ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 105 ผู้ใดอยู่บนต้นไม้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเจียงหลีต่อสู้ไม่เป็น อีกทั้งยังใช้ทักษะการต่อสู้พรสวรรค์อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องหมดพลังวิญญาณอย่างแน่นอน ขณะที่ผ่อนแรงอยู่นั้น เสียงอ่อนเยาว์กลับตะโกนชื่อที่ทำให้คนหวาดกลัว
“ฉีกเวหาาาาา!”
“ฉีกเวหาาาาา!”
“ฉีกเวหาาาาา!”
ทักษะการต่อสู้พรสวรรค์ถูกปล่อยออกมาสามครั้งติดต่อกัน!
“นี่มันอะไรกัน เป็นไปไม่ได้” ในที่สุดนักฆ่าหลิงเจี้ยงที่ต่อสู้กับเจียงหลีอยู่ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ดวงตาของนักฆ่าหลิงเจี้ยงคนอื่นที่อยู่ในขบวน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สิ่งที่ปรากฎอยู่ต่อหน้านั้น เกินความรู้ขั้นพื้นฐานที่พวกเขารู้จัก
ผู้ใดที่อยู่ในระดับหลิงซื่อ ไม่มีใครที่ปล่อยพลังทักษะการต่อสู้พรสวรรค์ต่อเนื่องติดต่อกันห้าครั้ง แล้วยังแข็งแรงมีชีวิตชีวาอยู่
เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!
ปีศาจ! นางนี่คือปีศาจ!
ในขณะเดียวกัน สายตาที่พวกเขามองเจียงหลีได้เปลี่ยนไป สาดสายตาอำมหิตที่ไปทางนาง เหมือนจะอาฆาตกว่าที่มองลู่เสวียน
“หลียาโถ่ว เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก” ลู่เสวียนที่หายจากอาการตกตะลึง สีหน้าความกังวลกลับกลายเป็นความตื่นเต้นแทน
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
พลังแห่งการทำลายล้างระเบิดออกมาจากตัวเจียงหลี ทักษะการต่อสู้พรสวรรค์แบบซ้อนทับ ไม่ได้ง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ เหล่านักฆ่าทั้งหลายไม่ได้มีการเตรียมตัวแต่อย่างใด และไม่เชื่อว่าเจียงหลีจะสามารถปล่อยทักษะการต่อสู้พรสวรรค์ออกมาเป็นครั้งที่สามได้
ด้วยความรีบร้อน นักฆ่าหลิงเจี้ยงที่สู้กับนางถูกบังคับให้ถอยกลับไปที่บริเวณรอบนอก
นักฆ่าคนที่อยู่ในขบวนรู้ตัวอีกที ต่างพากันจู่โจมเจียงหลีเพื่อจะฆ่านาง จนเลี่ยเทียนซื่อได้ระเบิดพลังออกมา เงาร่างใหญ่มโหฬารของเลี่ยเทียนซื่อราวกับว่าจะทะลุฟ้าดิน อนุภาพพลังสีเทาหลอมกับสีทองแห่งการทำลายล้าง ได้ปกคลุมทุกสิ่ง แผ่นดินสั่นสะเทือน ต้นไม้ใบหญ้าแตกสายเป็นผุยผง พายุทรายโหมกระหน่ำ
ศึกหุบเขาโยวโยวครั้งนี้ ดึงดูดสายตาผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ อยู่ไม่น้อย
ทว่า ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เมื่อพวกเขาจะเข้าใกล้ ก็ต้องถูกสำนักหลิงอู่ห้ามไว้ ถึงแม้จะเป็นคนของสถาบันไป๋หยวนจะไล่ตามออกไปได้ ต่างพากันถูกคนแปลกหน้านำทางไปอีกทาง ความผิดปกติเช่นนี้ ดึงดูดความสนใจของผู้คุมจากสถาบันไป๋หยวน หลังจากที่เขาถูกคนล่อออกไปอีกทาง รู้สึกตัวทันทีเลยว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เขสสลัดคนที่เข้ามาพัวพันทิ้ง แล้วรีบไปรายงานข่าวกับสถาบบันอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศการทดสอบของหุบเขาโยวโยว เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจียงหลีที่ปล่อยทักษะการต่อสู้พรสวรรค์ออกมาหลายครั้ง ไม่ได้เกิดอาการหมดเรี่ยวแรงอย่างที่ทุกคนคาดเดาไว้ แต่กลับหาช่องว่าง เมื่อพวกนักฆ่าทั้งหลายโดดบีบบังคับให้ถดถอย นางรีบคว้าดึงชายเสื้อของลู่เสวียนพาเขาหนีออกไป
เมื่อพลังวิญญาณเหือดหายไป พลังแห่งการทำลายล้างก็ได้สลายไปกับสายลม หลังจากที่ทุกอย่างเงียบสงบลง ได้มีชายฉกรรจ์แปดคนที่สวมเสื้อดำพร้อมหน้ากากที่ปิดหน้าไว้กระโดดมาจากไกล มาหยุดอยู่ตรงพื้นดินที่ถูกทำลาย ดวงตาที่มืดมนราวกับจะหยดออกมา
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ กะอีแค่เด็กสองคนยังฆ่าไม่ได้” ผู้เป็นหัวหน้าสะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห
เจ็ดคนที่เหลือไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ได้แต่ก้มหน้าทนรับความโกรธ
พวกเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าเอาผู้มีเนตรญาณระดับหลิงเจี้ยงไปสู้กับผู้ที่มีระดับเพียงหลิงซื่อ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเดาจุดจบให้ยาก แต่เด็กสองคนนั้นกลับหลบหนีไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า!
“มัวยืนรออะไรอยู่เล่า ยังไม่รีบไปตามอีก หาพวกเขาให้เจอ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แล้วจงฆ่าพวกมันทิ้งเสีย ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายท่านให้สำเร็จ” ผู้เป็นหัวหน้าสั่งด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ขอรับ” ทั้งเจ็ดคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
ทันใดนั้น ร่างทั้งแปดกระโดดหายไปในช่วงพริบตาเดียว
……
ลู่เสวียนที่ถูกเจียงหลีงชายคอเสื้ออยู่ระหว่างหลบหนี แม้สภาพจะดูคับขันลำบาก ก็ไม่อาจห้ามสายตาที่มองเจียงหลีด้วยความนับถือ “หลียาโถ่ว หลียาโถ่ว เจ้าทำได้อย่างไร เหตุใดเจ้าถึงปล่อยทักษะการต่อสู้พรสวรรค์แบบต่อเนื่องได้ เจ้ามีวิธีลับหรือเปล่า เร็วๆ ช่วยสอนข้าหน่อยสิ สอนข้าหน่อย ”
“หุบปาก” เจียงหลีตวาดเล็กน้อย ขัดจังหวะการพูดไม่รู้จบของเขา นางไม่เข้าใจจริง เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ ยังผ่อนคลายได้อีก
“เจ้าสอนข้าหน่อยสิ รับรองข้าจะไม่กวนเจ้าอีก! นี่มันน่าทึ่งมากเลย ถ้าข้าสามารถปล่อยทักษะการต่อสู้พรสวรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง แถมแรงไม่มีหมดอีก ข้าต้องเก่งกาจไร้เทียมทานแน่เลย” ดวงตาของลู่เสวียนเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นและคาดหวัง
“เป็นมาตั้งแต่เกิด เจ้าเรียนไม่ได้หรอก” คำพูดเจียงหลี ได้ตัดความคิดเพ้อเจ้อของลู่เสวียนลง
นี่ไม่ได้ตอบแบบส่งๆ เป็นเพราะเจียงหลีพบว่านางมีแรงดูดซับพลังวิญญาณมากกว่าคนอื่น รวมไปถึงการต่อสู้ที่ผ่านมานัดต่อนัด จึงได้ข้อสรุปจากการใช้พลังวิญญาณ
‘ร่างนาง’ ตอนนี้มีพลังลับซ่อนอยู่!
นี่ก็เป็นสาเหตุที่จู่ๆ นางก็เกิดสนใจในตัวกู๋หล่านเย่ว์ขึ้น รวมไปถึงเจียงเฮ่า
สีหน้าลู่เสวียนแสดงออกถึงความผิดหวังเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่วูบเดียว เขาเพิ่งสังเกตุว่าตนนั้นตกอยู่ในสภาพที่น่าอนาถแท้ เขาจึงดิ้นรนใหญ่ “นี่ หลียาโถ่ว รีบปล่อยข้าเร็ว!” การที่โดนสาวน้อยหิ้ววิ่งหนี มันช่างขายหน้าเสียจริง หากเรื่องนี้ได้เผยแพร่ออกไป คนอย่างนายน้อยลู่จะใช้ชีวิตต่ออย่างไรเล่า
“ก็ได้” เจียงหลีเด็ดขาดมาก ลู่เสวียนพูดไม่ทันขาดคำ นางก็ปล่อยมือที่จับลู่เสวียนไว้
อ้ากกกกก
ลู่เสวียนที่ถูกปล่อยอย่างไม่ทันตั้งตัว ได้พุ่งลงสู่พื้นดิน สองมือพยายามจะควบคุมท่าของตนที่ร่วงสู่พื้น ก่อนที่ปลายจมูกจะสัมผัสกับพื้นดิน ได้บิดเอวเล็กน้อย กลายเป็นว่าหลังชนพื้นดินแทน
โอ้ย หน้าลู่เสวียนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่แผ่มาจากสันหลัง “หลียาโถ่ว ข้าว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่บอบบาง แต่ทำตัวหยาบคายเชียว ผู้หญิงก็ควรนุ่มนวลเสียหน่อยถึงจะดี”
“สาวน้อยที่นุ่มนวลจะพาเจ้าหนีออกมาได้งั้นหรือ” เจียงหลียืนตรงหน้าเขา ถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
ลู่เสวียนรีบกลิ้งตัวลุกขึ้นจากพื้น แล้วปัดก้นตัวเองที่ล้มลงกับพื้น อำพรางด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ “หลียาโถ่ว เจ้านี่เก่งยิ่งนัก ช่างแตกต่างจากผู้อื่นเสียจริง ไม่น่าพี่ข้าถึงให้เจ้ามา” คำชมเชยที่ไม่ได้พูดจากใจจริง ทำให้เจียงหลีหัวเราะเยาะแบบดูถูก
“พวกนั้นไม่ยอมง่ายๆ แน่ เจ้าคิดวิธีแก้วิกฤตนี้ให้ได้ก่อนเถอะ” เจียงหลีตักเตือน
รอยยิ้มลู่เสวียนนิ่งค้าง ดวงตาฉายแววเย็นชา “ดูเหมือนว่า มีแต่ต้องถอนตัวจากการทดสอบเพียงหนทางเดียวแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้พวกเขาประมาทไปหน่อย จึงต่อสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ด้วยพลังระดับเนตรญาณแล้ว การที่จะฆ่าพวกเรานั้น เป็นแค่เรื่องง่ายนิดเดียว มิหนำซ้ำการโจมตีของพวกเรา แม้จะเป็นทักษะการต่อสู้พรสวรรค์ที่ร้ายกาจเช่นไร ก็ยากที่จะสร้างความบาดแผลให้กับนักฆ่าหลิงเจี้ยงได้ ส่วนกรณีของเจ้า พวกมันหลงกลไปแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่หลงกลเป็นครั้งที่สองอีก หากรอพวกมันไล่ตามทัน มันจะไม่ใช่สถานการณ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งล่ะซิ”
ตัวเขาเองก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งดีนี่ เจียงหลีคิดในใจ
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราไปหาทางออกก่อน อีกอย่างเสียงดังเมื่อครู่นี่ ต้องถึงหูผู้คุมจากสถาบันไป๋หยวนแน่นอน ไม่แน่พวกข้าอาจโชคดี ยังไม่ถึงทางออกก็เจอกับคนของสถาบันไป๋หยวนเสียก่อน ภายใต้สายตาผู้คนมากมายอย่างนี้ พวกมันไม่กล้าลงมือหรอก” เจียงหลีพยักหน้า
“ไปกันเถอะ” ลู่เสวียนพยักหน้าแรง และเดินไปทางออกพร้อมเจียงหลี ทว่า พวกเขาก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะลอยมา
เสียงหัวเราะนั้นแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยที่ไม่แยแสผู้ใด ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่สามารถกักขังตัว และหัวใจของเขาไว้ได้
“ผู้ใด?” ลู่เสวียนมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง แต่เจียงหลีกลับเงยหน้าขึ้น มองไปทางต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือ นางมั่นใจว่า เสียงหัวเราะเมื่อครู่ มาจากบนต้นไม้นั้น สิ่งแรกที่เห็น ทำให้เจียงหลีหัวใจบีบตัวแรงเพราะกิ่งก้านใบไม้มีเสื้อแดงที่เผยให้เห็นอย่างเลือนราง เป็นสีที่นางคุ้นเคยอย่างยิ่ง…