจ
ความสามารถพิเศษของสัตว์อสูรวานรนี้ถูกปลุกขึ้นมา หลังจากที่หลินเว่ยใช้ทักษะการคืนชีพโครงกระดูก แม้ว่าระดับขั้นพลังของมันจะยังคงอยู่เช่นเดิม สำหรับสัตว์อสูรวานรขั้นห้าระดับเก้า
แต่เมื่อรวมกับคุณสมบัติความสามารถพิเศษในการใช้ทักษาะคืนชีพโครงกระดูกของหลินเว่ย ช่วยเพิ่มพลังให้สัตว์อสูรวานร เทียบเท่ากับระดับหกประมาณระดับหนึ่งหรือสอง มันได้กลายเป็นสัตว์อสูรขั้นหกไปแล้ว
เมื่อเทียบกับคุณสมบัติความสามารถพิเศษแล้ว สัตว์อสูรวานรหางแดงนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนการใช้งานทักษะความสามารถของมัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับกิ้งก่าเพลิงแล้ว สัตว์อสูรวานรตนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่า นอกเหนือจากการถูกข่มขวัญด้วยแรงกดดันของพลังสายเลือดบริสุทธิ์แล้ว กิ้งก่าเพลิงนั้นไม่มีทักษะความสามารถพิเศษอื่นใด อย่างไรก็ตาม ร่างกายบริเวณด้านหน้าของกิ้งก่าเพลิงนั้น แข็งแรงมาก มันมีเกล็ดหนาและลิ้นที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง
แต่สิ่งเหล่านี้ เมื่อกลายเป็นโครงกระดูกแล้ว ความพิเศษในเรื่องนี้ก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง
ราชาสัตว์อสูรวานรที่กลายพันธุ์นั้น มีทักษะความสามารถเช่นเดียวกับสัตว์อสูรวานรหางแดงทั่วไป แม้ว่าจะคล้ายคลึงกัน…. แต่พลังนั้นมากมายกว่าหลายเท่านัก
ทักษะความสามารถพิเศษ อันดับแรกของสัตว์อสูรวานรหางแดงทั่วไป แต่เดิมเป็นทักษะดั้งเดิมคือการปล่อยลูกไฟ อย่างไรก็ตาม เมื่อกลายมาเป็นราชาสัตว์อสูรวานร แม้ว่ามันจะยังคงสามารถปล่อยเป็นลูกไฟได้เช่นเดิม… แต่สีของลูกไฟนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
ไม่เหมือนลูกไฟธรรมดา ๆ มันมีความรู้สึกร้อนแรง และในทางกลับกันมันหนาวเหน็บมาก และมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง พลังของมันก้าวข้ามไปถึงพลังระดับกลางอย่างสมบูรณ์ของทักษะดั้งเดิม แต่ใช้พลังงานสูงและความเร็วในการใช้งานทักษะนี้ยังค่อนข้างมีจำกัด คล้ายคลึงกับลูกไฟธรรมดา ๆ ระยะโจมตีและความเร็วในการโจมตีจะอยู่ในระดับปานกลาง ในกรณีของการป้องกันนั้นง่ายต่อการหลบหลีก
ทักษะความสามารถที่สองของสัตว์อสูรวานรหางแดงทั่วไป เป็นทักษะความสามารถระดับกลาง ในช่วงเวลาหนึ่งจะสามารถเร่งการเจริญเติบโตของร่างกายจะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วแต่ไม่มากเกินไป ทั้งจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเป็นสองเท่า การเรียกใช้ทักษะนี้สามารถเพิ่มขึ้นทั้งพละกำลังและความเร็วและความแข็งแกร่งล้วนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า อย่างไรก็ตามหลังจากระยะเวลาผ่านไป ทักษะความสามารถพิเศษจะค่อย ๆ หายไป และในช่วงเวลาหนึ่งหลังจากนั้นร่างกายจะอ่อนแอมาก และความแข็งแกร่งจะลดลงถึงระดับต่ำ
เมื่อเทียบกับทักษะบ้าคลั่งของสัตว์อสูรวานรหางแดงทั่วไปแล้ว ราชาสัตว์อสูรวานรสมควรถูกเรียกว่าปีศาจ เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรวานรหางแดงทั่วไป ทักษะบ้าคลั่งที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตนั้นแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ราชาสัตว์อสูรวานรไม่เพียงแต่สามารถทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นได้มากกว่าสิบเท่า แต่ยังเปลี่ยนรูปลักษณ์และแรงกดดันภายในร่างกายได้อย่างสิ้นเชิง การเพิ่มขึ้นนั้นน่ากลัวกว่ามากกว่าสิบเท่าและสามารถก้าวข้ามทะลวงด่านได้ในระยะเวลาไม่นาน
แต่แน่นอนว่าผลกระทบนั้นก็จะกลายเป็นสิบเท่าเช่นกัน หากสัตว์อสูรวานรหางแดงทั่วไปจะต้องพักฟื้นอย่างน้อยสามวัน แต่ราชาสัตว์อสูรอาจจะใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน และมันจะอ่อนแอเป็นอย่างมาก พลังของมันอาจจะลดระดับจากขั้นห้าระดับเก้า
เหลือเพียงขั้นสี่ระดับหนึ่งหลังจากสิ้นสุดทักษะการใช้พลัง เนื่องจากความอ่อนแอของร่างกาย ความแข็งแรงของสัตว์อสูรวานรจะลดลงไปอีก แทบไม่หลงเหลือพลังต่อสู้ถึงขั้นสามด้วยซ้ำ
หลินเว่ยไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงของทักษะติดตัวที่เปลี่ยนไปหรือไม่? หลังจากที่มันกลายเป็นสัตว์ร้ายโครงกระดูก เนื่องจากระยะเวลานี้คือช่วงระยะเวลาอ่อนแอของมัน จึงทำให้พลังของมันนั้นลดลง
หลินเว่ยต้องการเสาะหาสัตว์อสูรที่ทรงพลังและต้องการทดลองใช้พลังต่อสู้ของสัตว์ร้ายโครงกระดูก ดังนั้นหลินเว่ยจึงเก็บสัตว์อสูรวานรหางแดงลงในกระเป๋ามิติ และเขายังเก็บซากสัตว์เปื้อนเลือดเอาไว้
เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ซากศพพวกนั้น ปิดกั้นเส้นทางภายในถ้ำ
หลังจากจัดการกับร่างของสัตว์อสูรวานรหางแดง ใบหน้าของหลินเว่ยก็แสดงถึงความหวัง เพราะในช่วงเวลาต่อมา กระเป๋ามิติขนาดเท่าฝ่ามือก็ถูกดึงออกมาโดยหลินเว่ย
หลินเว่ยค่อย ๆ นับจำนวนที่เขาสามารถเก็บได้จากซากศพ เขาพบกระเป๋ามิติมากมาย และหลินเว่ยค่อย ๆนับพวกมันอย่างระมัดระวัง และพบว่าพวกมันมีจำนวนมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบสามใบ แม้ว่าพวกมันจะเป็นกระเป๋ามิติระดับต่ำ แต่ก็มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากยังมีสิ่งของอยู่ในกระเป๋า ดังนั้นหลินเว่ยถึงวางใจว่าในกระเป๋ามิติน่าจะมีของดีอย่างแน่นอน
กระเป๋ามิติอาจจะมีสิ่งของมีค่าจากเมืองหมั่นฉี แต่ยังมีจำนวนอีกมากที่สามารถหาซื้อได้ในเมืองเฮยสุ่ย กระเป๋ามิติระดับต่ำเหล่านี้ ทำจากหนังของสัตว์อสูรระดับต่ำที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปมีเอาไว้ใช้งาน
ดังนั้นในเมืองเฮยสุ่ยเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับนักรบที่มีพละกำลังเพียงเล็กน้อย ที่ภายในกระเป๋ามิติจะมีเหรียญทองติดกระเป๋ามิติขั้นต่ำอยู่ที่หนึ่งหมื่นเหรียญทอง และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพกกระเป๋ามิติเพียงใบเดียว
แต่หลินเว่ยนั้นยังค้นพบ เจ้ากระเป๋ามิติอีกสิบกว่าใบนั้นมาจากนักรบขั้นสี่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พวกเขานั้นจะมีกระเป๋ามิติติดตัว
ทั้งหมดนี้คือกระเป๋ามิติที่ไม่มีเจ้าของ นอกจากนี้ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของหลินเว่ยนั้น ยังดีกว่าเมื่อก่อนมาก เขาคว้ากระเป๋ามิติไร้เจ้าของออกมา และตีตราด้วยจิตวิญญาณการเป็นเจ้าของ หลังจากนั้นกระเป๋ามิติภายในก็ถูกเทออกมารวดเดียว และพบว่ามีสิ่งของทุกอย่างปรากฏอยู่ที่พื้น
หลินเว่ยไม่ได้สนใจนับจำนวน นักรบทั้งหมดที่สิ้นใจอยู่ที่สนามรบ เขายังคงคว้ากระเป๋ามิติสลักจิตวิญญาณของเขาลงไป และเทสิ่งของภายในออกมากองมากกว่าสิบครั้ง ภายในถ้ำกลายเป็นเนินย่อม ๆ ในถ้ำ แม้ว่าถ้ำจะมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งของถ้ำก็ถูกสิ่งของในกระเป๋ามิติยึดครอง เสี่ยวไป๋ที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง เกือบถูกฝังทั้งเป็นด้วยกองสิ่งของมหึมา
ด้วยอารมณ์หงุดหงิดของเสี่ยวไป๋ เขาเตรียมความพร้อมที่จะตะโกนด่าหลินเว่ย แต่ภายในใจนั้นควบคุมตนเอง เนื่องจากคิดได้ว่าหลินเว่ยเป็นคนมอบโอกาสในความแข็งแกร่งคืนมาให้เขา ดังนั้นเขาต้องสงบใจเอาไว้
ทางด้านหลินเว่ยไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋กำลังอดกลั้นความรู้สึกที่อยู่ในใจ เขาขะมักเขม้นในการสลักวิญญาณลงไปยังกระเป๋ามิติและเทสิ่งของออกมาที่พื้น หลินเว่ยไม่รู้ว่าแม้จะเป็นนักรบระดับกลาง ที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างเมืองเฮยสุ่ย
ส่วนมากอาชีพนักรบแม้จะไม่ร่ำรวยมาก แต่ก็มีฐานะดีกว่านักรบระดับล่างในเมืองหมั่นฉีมาก
หลินเว่ยนั่งตรวจสอบและนับจำนวนเหรียญที่ตนเองได้รับมาจากกระเป๋ามิติ เขาให้พลังวิญญาณแยกมันออกจากสิ่งของทั่วไป และส่งมันเข้าไปในกระเป๋ามิติ แค่เฉพาะเหรียญที่หลินเว่ยพบนั้น ก็สามารถจุลงในกระเป๋ามิติได้หลายใบ
ส่วนใหญ่มันมักจะเป็นเหรียญทอง เหรียญทองม่วงมีจำนวนเล็กน้อย และเหรียญเงินและเหรียญทองแดงอีกนิดหน่อย ถ้าใช้พลังจิตนับเหรียญทั้งหมดจะพบว่ามีประมาณหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเหรียญทองม่วง สี่ล้านเหรียญทอง สามหมื่นกว่าเหรียญเงิน และหนึ่งพันเหรียญทองแดง
หลังจากคัดแยกเหรียญสำเร็จ ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจนับหินหยวน จำนวนหินหยวนนั้นหลินเว่ยพบว่ามีไม่มากนัก แม้แต่ในเมืองเฮยสุ่ยเองหินหยวนก็ขาดตลาดเช่นกัน ด้วยกระเป๋ามิติมากกว่าหนึ่งร้อยใบ มีเพียงหินหยวนระดับต่ำ จำนวนสองพันแปดร้อยสิบแปดชิ้นและหินหยวนระดับกลางจำนวนสิบเอ็ดชิ้น
และขั้นตอนต่อไป แน่นอนว่าต้องเป็นอาวุธ เขาพบว่ามีอาวุธมากกว่าสองร้อยชนิด ซึ่ง 99% อยู่ในอาวุธหลักที่ใช้ต่อสู้ ส่วนใหญ่เป็นระดับต่ำและมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นอาวุธระดับกลาง มีเพียงยี่สิบชิ้นเท่านั้นที่เป็นอาวุธระดับสูง
และมีสามชิ้นที่เป็นอาวุธชั้นยอด ส่วนอาวุธวิญญาณนั้นมีระดับต่ำมีเพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น ที่มีระดับเหนือกว่าทุก ๆ ชิ้น และมีระดับสูงกว่าอาวุธหลัก
อาวุธเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกใส่ไว้ในกระเป๋ามิติ สามารถใช้งานได้ทันที ยกเว้นบางชิ้นที่เสียหาย ทั้งหมดถูกเก็บรวบรวมโดยหลินเว่ย จากซากศพของนักรบเหล่านั้น คุณภาพของอาวุธเหล่านี้สูงกว่า ในกระเป๋ามิติที่ถูกบรรจุไว้