ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 235 ชีวิตนี้กำหนดชัดเจนแล้วต้องเป็นเขา
อาหลี ตกลงแล้วเจ้าชอบใครกันแน่ เจียงเฮ่ามองนางด้วยสายตาหนักแน่น
เจียงหลีชะงักค้าง
ตกลงนางชอบใครอะไรกัน นางชอบใครมันก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือ แน่นอนว่าต้องเป็นลู่เจี้ยไง เจียงหลีตอบอย่างไม่เขินอายเลยสักนิด
นางเปิดกว้างกับเรื่องของลู่เจี้ยเสมอ คนในตระกูลลู่รวมถึงเจียงเฮ่าต่างก็รู้ไส้รู้พุงมาตั้งนานแล้ว นางยังต้องแสร้งทำเป็นเขินอายอีกหรือ
หากเป็นเช่นนี้แล้วคุณชายชุดแดงนั่นคืออะไร ก่อนหน้านี้เจ้ากอดเขาต่อหน้าคนอื่นจากนั้นยังเข้าร่วมกลุ่มกับเขาอีก ชายหญิงตัวเปล่าเล่าเปลือยไปมาหาสู่กันตั้งหลายวัน เจียงเฮ่าชักจะจนปัญญา
… เจียงหลีเบิกตาค้างมองพี่ชาย นางกับมู่ชิงเกอเนี่ยนะ พวกนางเนี่ยนะ
เอ่อ…
ช่างเถอะ นางชินที่มู่ชิงเกอปลอมตัวเป็นชายเสียแล้วแต่กลับลืมนึกไปว่าคนอื่นต่างมองมู่ชิงเกอเป็นผู้ชายจริงๆ
อืม น่าจะอธิบายให้ถูกต้องสักหน่อยแล้วล่ะ เจียงหลีเอ่ยในใจ
เพียงแต่ยังไม่ทันให้นางได้เริ่มอธิบายเจียงเฮ่าก็ลั่นวาจาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง อาหลี พี่หวังว่าเจ้าจะมีความสุข หวังว่าคนที่มาดูแลเจ้าในอนาคตจะเป็นคนที่เจ้าชอบแล้วก็ชอบเจ้า พี่เคยบอกแล้วว่านายน้อยลู่ชะตาตื้นเขินนักเกรงว่าจะไม่คู่ควรกับเจ้า ส่วนคุณชายชุดแดงข้าดูแล้วไม่ใช่คนธรรมดา หากเจ้าไม่รังเกียจ พี่เองก็หวังว่าเจ้าจะใกล้ชิดสนิทสนมกับเขามากขึ้น แน่นอนว่าตอนนี้เจ้ายังเด็ก ต่อไปคงต้องเจอบุรุษที่เพียบพร้อมอีกมากมาย เพราะฉะนั้นหากเจ้าไม่ชอบก็อย่าเพิ่งเร่งรัดเลย
คำพูดของเจียงเฮ่าทำให้เจียงหลีแสดงสีหน้าหนักอึ้ง
หากเข้าใจนางกับมู่ชิงเกอผิดก็แล้วไป ถึงอย่างไรพฤติกรรมนางก็มิได้สนใจใยดีอยู่แล้วจึงทำให้เขาเข้าใจผิด แต่ว่าความหมายที่แฝงในคำพูดของเจียงเฮ่าคือลู่เจี้ยมีชะตาชีวิตตื้นเขินอยากให้นางตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ แล้วหันไปรักคนอื่นแทน ซึ่งคำพูดนี้ทำให้นางทนไม่ไหวอีกต่อไป
เจียงเฮ่า จู่ๆ นางตะโกนเรียกชื่อผู้เป็นพี่ชาย
เจียงเฮ่าอึ้งกิมกี่อย่างประหลาดใจ ตั้งแต่เล็กจนโตหากเขาทำให้น้องสาวโกรธเข้านางก็จะเรียกชื่อตัวเองเต็มยศ
อาหลี เจียงเฮ่าลนลาน
เจียงหลีมองเขาตาเป็นประกายแล้วลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงยืนหยัดหนักแน่น ข้าชอบลู่เจี้ย ชาตินี้กำหนดชัดเจนแล้วว่าต้องเป็นเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นของข้า ตอนมีชีวิตอยู่ก็เป็นคนของข้า ตอนตายก็เป็นผีของข้า แล้วข้าจะไม่ยอมให้เขาตายเด็ดขาด!
… เจียงเฮ่ามองผู้เป็นน้องสาวด้วยความตกใจ
วาจาเช่นนี้เอ่ยออกมาจากปากของนางทำเอาเขามิรู้ว่าจะว่ากล่าวตักเตือนเยี่ยงไรดี
สีหน้าเจียงหลียังคงเย็นชาแล้วพูดต่อ ชิงเกอเป็นสหายสนิทของข้า ผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะมาเยี่ยมข้าเพียงเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องใส่ใจ สำหรับคำพูดเมื่อครู่นี้ ข้าหวังว่าต่อไปอย่าได้เอ่ยออกมาจากปากของพี่ใหญ่อีก
ดวงตาสุกใสจ้องมองมาที่ตัวเองเขม็ง เจียงเฮ่ารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นทาบทับมายังร่างของเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าให้เจียงหลีแล้วเปล่งคำว่า ได้ ออกมาจากลำคอเท่านั้น
เมื่อเขาตกปากรับคำแรงกดดันที่ทับร่างพลันเบาลง
เจียงเฮ่ามองเจียงหลีด้วยความตกใจ ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าน้องสาวของเขาเติบโตจนสูงเกินเอื้อมโดยที่เขาไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
อาหลี ตกลงตอนนี้เจ้าฝึกฝนอะไรกันแน่ ปัญหานี้ที่เขาเพิกเฉยมานานจู่ๆ ก็นึกสะกิดใจขึ้นมา
ตอนที่เพิ่งเข้าสถาบันไป๋หยวนแห่งซีเฉียน เจียงหลีก็บรรลุหลิงเจี้ยงขั้นห้าแล้ว ผ่านไปปีกว่านางทุ่มเทฝึกฝนจนบัดนี้ไม่รู้ว่าบรรลุถึงระดับไหน
พี่ใหญ่ เรื่องรักใคร่จะหวานชื่นหรือขมขื่นมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นถึงจะรู้ดี ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวทางเลือกของพี่ใหญ่ในอนาคต ส่วนพี่ใหญ่ได้โปรดสนับสนุนการตัดสินใจของข้าเช่นกันด้วย เจียงหลีระงับอารมณ์คุกรุ่นปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
เจียงเฮ่าหวังดีกับนางจากใจจริง นางเองก็ไม่อยากห่างเหินกับพี่ใหญ่คนนี้
เจียงเฮ่าเผยสีหน้ารู้สึกผิด ในระหว่างที่เจียงหลีตั้งตารอ เขาจึงพยักหน้าอีกครั้ง ได้ พี่ใหญ่ผิดไปแล้ว
ลู่เสวียนกำลังจดๆ จ้องๆ มูชิงเกออยู่อีกด้านหนึ่ง
มู่ชิงเกอก็มองเขาด้วยความสนอกสนใจแล้วรอคอยเขาเปิดปากพูด
ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร แล้วก็ไม่สนว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนด้วย ต่อไปนี้อยู่ให้ห่างๆ ซ้อเล็กของข้าหน่อย มิฉะนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนพี่ชายข้าเอง! ลู่เสวียนขบกรามข่มขู่ฟ่อๆ
ซ้อเล็ก? มู่ชิงเกอแสดงความรู้สึกประหลาดใจภายใต้ใบหน้าอันเลอโฉม
ลู่เสวียนเชิดคางปราดสายตามองไปทางเจียงหลี
มู่ชิงเกอหุบยิ้มแล้วก็คร้านจะอธิบายจึงทำได้แค่พยักหน้าตอบ ได้ ข้ารู้แล้ว
หืม นางให้ความร่วมมือเช่นนี้เกือบทำเอาลู่เสวียนแลบลิ้นออกมา สำนวนที่ตะเตรียมจะพูดมาอย่างดีสุดท้ายก็ไร้ประโยชน์
เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ ลู่เสวียนไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองสักเท่าไหร่
มู่ชิงเกอเอ่ยขำ ข้าบอกว่าข้ารู้แล้ว ที่จริงเจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะทำอะไร ข้ามีคนรักในใจแล้วไม่มีทางแย่งผู้หญิงของพี่ชายเจ้าหรอก
คำพูดเจ้าจะเชื่อได้สักแค่ไหน ลู่เสวียนยังคงมองนางอย่างหวาดระแวง ดูเหมือนกลัวนางจะโป้ปดมดเท็จ
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ พยักหน้า
แม้ว่านางจะถูกเจ้าเด็กหนุ่มข่มขู่แต่นางกลับรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกได้ว่าเจียงหลีอยู่ในใจคนเหล่านี้แล้วก็รู้ด้วยว่าเจียงหลีไม่ได้อยู่บนโลกนี้อย่างโดดเดี่ยว
หากเป็นเช่นนี้ ตอนที่นางจากไปคงสบายใจขึ้นมาก
ลู่เสวียน พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกัน เจียงหลีที่เพิ่งสนทนากับเจียงเฮ่าเสร็จ เดินมาทางนี้สอดสายตาจับพิรุธลู่เสวียน
ลู่เสวียนลุกลี้ลุกลนพูด เปล่า ไม่มีอะไร
เจียงหลีเหลือบมองเขาอย่างสงสัยจึงพยักพเยิดถามมู่ชิงเกอ แต่ทว่ามู่ชิงเกอกลับไม่พูดอะไรได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ
เมื่อถามไปก็ไม่ได้ความ เจียงหลีจึงได้แต่ถอดใจ
ทั้งสี่คนยืนมองทะเลเมฆฝั่งตรงข้ามด้วยกัน
ภารกิจอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ต้องยอมแพ้แล้วจากไป เจียงหลีเม้มริมฝีปาก ดวงตาคู่งามค่อยๆ หรี่ลง
เจียงเฮ่าก็พยักหน้าเห็นด้วย ดูท่าทางแล้วภารกิจนี้จะสุ่มเจอผู้ทดสอบคนอื่นๆ จากนั้นเอาชนะพวกเขาให้ได้ภารกิจก็จะสำเร็จ
ข้ามีข้อสงสัย ลู่เสวียนยกมือขึ้นมองไปยังทั้งสามคน หากตกลงไปจากที่นี่จะตายจริงๆ ไหม
น่าจะถูกคัดออก ไม่มีใครตายที่นี่ มู่ชิงเกอกล่าวช้าๆ
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว พี่เฮ่าพวกเราไปกันก่อนเถอะ ลู่เสวียนมีท่าทีผ่อนคลายลง
ช้าก่อน จู่ๆ เจียงหลีก็เอ่ยขึ้น
นางหยิบเชือกมาสองเส้นจากมู่ชิงเกอมามัดบนตัวของทั้งสอง พวกข้าจะยืนมองพวกเจ้าที่ริมฝั่ง หากพวกเจ้าหายตัวไปก็จะดึงพวกเจ้ากลับขึ้นมา เช่นนี้ก็จะไม่ถูกคัดออกแล้วยังทุเลาความรู้สึกเจ็บปวดจากร่างกายแหลกเหลวอีกด้วย
วิธีนี้ไม่เลวเลย ใบหน้าของลู่เสวียนเผยรอยยิ้มร่า
หลังจากเตรียมตัวแล้วทั้งสองก็ทำตามขั้นตอนดังกล่าว ลู่เสวียนอยู่ข้างหน้าส่วนเจียงเฮ่าประคองอยู่ข้างหลังเดินไปตามโซ่ตรวนอีกครั้ง
พลันเมฆหมอกกลืนกินเงาร่างทั้งสองจนหายวับไปกับตา
เจียงหลีขมวดคิ้วมดึงเชือกในมืออยู่บนฝั่ง
เชือกในมือของนางกับมู่ชิงเกอถูกดึงยาวออกไปไม่หยุดหย่อนซึ่งหมายความว่าลู่เสวียนและเจียงเฮ่าไปได้ไกลแล้ว
เจียงหลี พี่ชายคนนี้กับว่าที่น้องเขยของเจ้าดูท่าทางไม่เลวนี่ จู่ๆ มู่ชิงเกอก็พูดจาหยอกล้อท่ามกลางความเงียบ
เจียงหลีกระตุกมุมปากเบาๆ ยักคิ้วหลิ่วตาใส่นาง ความรู้สึกที่มีครอบครัวก็ไม่เลว
ท่ามกลางมวลเมฆหมอก ลู่เสวียนและเจียงเฮ่าที่กำลังรวบรวมสมาธิรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของโซ่ที่ปลายขา จากนั้นก็มีเสียงดังมาจากอีกฟากของทะเลเมฆ
เริ่มแล้ว!
หัวใจของทั้งสองหนาวสะท้านในเวลาเดียวกัน