ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 261 โปรดให้อภัยกับความเห็นแก่ตัวของข้า
“ลู่เจี้ยไอ้คนบ้า!” เจียงหลีคว้าเก้าอี้ที่ขาหักขว้างไปที่ประตูอย่างแรง
น่าเสียดาย ขณะที่เก้าอี้กระแทกกับตาข่ายป้องกันหน้าประตูกลับระเบิดเป็นเสี่ยงๆ และกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น โดยมิอาจทำร้ายลู่เจี้ยได้เลย
“หลีเอ๋อร์ เด็กดี” ลู่เจี้ยเกลี้ยกล่อมเสียงทุ้มต่ำ
ยิ่งทำให้เจียงหลีโกรธมากขึ้น นางด่าทอว่า “ท่านให้ข้าเชื่อท่าน ข้าก็เชื่อแล้ว ท่านล่ะ กลับโกหกข้า!”
แต่ลู่เจี้ยกลับค่อยๆ ยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้น ก็เกลียดข้าเถิด”
ในขณะที่เขาพูด เขาค่อยๆ หันหลังให้นางและก้าวออกไป “การฝึกฝนเนี่ยนซือของเจ้าสู้ข้าไม่ได้ เลยทำลายตาข่ายป้องกันนี้ไม่ได้ และการฝึกฝนหลิงซือของเจ้าก็อ่อนแอเกินไป ทำลายมันไม่ได้เช่นกัน หลีเอ๋อร์ หนทางที่เจ้าต้องก้าวเดินยังอีกยาวไกล ความอ่อนแอนอกจากจะทำให้ตัวเจ้าเป็นผู้ถูกกระทำแล้ว ก็จะทำให้เจ้าสูญเสียสิ่งต่างๆ มากมาย หลีเอ๋อร์ แข็งแกร่งขึ้นเถิด! “
“ก่อนที่เจ้าจะกลับ ยังไม่ลืมที่จะสั่งสอนข้าอีกหรือ!” เจียงหลีตะโกน
นางทั้งโมโหและทั้งปวดใจ
การอดกลั้นของลู่เจี้ย ความนิ่งเงียบของลู่เจี้ย ความทุ่มเทของลู่เจี้ย ทำให้นางแทบบ้าคลั่ง นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายคนนี้กำลังบอกกับนางว่าการมีชีวิตอยู่นั้นโหดร้ายและโชคชะตาก็โหดร้ายด้วยเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนางได้ แต่หากนางไม่เข้มแข็งพอ นางก็ต้องอดทนต่อการถูกบีบบังคับ
ลู่เจี้ยหยุดเดินและไม่ได้หันกลับไปมอง
ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยและไม่ได้พูดต่อ
สุดท้ายแล้ว เขาก็ก้าวเท้าออกไป และเดินทีละก้าวจนพ้นสายตาของเจียงหลี หลีเอ๋อร์ ปล่อยให้ข้าเห็นแก่ตัวอีกครั้งเถิด ร่างกายของข้าเริ่มแตกสลายแล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเฝ้าข้า และมองดูข้าล้มลงและตายไปในที่สุด ปล่อยให้ร่างข้าตอนนี้ได้อยู่ในใจของเจ้าเถิด หลีเอ๋อร์ เจ้าต้องมีความสุข การจากลาครั้งนี้ อาจต้องรอถึงชาติหน้าถึงจะได้พบกันใหม่ ข้าเชื่อมั่นว่าชาติหน้ามีจริง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะต้องอยู่เคียงข้างเจ้าไม่ไปไหนชั่วชีวิต
ในที่สุดเงาของลู่เจี้ย ก็ได้หายไปจากสายตาของเจียงหลี
นางจ้องมองไปทางที่เขาเดินจากไปอย่างสุขุมและตะโกนว่า “ลู่เจี้ยยย!” ความเสียใจในใจของนาง ทำให้น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตาอันสดใสและไหลหยดลงตามมุมตาและแก้มของนางอย่างเงียบๆ
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอหน้ากันในชาตินี้
“ข้ามีเรื่องจะพูดมากมายที่ยังไม่ทันได้บอกท่าน ทำไมท่านถึงใจร้ายกับข้าได้ถึงเพียงนี้” เจียงหลีพึมพำหัวใจของนางเหมือนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
…
ลู่เจี้ยจากไปโดยมิได้พักค้าง
เขากลัว กลัวว่าหากตนยิ่งอยู่นาน ก็จะเสียใจในภายหลัง และจะพาเจียงหลีกลับไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย
ก่อนที่จะจากไป เสียงกรีดร้องเหมือนใจจะขาดของเจียงหลี ทำให้หัวใจของเขาแตกสลายเช่นเดียวกันทำให้เขาแทบจะต้องอาศัยการหนี ถึงจะเดินออกจากสถาบันไป๋หยวนได้
รถม้าขับแล่นออกจากเมืองอู๋อิ๋นอย่างเงียบๆ และยิ่งขับยิ่งไกลออกไป ยิ่งขับยิ่งไกลออกไป…
บนรถม้า สีหน้าของลู่เจี้ยค่อนข้างเฉื่อยชาราวกับว่าเขากำลังนึกย้อนบางสิ่งอยู่ และวิญญาณในร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกพรากไปครึ่งหนึ่งในเพียงชั่วครู่ ทำให้หัวใจของเงาหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะจากไปได้ทุกที่ทุกเวลา
หากไม่ใช่เพราะมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของลู่เจี้ยเป็นครั้งคราว เงาคงคิดว่าเขา…
ห้ามขยับ! หากขยับอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ! คนรูปงามอย่างเจ้า ข้ามิอาจทำลายได้หรอก!
นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบเจอกัน นางออกกลอุบายและลากเขาลงน้ำ แล้วพยายามหาทางหลบหนี
โชคดีที่ตอนนั้นมิได้หลง ‘เล่ห์เหลี่ยม’ จนทำให้นางหลบหนีสำเร็จ!
ลู่เจี้ยอมยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลประการใดสมองของเขาถึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของเขากับเจียงหลีหลังจากที่ได้พบเจอกัน
เจ้าไม่ใช่เจียงหลี เจ้าเป็นใครกันแน่
หากข้าบอกว่าข้าเป็นราชินี เจ้าจะเชื่อหรือไม่
ดวงตาที่สดใส รอยยิ้มที่มั่นใจ ความเย่อหยิ่งที่มิอาจดูหมิ่น และความสูงศักดิ์แต่กำเนิดชัดเจนในความทรงจำของเขาจนเขาไม่สามารถลืมมันได้ แม้ว่าเขาจะอยากลืมมันก็ตาม
ลู่เจี้ย นับจากนี้ไป ข้าจะปกป้องท่านเอง
การแสดงออกที่เย่อหยิ่งเช่นนี้ ทำไมเขาถึงคิดว่าน่ารักและรู้สึกชอบไปได้ เขาชอบที่จะได้รับการปกป้องและรักโดยเอาอกเอาใจเต็มที่ได้อย่างเผด็จการและรุนแรงเช่นนี้
เรียกท่านอาเร็ว!
คิ คิ! บนรถม้า จู่ๆ ลู่เจี้ยก็หัวเราะขึ้นมา ดวงตาสีเขียวครามที่ค่อนข้างมืดมนคู่นั้นเต็มไปด้วยความรักหมดใจ
พอรู้ว่านางโกรธเคืองจนไม่ยอมพูดด้วย ก็จะเชื่อฟังนางและให้นางลองเป็นผู้อาวุโสสักครั้งหนึ่ง
แต่ทว่า จะมีผู้อาวุโสที่ไหนไม่ปล่อยโอกาสใดๆ ในการใช้ประโยชน์จากผู้ที่เด็กกว่าเฉกเช่นนางได้
หลีเอ๋อร์… หัวใจของลู่เจี้ยปวดร้าวเล็กน้อย และรอยยิ้มที่มุมปากก็ค่อยๆ จางลง บางที ในระหว่างที่เขาตกหลุมรักเจียงหลี สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือ ทำไมเขาถึงเกิดมาพร้อมกับการขาดวิญญาณไปดวงหนึ่งและถูกลิขิตให้ตายก่อนวัยอันควรด้วย “ความตายมีไว้เพื่อความสมบูรณ์ และความสมบูรณ์ถึงจะมีชีวิตนิรันดร์”
ปากของเขากำลังกระซิบคำพูดของมู่ชิงเกอ
“เมื่อข้าตายแล้ว ถึงจะชดเชยความสมบูรณ์ของชีวิตได้ และสามารถอยู่กับหลีเอ๋อร์ตลอดไปได้ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ข้าตายเพียงครั้งเดียวจะเป็นอะไรไป” แววตาของลู่เจี้ยแน่วแน่ ไฟแห่งความฮึกเหิมได้จุดติดขึ้นแล้ว
ครั้งนี้เขาจะต่อสู้กับความตาย! เขาอยากดูว่าหลังจากที่เขาตายไปแล้วนั้น จะก้าวไปสู่ความสมบูรณ์และชีวิตอันเป็นนิรันดร์ได้อย่างไร!
…
ตูม ตูม…!
ตูม ตูม ตูม…!
ณ บริเวณด้านในสุดของสถาบันไป๋หยวน เกิดเสียงระเบิดดังมาจากเป่ยย่วนอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
จากนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีคนเข้าใกล้และอยากรู้ที่มาของเหตุการณ์นั้น ก็ถูกเจียงเฮ่ารั้งเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เย็นชา
“ซ้อเล็กเย็นๆ ก่อน อย่าเสียเวลาไปเลย” ลู่เสวียนยืนอยู่หน้าห้องพักของเจียงหลีและเกลี้ยกล่อมนางอย่างขมขื่น
อย่างไรก็ตาม คำตอบเดียวที่ได้คือการปะทะที่ยิ่งรุนแรงขึ้น
“เจ้าพยายามมานานมากแล้ว หากทำลายได้คงทำลายสำเร็จไปนานแล้ว ทำไมต้องเสียแรงเปล่าเช่นนี้ด้วย!” ลู่เสวียนทำอะไรไม่ถูก
เจียงหลีใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามแล้ว
เดิมทีคิดว่าหากพลังวิญญาณหมดลง คงจะหยุดเองทันที แต่ไม่คาดคิดว่าพลังวิญญาณของนางใช้อย่างไรก็ไม่หมด
“ฉีกเวหา!”
ตูม…!
เจียงหลีปลดปล่อยทักษะการต่อสู้โดยกำเนิด ทำให้พื้นดินของเป่ยย่วนสั่นสะเทือนขึ้นหลายครั้ง
บ้านหลายหลังที่อยู่ติดกับห้องพักของนางพังเสียหาย แต่บ้านของนางพักกลับคงสภาพเดิม
“ไอ๊หยา เรือนของข้า!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“นี่มันอะไรกัน”
“เจียงหลีกำลังบ้าคลั่งอยู่หรือ!”
“…”
เหล่าลูกศิษย์ที่บ้านพังทลายอย่างไร้สาเหตุต่างพากันออกตามหาเจียงหลีด้วยใบหน้าบึ้งตึง อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดถูกเจียงเฮ่าขวางไว้ด้านนอก หรือไม่ก็ถูกขับไล่ออกไปทันที
ความไม่สงบในเป่ยย่วนค่อยๆ ลุกลามไปทั้งสถาบันไป๋หยวน
ทันใดนั้น เจียงซย่าก็รีบมาที่นี่พร้อมกับฝ่ายยุติธรรมและเฟิงสิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะไปเจรจากับนางเอง” เฟิงสิงอวิ๋นเดินไปหาเจียงเฮ่า
เจียงเฮ่าเม้มริมฝีปากครู่หนึ่งและพยักหน้า
หลังจากที่เฟิงสิงอวิ๋นพยักหน้า เขาก็เดินเข้าประตูหน้าลานกว้างและเดินไปที่ห้องพัก
เจียงซย่าเหลือบมองเจียงเฮ่าด้วยแววตาดุร้ายและมองไปที่บ้านซึ่งอยู่ด้านหลังเขา แล้วหันกลับมาตะโกนกับกลุ่มคนโดยรอบว่า “มุงดูอะไรกัน ว่างกันนักหรือ กลับไปกันให้หมด ควรทำอะไรก็ไปทำซะ หากมารวมตัวกันที่นี่อีก ให้ทุกคนไปเพ่งผนังหน้าผาสามวัน!”
เมื่อได้ยินบทลงโทษเช่นนี้ สีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปทีละคนและแยกย้ายกันเดินจากไป
บัดนี้ เฟิงสิงอวิ๋นเดินไปที่ประตูและมองไปที่ความยุ่งเหยิงข้างในแล้วค่อยๆ พูดว่า “เจ้าทำเช่นนี้ ได้ประโยชน์อะไร”
…………………