ราชาซากศพ - บทที่ 97 เสี่ยวไป๋ปรากฏตัว
บทที่ 97
เสี่ยวไป๋ปรากฏตัว
ในขณะที่ซูเหมยหลบหลีก ร่างของหลินคุนก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง และพุ่งเข้าหาซูเหมยอย่างรวดเร็ว ดาบยาวในมือของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ในขณะที่ซูเหมยกำลังหลบดาบเล่มสุดท้าย หลินคุนก็โจมตีนางโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ปัง! ปัง! ปัง ซูเหมยตกใจและรีบสกัดดาบของหลินคุน หลังจากนั้นเกิดเป็นเสียงดังหนัก ๆ ขึ้น ราวกับเหล็กหนัก ๆ ปะทะกัน จากนั้นถูกคลื่นไฟจู่โจมใส่ ก่อนที่นางจะได้หยุดพัก กลับมองเห็นดาบยาวสีแดง ซึ่งฟันลงมาบนดาบคู่สั้นของนางอีกครั้ง ครั้งนี้ความแข็งแกร่งของหลินคุนเพิ่มขึ้น จากก่อนหน้าที่รับมือหลินคุนไปแล้ว
หลังจากการโจมตีสามครั้งติดต่อกัน หลินคุนก็ยังคงไม่หยุดโจมตี ด้วยคลื่นดาบยาวของเขา เขายังคงฟันลงมาอย่างต่อเนื่อง ปะทะกับดาบสั้นสองเล่มของซูเหมยอีกครั้ง
“หึ่งๆ! มันเป็นศิลปะการต่อสู้ที่น่ากลัวจริง ๆ เขาเป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับราชาแห่งการต่อสู้ ที่สมคำร่ำลือ ทักษะดาบระดับซวนขั้นสูงและผสานกับทักษะระดับปฐพี ดูเหมือนว่าผู้นำซูจะไม่สามารถฝืนการต่อสู้ได้อีกต่อไป” เย่ชิงเฟิงขมวดคิ้วและกล่าวด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล
“ข้าไม่คิดอย่างนั้น…..ผู้นำซู อย่างไรก็เป็นราชาแห่งการต่อสู้ อาจจะสามารถพลิกเอาชนะอีกฝ่ายก็เป็นได้” ใบหน้าของหลินเว่ยผิดปกติ และพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“พรูด!” เสียงพ่นเลือดดังขึ้น และทันใดนั้น ทุกคนก็มองเห็นว่าใบหน้าของซูเหมยนั้นเปลี่ยนเป็นเป็นสีแดง หลังจากการโจมตีครั้งที่หกของหลินคุน จากนั้นนางก็กระอักเลือดออกมาและใบหน้าก็พลันซีดลงทันที
“มันจบแล้ว นี่คือปฏิกิริยาของเย่ชิงเฟิงและคนอื่น ๆ
ในตอนนี้หลินคุนไม่ได้โจมตีอีกต่อไป เพราะจนถึงตอนนี้เขาสามารถใช้พลังระดับสูงได้เพียงหกครั้งเท่านั้น และตามมาด้วยการสูญเสียพลังปราณอย่างหนัก และความแข็งแกร่งทางของเขา จึงต้องพักการโจมตีได้ชั่วคราว
“ห๊ะ! เจ้าหมดไพ่ตายแล้วงั้นหรือ! ตอนนี้ถึงตาของข้าแล้ว” ซูเหมยไร้ซึ่งความลังเล ถุยน้ำลายลงบนพื้น กล่าวด้วยใบหน้าดุดัน
จากนั้นผู้คนจะเห็นว่า ร่างของซูเหมยกลายเป็นเงาดำวูบวาบและพุ่งไปยังอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว
“ปัง…!”
แม้ว่าหลินคุนกำลังจะพักเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่จิตใจของเขานั้นไม่รู้สึกผ่อนคลายกับซูเหมย เมื่อร่างของอีกฝ่ายหายไป เขาก็รู้สึกกังวลใจ เขาพบสิ่งแปลกประหลาดอยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว เขาหันหลังเหวี่ยงดาบเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของซูเหมย และซูเหมยยังคงกวัดแกว่งดาบสั้นของนาง และเข้าโจมตีทุกส่วนของหลินคุน ในขณะที่เสียงหนักๆปะทะกันดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ
ร่างของซูเหมยมีความยืดหยุ่นมาก ความถี่ในการโจมตีสูงมาก เพียงแค่หายใจไม่กี่ครั้ง นางสามารถฟันแทงลงไปได้นับหลายร้อยครั้ง เมื่อเทียบกับการป้องกันของหลินคุน แม้จะไม่มีช่องโหว่ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้อย่างสมบูรณ์ สามารถมองเห็นบาดแผลหลายแห่งบนร่างกายของเขา แม้ว่าจะไม่โดนจุดสำคัญ แต่ยังมีบางแห่งที่บาดแผลลึกถึงกระดูก มองเห็นเลือดไหลออกมาตลอดเวลา
“ตูม ด้วยเสียงดังลั่น หลินคุนเห็นว่าซูเหมยดูเหมือนจะพบจังหวะการโจมตี หากเขาปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีอยู่แบบนี้ เขาอาจจะสูญเสียเลือดมากเกินไป ไม่ช้าก็เร็ว เพื่อกำจัดซูเหมย หลินคุนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปลดระเบิดเกราะพลังปราณของเขา และพุ่งเข้าใส่ซูเหมยเพื่อให้ถอยร่นไปชั่วคราว
หลังจากนั้น หลินคุนรีบหยิบขวดยาออกมา เขาเทมันเข้าปากโดยตรง โดยไม่แม้แต่จะมอง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองไปที่ซูเหมยซึ่งกำลังหอบหายใจอยู่ไม่ไกล
“ดี! ไม่คาดคิดว่า เจ้าจะมีฝีมือ และทำให้ข้าต้องอับอายขนาดนี้ เอาล่ะ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างสาสม?” หลินคุนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
“ฮึ!” หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ซูเหมยก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาและไม่ได้เอ่ยตอบ แม้ว่าการโจมตีของนางจะรุนแรง แต่มันก็กินพลังมากเกินไป
หลินคุนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา เขายังคงสร้างเกราะพลังปราณขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมกับการต่อสู้อีกครั้ง
หลังจากรอสักครู่ ทุกคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันของหลินคุนและซูเหมยเริ่มพุ่งขึ้นสูง ในเวลาเดียวกันมีความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังปราณในอาวุธวิญญาณของทั้งสองฝ่าย
“สาวน้อย ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นทักษะขั้นปฐพีที่แท้จริงให้เจ้าเห็นเป็นขวัญตา” หลินคุนมองซูเหมยด้วยใบหน้าภาคภูมิใจและพูดอย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นหลินคุนก็รีบพุ่งไปหาซูเหมย พร้อมด้วยดาบในมือและเร่งความเร็ว กระโดดขึ้นสูง กวัดแกว่งดาบไปที่ซูเหมยและฟันมันลงมาอย่างรวดเร็ว
กงล้อเพลิงสีแดงเข้ม หมุนวนด้วยความเร็วสูง และแม้แต่อากาศก็ถูกฉีกกระชาก ซูเหมยมองดูพลังเบื้องหน้าด้วยความสงบนิ่งและกล่าวว่า “คิดว่าเจ้ามีทักษะศิลปะการต่อสู้ระดับปฐพีคนเดียวงั้นหรือ?”
ด้วยเหตุนี้ซูเหมยจึงค่อย ๆ ยกดาบสั้นสองเล่มในมือของเธอ ดาบทั้งสองโบกและพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง ดาบสีเขียวสองเล่มบินออกไป และกลายเป็นนกอินทรีที่พุ่งทยานด้วยปีก และบินออกไปเพื่อพบกับกงล้อเพลิงที่หลินคุนส่งออกมา
นกอินทรีสยายปีกและส่งเสียงร้อง จงอยปากของนกอินทรีพุ่งจิกกัดกับกงล้อเพลิงที่พุ่งเข้ามา กงล้อเพลิงพุ่งต่อสู้กับนกอินทรีอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามความเร็วของการหมุนของมันก็ช้าลงเล็กน้อยเช่นกัน
ในการหยุดชะงักพลังงานของทั้งสองฝ่าย เริ่มกระจายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักนกอินทรีของซูเหมย ก็ถูกกงล้อเพลิงเผาผลาญและสลายไปในอากาศ กงล้อเพลิงของหลินคุน หลงเหลือพลังงานเพียงเล็กน้อย และความเร็วก็ช้าลงมาก ซึ่งซูเหมยหลบได้อย่างง่ายดาย
“หลินคุน เจ้ามันไร้ประโยชน์เกินไป! ไม่สามารถแม้แต่จะสู้หญิงสาวที่มีพลังอ่อนด้อยกว่าตนเองได้” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น จากร่างของหลินเว่ย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการดูถูกทั้ง หลินคุนและซูเหมยไปพร้อม ๆกัน
“พรึ่บ!” ประโยคนี้ดึงดูดสายตาของทุกคน ในทันที เย่ชิงเฟิงมือเอามือกุมหน้าผากเต็มไปด้วยเส้นสีดำ ใบหน้าที่พูดไม่ออกมองไปที่หลินเว่ย
“สารเลว! ทุกคน…ข้าไม่ได้เป็นคนพูด หลินเว่ยยืนหน้าดำพลางดุด่าเสี่ยวไป๋ในใจ หลังจากเห็นการแสดงออกของ เย่ชิงเฟิงและคนอื่น ๆ เขาก็อ้าปากและอธิบายอย่างเร่งรีบ
“คุณชายหลิน ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าเจ้าต้องการจะล้อเล่น โปรดเลือกเวลาที่เหมาะสม” ไป๋หลงมองด้วยสายตา มองคนงี่เง่าและพูดกับหลินเว่ย
“ถ้าเปลี่ยนจากซูเหมยเป็นข้า….เพียงไม่กี่นาทีข้าก็สามารถจัดการ เจ้าวัวทึ่มลงไปได้แล้ว ข้าจะดูสิว่า เจ้ายังจะมาวางท่าทำมาเป็นสั่งสอนข้าได้อย่างไร” เมื่อหลินเว่ยต้องการอธิบาย เสียงของเสี่ยวไป๋ก็ดังขึ้นจากอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
คราวนี้ไม่เพียง แต่เย่ชิงเฟิงและคนอื่น ๆ แต่ยังรวมถึง ซูเหมยที่อยู่ในการต่อสู้ ก็ได้ยินประโยคนี้เช่นกัน นางโกรธมาก ทันใดนั้นการโจมตีที่มือของนางก็รุนแรงขึ้น ซึ่งทำให้หลินคุนตื่นตระหนก
“คุณชายหลิน ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ท่านมีปัญหากับเรื่องนี้หรือไม่ ถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนวันนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่าน!” ไป๋หลงไม่พอใจที่เขาถูกพูดจากระทบกระเทียบ เขาจึงมองหลินเว่ยด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้เป็นคนพูด!” หลินเว่ยกล่าวด้วยใบหน้าเศร้า จากนั้นเขาก็สอดมือเข้าไปในอ้อมแขน และพาเสี่ยวไป๋ออกไป เขาเกี่ยวหางของเสี่ยวไป๋กลางอากาศทำให้เสี่ยวไป๋ห้อยหัวลงมา และพูดว่า “คำพูดเหล่านี้ ล้วนมาจากขยะชิ้นนี้ถ้าท่านต้องการคิดบัญชี เพียงแค่จัดการมันก็พอ”
“ฮึ่ม! อย่าเอาหนูมาล้อเล่น เรื่องที่ตนเองกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชาย” ไป๋หลงตะคอกอย่างเย็นชาและพูดด้วยความรังเกียจ