ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 216 เพราะหลีเอ๋อร์ชอบ
ลู่วั่งชวนเคยพูดไว้ว่าหากเขาสามารถค้นพบตัวหลิงหวังที่อยู่ในสายให้การช่วยเหลือ หลิงหวังที่เน้นบำเพ็ญฝึกฝนการรักษาเป็นหลัก อาจจะช่วยชีวิตเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีเป้าหมายแล้วและจะได้ผลในเร็ววัน
ดังนั้น หลังจากลู่วั่งชวนขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งที่เขาทำมิใช่ปกครองประเทศ แต่กลับหายจากสายตาของผู้คนอีกครั้ง โดยราชวงศ์จยาเซียนอยู่ภายใต้การดูแลของลู่เจี้ยแทน
แน่นอนว่ามันมิได้สำคัญอะไร
หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์โฮ่วจิ้น ต่อมาผู้คนแห่งราชวงศ์จยาเซียนต่างรู้กันดีว่าเจ้านายที่แท้จริงและผู้ปกครองของตระกูลลู่คือชายหนุ่มรูปงามผู้นี้นี่เอง
วันนี้ลู่วั่งชวนกลับมาพร้อมกับความหวัง
แม้ว่าลู่เจี้ยจะยังไม่รู้ว่าท่านปู่ต้องเสียแรงกายแรงใจไปมากเพียงใดกว่าจะเชิญหลิงหวังผู้นี้มาได้ ณ ห้องโถงด้านใน ลู่เจี้ยนั่งไขว่ขาอยู่บนเตียงและหลับตารอ
ขณะนี้ หลิงหวังที่ได้รับเชิญมากำลังมองสำรวจคนป่วยของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อมองดูแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจในความงดงามของชายผู้นี้ และเปรียบเทียบความงดงามนี้ให้อยู่เหนือหญิงงามทั้งปวง
“ใต้เท้า ท่านดูแล้ว…”
คำพูดของลู่วั่งชวนขัดจังหวะความประหลาดใจของหลิงหวัง
เขาไอเล็กน้อยเพื่อปกปิดการสูญเสียการควบคุมและเผยสีหน้าอันหยิ่งผยองเฉกเช่นก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง ใช่แล้ว ต้องเย่อหยิ่งเข้าไว้ เขาเป็นถึงหลิงหวังในด้านการรักษาที่สง่างาม การที่เขามายังถิ่นทุรกันดารแห่งดินแดนตอนใต้เช่นนี้ถือว่าให้เกียรติพวกเขามากแล้ว
“ให้ข้าดูก่อน” หลิงหวังกล่าวอย่างเย็นชา
หลิงหวังก้าวไปข้างหน้าและเดินไปที่ด้านข้างของลู่เจี้ย
เขายกมือขึ้นและกางนิ้วทั้งห้าออกห่างประมาณสิบนิ้วจากบริเวณศีรษะของลู่เจี้ย ทันใดนั้น ก็ปรากฎพลังวิญญาณที่โปร่งใสและส่องแสงประกายออกมาอย่างรวดเร็ว และร่วงหล่นจากฝ่ามือของเขา แล้วค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางลู่เจี้ยเพื่อห่อหุ้มเขาไว้
ร่างกายของหลิงหวังค่อยๆ เปล่งประกายแสงโปร่งนั้นเช่นกัน ทำให้ใบหน้าที่หยิ่งผยองของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
ลู่วั่งชวนจ้องมองไปที่ลู่เจี้ยอย่างประหม่า และเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงทุกย่างก้าวของเขาอย่างระมัดระวัง โดยเฝ้ามองเขาอย่างนิ่งสงบและค่อยๆ ขมวดคิ้วจนแสดงความเจ็บปวดออกมาให้เห็น
“เจี้ยเอ๋อร์” มือของลู่วั่งชวนที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำลังสั่นสะท้านด้วยความกังวล
นี่เป็นเพียงการตรวจสอบร่างกายเท่านั้น ยังมิใช่การรักษาอย่างเป็นทางการ เขาจะต้องไม่เข้าไปรบกวนการทำงานของหลิงหวัง
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดหลิงหวังก็หยุดการตรวจสอบลง พลังวิญญาณสลายออกจากฝ่ามือของเขา และลูเจี้ยแลดูเหนื่อยมาก ราวกับว่าเขาสูญเสียความแข็งแกร่งไปแล้วก็ไม่ปาน
“ใต้เท้า เป็นเช่นไรบ้าง” ลู่หวังชวนเดินไปข้างหน้าอย่างรีบเร่ง
หลิงหวังโบกมือ และหายใจนำของไม่สะอาดออกมา แล้วพยักหน้าให้กับดวงตาอันคาดหวังของลู่วั่งชวน “รักษาให้หายได้”
รักษาให้หายได้!
“วิเศษ! ” ลู่วั่งชวนแสดงสีหน้าดีใจ
ลู่เจี้ยลืมตาขึ้นเช่นกันและขยับดวงตาเพื่อมองไปที่หลิงหวัง
“แต่ทว่า… ” จู่ๆ หลิงหวังก็ขมวดคิ้วอีกครั้งและดูเหมือนลังเลที่จะเอ่ยปากพูด
เขามีทีท่าเช่นนั้น ทำให้ลู่วั่งชวนอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง “หลิงหวังมีอะไรก็กล่าวออกมาตรงๆ เถิด”
ดวงตาของหลิงหวังเป็นประกายและเอ่ยปาก “เช่นนั้นไปคุยกันด้านนอกเถิด”
“พูดกันตรงนี้เถิด” ลู่เจี้ยกลับเอ่ยขึ้นมาทันที ขัดขวางไม่ให้พวกเขาหลบหลีกออกไปข้างนอก
หลิงหวังหันมาชำเลืองมองลู่เจี้ยอย่างละเอียดและแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมา “ช่างเถอะ เมื่อเจ้าอยากฟังข้าก็จะเล่าให้เจ้าฟัง อาการป่วยของเจ้าเป็นเพราะตั้งแต่กำเนิดมีเนตรญาณน้อยกว่าคนธรรมดาอยู่หนึ่งดวง หากจะรักษาให้หายขาดเป็นปกติ นั่นเป็นไปไม่ได้ แต่ข้ามีวิธีที่จะช่วยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นอีกสิบปี”
“ยืดอายุออกไปได้แค่สิบปีเท่านั้นหรือ” ลู่วั่งชวนเอ่ยถามอย่างเงียบๆ
ลู่เจี้ยกลับดูเงียบสงบ ราวกับว่าเขาคาดเดาผลลัพธ์ไว้อยู่แล้ว
“ใช่ ยืดอายุได้อีกสิบปี นี่เพราะเป็นข้า หากเป็นคนอื่นเกรงว่าเพียงยืดอายุออกไปสิบปีก็ทำไม่ได้อย่างแน่นอน” ราชาแห่งวิญญาณพูดอย่างมั่นใจ
“สิบปี สิบปี! ” ลู่วั่งชวนกล่าวพึมพำ ราวกับว่าถูกโจมตีอย่างหนัก
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาขาวซีดลง ราชาแห่งวิญญาณจึงพูดประชดประชัน “น้อยเกินไปหรือ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากไม่ยืดอายุ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงปีครึ่ง”
อะไรนะ!
ลู่วั่งชวนมองหน้าเขาด้วยความตกใจ
มีคนเคยเอ่ยอ้างว่าลู่เจี้ยจะมีชีวิตอยู่เพียงยี่สิบแปดปี บัดนี้เขาอายุยี่สิบห้าปี เหลือเวลาอีกสามปีก่อนครบกำหนด เหตุใดหลิงหวังจึงบอกว่าเขามีชีวิตได้ไม่ถึงหนึ่งปีครึ่งเล่า
“หากอยากมีอายุเพิ่มสิบปี ต้องแลกกับอะไรบ้าง” ลู่เจี้ยถามอย่างใจเย็น
รอยยิ้มของหลิงหวังดูเย็นชาเล็กน้อย “ช่างฉลาดเสียจริง อะไรก็ตามที่ทำลายกฎของธรรมชาติ ล้วนต้องมีค่าตอบแทนสูง หากเจ้าต้องการยืดอายุสิบปี ก็ต้องสละใบหน้าอันงดงามของเจ้าไป” ขณะที่พูด ดวงตาของเขาหรี่ลง ราวกับว่ากำลังหลงใหลในความงามของลู่เจี้ยอยู่เล็กน้อย “เจ้าจะค่อยๆ กลายเป็นคนอัปลักษณ์ แม้ว่าเจ้าจะสูญเสียใบหน้าอันงดงามที่หาใครเปรียบไม่ได้ไป แต่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นเป็นสิบปี เป็นอย่างไร การซื้อขายครั้งนี้คุ้มค่าใช่หรือไม่”
“ค่อยๆ อัปลักษณ์ไป…” ลู่เจี้ยหลุบตาลงและกระซิบคำพูดเหล่านี้อย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังครุ่นคิดคำพูดของหลิงหวังอยู่
“คุ้มค่า คุ้มค่ายิ่งนัก! ” ลู่วั่งชวนรีบเอ่ยก่อนที่ลู่เจี้ยจะพูดเสียอีก
ลู่เจี้ยเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ท่านปู่ด้วยใบหน้าอันสงบนิ่ง
ลู่วั่งชวนพูดกับหลิงหวังอย่างเร่งรีบ “ขอเพียงมีชีวิตเพิ่มสิบปี โดยช่วงเวลานี้ เราสามารถหาทางออกอื่นได้อีกใช่หรือไม่”
“ฮึ่ม” คำพูดของลู่วั่งชวน ทำให้หลิงหวังถึงกับโกรธกริ้ว “หากพวกเจ้าอยากจะลองวิธีอื่น ก็ไปลองดูสิ ข้ารับประกันได้ว่าจะยืดอายุได้เพียงสิบปีเท่านั้น”
“ใช่ๆๆ ” เมื่อรับรู้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของราชาแห่งวิญญาณ ลู่วั่งชวนจึงหยุดถาม และหันมองไปที่ลู่เจี้ยด้วยสายตาแห่งความหวัง “เจี้ยเอ๋อร์ รูปลักษณ์ของผู้ชายเราก็เป็นเพียงเท่านี้ ระยะเวลาตั้งสิบปี ปู่จะไม่ยอมแพ้”
“ท่านปู่ ข้าขอปฏิเสธ” ลู่เจี้ยพูดคำนี้อย่างเด็ดขาดนัก ท่ามกลางสายตาของลู่วั่งชวน
“อะไรนะ! ” ลู่วั่งชวนเบิกตากว้างและมองไปที่เขาด้วยความตกใจ “ทำไมเล่า แค่ไม่มีหน้าตาที่งดงามเท่านั้น มิใช่เรื่องใหญ่อะไร เหตุใดเจ้าถึงไม่ต้องการมัน”
แม้แต่ราชาแห่งวิญญาณก็มองกลับไปที่ลู่เจี้ยด้วยสายตาพินิจ
“เพราะว่า…” หลีเอ๋อร์ชอบแบบนี้ เพราะนางชอบมองใบหน้าอันน่าหลงใหลของข้า เพราะนางชอบคนที่มีใบหน้างดงาม เพราะนางชอบเพียงเท่านั้น!
“เพราะอะไร” น้ำเสียงของลู่วั่งชวนโกรธเคืองเล็กน้อยแล้ว
ลู่เจี้ยเก็บซ่อนความคิดนั้นไว้ พลางหันหน้าไปทางท่านปู่ และมุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดอย่างช้าๆ “เพราะหลานไม่ต้องการเสียรูปลักษณ์นี้เพื่อแลกกับชีวิตสิบปีขอรับ”
“เจ้า! เจ้า…” ลู่วั่งชวนเป็นกังวลจนชี้ไปที่ลู่เจี้ย ทั้งที่อยากจะดุด่า แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
หลิงหวังขมวดคิ้วแล้วสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา “ในเมื่อเจ้าหลงในรูปลักษณ์เช่นนี้ เรื่องนี้ก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว”
“ใต้เท้า! ” ลู่วั่งชวนรีบตะโกน เมื่อเห็นหลิงหวังเดินจากไปด้วยความโกรธ เขาก็มองไปที่ลู่เจี้ยและเห็นท่าทีที่มั่นคงของเขา จึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญาแล้ววิ่งไล่ตามออกไป
“ใต้เท้า ช้าก่อน” หลังจากลู่วั่งชวนวิ่งตาม และรีบตะโกน
หลิงหวังหยุดเดิน ใบหน้าของเขายังคงไม่พอใจ เขามองไปที่ลู่วั่งชวนอย่างเฉยเมยและไม่ลืมที่จะเตือนว่า “ตอนที่เจ้าเชิญข้ามา เจ้าบอกว่าไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ค่าตอบแทนก็คงเดิม”
ใบหน้าของลู่วั่งชวนแน่นตึง ดึงสายตาลงและพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น”
“ไม่ลืมก็ดีแล้ว” หลิงหวังยิ้มเยาะ แล้วหันหลังเดินจากไป
ลู่วั่งชวนไม่ได้วิ่งตามต่อ เพียงยืนอยู่บนขั้นบันไดด้านนอกท้องพระโรง เฝ้ามองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและแสงสุดท้าย แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
…
ณ สถาบันไป๋หยวนซีเฉียน ในคืนที่เงียบสงัด เงาดำแอบเข้ามายังที่พักของลูกศิษย์อย่างเงียบๆ …