ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 262 ข้าพนันกับเจ้า
ภายในห้องเงียบสงัดลง
ลู่เสวียนยืนอยู่ข้างๆ เฟิงสิงอวิ๋นและชำเลืองมองไปที่ห้องอย่างเงียบๆ แล้วมองไปที่เฟิงสิงอวิ๋นอีกครั้ง
ขณะนี้ ท้องฟ้ามืดลงแล้ว
ในห้องของเจียงหลีมืดสนิทและมีเพียงสภาพที่ไม่เป็นระเบียบเท่านั้นปรากฏอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
“ท่านอาจารย์เฟิง โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมนางด้วย ข้าขอตัวออกไปรอข้างนอก” ลู่เสวียนพูดเสียงทุ้มต่ำจากนั้นก็ถอยออกจากลานหน้าบ้านของเจียงหลี
ขณะที่เดินออกมา เขาเพิ่งจะมองเห็นเจียงซย่านำคนของฝ่ายยุติธรรมมารักษาความสงบเรียบร้อยและกันไม่ให้คนเข้าใกล้ห้องแห่งนี้
ส่วนเจียงเฮ่ายืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของเขาตึงเครียดเล็กน้อย โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เขาเดินไปหาเจียงเฮ่าและกระซิบ “พี่เฮ่า ข้าวางแผนกลับอาณาจักรจยาเซียน”
ประโยคที่พูดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้เจียงเฮ่ามองไปด้านข้าง
ลู่เสวียนยิ้มอย่างขมขื่น “นางทรมานตัวเองเช่นนี้ หากข้าไม่รู้จักนาง คงจะคิดว่านางเป็นคนบ้าจริงๆ เสียแล้ว นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลับไป แต่พี่ชายข้ากลับกักขังนางไว้ที่นี่ ด้วยเหตุเดียวคือ พี่ชายข้าเขา…” ลู่เสวียนมิอาจพูดต่อได้ และดวงตาของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียงเฮ่าก็รู้สึกสับสน “เจ้า…”
“พี่เฮ่า ไม่ต้องเกลี้ยกล่อม นั่นคือพี่ชายของข้า ท่านพ่อและท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ข้ามิอาจปล่อยให้เขาอยู่เพียงลำพังได้” ลู่เสวียนสูดหายใจ
“เจ้าใกล้จะประสานวิญญาณยุทธ์ขั้นที่สองได้อยู่แล้วนะ” เจียงเฮ่าเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ลู่เสวียนตะลึงและพูดด้วยรอยยิ้ม “ประสานช้าหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร”
“ไร้สาระ!” เจียงเฮ่าสบถเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้ากลับไปจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เจ้าไม่กลัวหรือว่ากลับไปเช่นนี้ จะทำให้เขาโกรธและอาการแย่ลง”
“ข้า…” ลู่เสวียนถูกดุจนมึนงง
เจียงเฮ่าหายใจเข้าลึกๆ พลางยกมือตบไหล่เขาแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ลู่เสวียน ฟังข้านะ เวลานี้ เจ้าต้องฉวยเวลาทุกวินาทีเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ถึงจะเป็นประโยชน์ที่สุดกับเขา เจ้าต้องเข้าใจว่าหากเขาจากไป อาณาจักรจยาเซียนจะต้องเผชิญกับอะไร รวมถึงตอนนี้โจวยวนก็อยู่ที่นี่ด้วย หากเจ้ากลับไป เจ้าคงนึกไม่ถึงว่าระหว่างทางต้องเจอกับภัยอันตรายอะไรบ้าง เขาใช้ชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้พวกเจ้าแข็งแกร่ง พวกเจ้าจะทำให้เขาผิดหวังได้อย่างไร”
คำพูดเหล่านี้ เขาไม่สามารถพูดกับน้องสาวตนได้ เพราะทนต่อสายตาที่เจ็บปวดของนางไม่ไหว แต่สำหรับลู่เสวียนกลับพูดออกมาได้ทันที
ในสมองของลู่เสวียนมีแต่เสียง หึ่งๆๆ และคำพูดของเจียงเฮ่าทำให้เขาได้สติ
เขาค่อยๆ กำมือที่อยู่ด้านข้างไว้แน่นและเปลี่ยนเป็นแววตาที่แน่วแน่ “พี่เฮ่า ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะยังไม่กลับไป! อีกสองสามวัน ข้าจะไปสมัครเข้าร่วมการประสานวิญญาณยุทธ์ดวงที่สองและตั้งใจฝึกฝน!”
“ดี เจ้าคิดได้เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว! ไว้ข้าไปอาณาเขตหลิงอู่เป็นเพื่อนเจ้า” เจียงเฮ่าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“พี่จะไปกับข้าหรือ” ลู่เสวียนประหลาดใจพลางหันไปมองที่ประตูหน้าลานของเจียงหลี และพูดด้วยความกังวล “แต่ตอนนี้ซ้อเล็ก…”
เจียงเฮ่าเหลือบมองกลับไปเช่นกันและถอนหายใจ “เมื่อมีท่านอาจารย์เฟิงอยู่ด้วยแล้ว นางจะต้องคิดได้เป็นแน่และจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนาง”
“อืม!” ลู่เสวียนพยักหน้าอย่างหนัก
…
ในที่สุดลานหน้าบ้านของเจียงหลีก็สงบลง สิ่งนี้ทำให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ในเป่ยย่วนโล่งใจกันอย่างเงียบๆ
“ท่านอาจารย์เฟิงอยากจะพูดอะไรหรือ” หลังจากนั้นไม่นานเสียงของเจียงหลี ก็ดังขึ้นในความเงียบ
เฟิงสิงอวิ๋นยิ้มเล็กน้อยและมองไปที่ร่างอันเลือนรางซึ่งปกคลุมไปด้วยเงา
ภายใต้การจ้องมองของเขา เจียงหลีค่อยๆ เดินออกมา และแสงจันทร์ที่สอดส่องเข้ามาในห้อง ทำให้โครงร่างที่พร่ามัวของนางชัดเจนขึ้น
ในตอนนี้ร่างกายของเจียงหลีเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโหดเหี้ยมและความเย็นเยือก ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าใกล้ได้ยาก
“เจ้าอยากออกมาหรือ” เฟิงสิงอวิ๋นถาม
ดวงตาที่สดใสของเจียงหลีเต็มไปด้วยความแหลมคม หลังจากได้ยินคำพูดของเฟิงสิงอวิ๋น ดวงตาของนางก็เป็นประกายและถามว่า “ท่านจะช่วยข้าหรือ” หากเฟิงสิงอวิ๋นยอมช่วยนาง ตาข่ายป้องกันตรงหน้าคงจะทำลายได้ไม่ยาก
เพื่อทำลายตาข่ายนี้ นางถึงขั้นปลดปล่อยวิญญาณชั่วร้ายออกมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่วิญญาณชั่วร้ายถูกฝึกฝนขึ้นมาใหม่ ซึ่งดูเหมือนว่าเนื่องจากจุดแข็งที่แตกต่างกันของนาง ทำให้พลังที่แสดงออกมาแตกต่างเช่นกัน และตอนนี้นางไม่สามารถทำลายตาข่ายป้องกันนี้ได้เลย
จักรพรรดิพิโรธและเคล็ดอวี่ซาน นางล้วนลองมาหมดแล้ว กลับไม่รู้ว่าตกลงแล้วลู่เจี้ยวางขั้นตอนไว้อย่างไร นางถึงโจมตีมันไม่ได้เลย
เฟิงสิงอวิ๋นส่ายศีรษะและยิ้ม “คนที่จะช่วยเจ้าได้ มีแต่เจ้าเพียงคนเดียว”
เจียงหลีขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์เฟิงหมายความว่าอย่างไร หากท่านช่วยข้า ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้ วันหน้าหากมีโอกาส จะรีบทดแทนอย่างแน่นอน หากท่านไม่ยอมช่วยข้า ท่านอาจารย์เฟิงก็กลับไปเสียเถิด ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาและไม่มีอารมณ์ต้อนรับแขก”
“เจ้าดูตัวเองสิ ระบายอารมณ์มานานแล้ว ความโกรธในใจยังไม่หายไปอีกหรือ” เฟิงสิงอวิ๋นพูดติดตลก
“…” เจียงหลีเงียบ
นางรู้สึกโกรธกับสิ่งที่ลู่เจี้ยทำ แต่นางกลับเป็นกังวลมากกว่า นางต้องการออกจากที่นี่และรีบกลับไป!
“ เขาไม่อยากให้เจ้ากลับไป ทำไมเจ้าถึงยังยืนกรานเช่นนี้” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จึงเกลี้ยกล่อมนาง
“ท่านอาจารย์เฟิงไม่เข้าใจ” เจียงหลีกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เฟิงสิงอวิ๋นพยักหน้า “ข้าไม่เข้าใจ แต่ทว่า แม้ว่าเจ้าจะกลับไป เจ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าอาณาจักรจยาเซียนขยายอาณาเขตและยึดครองหลายแคว้นในช่วงปีที่ผ่านมาเช่นนี้ได้เป็นเพราะเขาทั้งสิ้น หากเขาไม่อยู่แล้ว อำนาจที่ถูกกดทับไว้ คนที่หวาดกลัวเขา จะมีปฏิกิริยาเช่นไร อาณาจักรจยาเซียนจะกลับสู่ห้วงน้ำลึกแล้วใครจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด”
“…” เจียงหลีเงียบอีกครั้ง
“อาณาจักรจยาเซียนเป็นหยาดเหงื่อทั้งหมดของเขา เจ้าทนเห็นทุกอย่างล่มสลายไปได้หรือไม่” เฟิงสิงอวิ๋นกล่าวอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์เฟิงมาที่นี่เพื่อโน้นาวข้าเองหรอกหรือ” หลังจากเจียงหลีเงียบไป ก็หัวเราะเยาะและมองไปที่เขา
เฟิงสิงอวิ๋นถอนหายใจและยิ้ม “ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อโน้มน้าวเจ้า แต่ข้ามาเพื่อพนันกับเจ้า”
“พนันหรือ” เจียงหลีรู้สึกงงงวย
เฟิงสิงอวิ๋นพยักหน้า “ขอเพียงแค่เจ้าได้รับเลื่อนขั้นเป็นหลิงไซว่ ข้าจะช่วยเจ้าทำลายตาข่ายนี้เอง ตกลงหรือไม่”
!
ดวงตาของเจียงหลีบีบแน่นขึ้นอย่างรวดเร็ว “พูดจริงหรือ!”
เฟิงสิงอวิ๋นพยักหน้า “จริงแน่นอน ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อข้าพูดออกไปแล้ว ก็ต้องทำได้ตอนนี้เจ้ายังห่างไกลจากการประสานวิญญาณยุทธ์ขั้นที่สามอยู่ หากเจ้าคว้าโอกาสนี้ตั้งใจฝึกฝนจนสำเร็จได้ในเร็ววัน ไม่แน่ เจ้าก็อาจกลับไปเห็นหน้าเขาได้ทันเวลา พอถึงเวลานั้น การฝึกฝนเจ้าสูงขึ้น ก็มีพละกำลังในการปกป้องตัวเอง อย่างน้อยเจ้าก็จะไม่ถูกฆ่าตาย”
คำพูดของเฟิงสิงอวิ๋นจุดประกายความหวังในใจของเจียงหลีขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้นางคือหลิงเจี้ยงขั้นที่แปด หากต้องการไต่ระดับไปถึงจุดสูงสุดของหลิงเจี้ยงและสามารถประสานวิญญาณยุทธ์ขั้นที่สามเข้าด้วยกัน บางทีคนอื่นอาจต้องใช้เวลานานหลายปี หรือมากกว่าสิบปี หรือหลายสิบปี แต่ว่านางเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อมีเป็นตัวช่วย จึงย่นเวลาให้น้อยลงได้
“ได้ ข้ารับคำท้าของท่าน! ข้าจะใช้เวลาอันสั้นเพื่อทะลุทะลวงขั้นหลิงเจี้ยง!” เจียงหลีมองไปที่เฟิงสิงอวิ๋นด้วยดวงตาเป็นประกาย
เฟิงสิงอวิ๋นหัวเราะและโบกพัดตรงหน้าเบาๆ “ข้ารอฟังคำพูดนี้ของเจ้าอยู่” เขามองไปที่ตาข่ายป้องกันไร้รูปร่างและพูดด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น “ภายใต้ตาข่ายนี้ เจ้าจะได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ตั้งใจฝึกฝน รอวันที่เจ้าประสานสำเร็จ ข้าจะนำวิญญาณยุทธ์นั้นมามอบให้กับเจ้าเอง”
………………….