ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 273 จักรพรรดินีแห่งจยาเซียน
เรื่องของตระกูลหรงยังไม่ทันได้เกิดขึ้น ลู่เจี้ยก็ได้จัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว เจียงหลีเลยมิได้ครุ่นคิดเรื่องนี้ต่อ
นางลุกขึ้นเดินอออกจากตำหนักฉางเซิงและเดินไปยังตำหนักของฮ่องเต้แห่งอาณาจักรจยาเซียนลู่วั่งชวน
“เงาส่งคนไปที่ซีเฉียนเพื่อพาลู่เสวียนกลับมา” เจียงหลีสั่งการระหว่างทาง
เงาไม่ได้ปรากฏตัว แต่นางรู้ว่าเขาจะทำตามที่นางสั่ง
ข่าวการเสียชีวิตของลู่เจี้ยกำลังถูกส่งไปยังซีเฉียนอย่างรวดเร็ว ลู่เสวียนผู้ซึ่งเป็นหยวนอ๋องคงจะต้องเผชิญกับภัยอันตรายอย่างแน่นอนและอาณาจักรซีเฉียนต้องปรากฏความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ในไม่ช้า
ดังนั้น ให้ลู่เสวียนกลับอาณาจักรโดยเร็วที่สุดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
ณ พระราชวัง ไม่ว่าจะเดินผ่านที่แห่งใดล้วนมองเห็นแต่ผ้าไว้ทุกข์สีขาว เจียงหลีจึงหายใจเข้าลึกๆ และพยายามสงบสติอารมณ์
ลู่เจี้ยจะต้องกลับมา! จะต้องกลับมาอีกแน่นอน! นางเอาแต่พูดกับตัวเองในใจ
เมื่อนางเดินทางมาถึงตำหนักของลู่วั่งชวนและผลักประตูบานใหญ่นั้น บรรยากาศโศกเศร้าวังเวงได้พุ่งตรงเข้ามาหานาง
“เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงของลู่วั่งชวนดังมาจากด้านใน
ชายชราผู้นี้…
เจียงหลีก้าวเข้ามายังห้องโถงที่มืดสนิทและการตกแต่งอย่างเรียบง่าย โดยไม่มีความหรูหราของราชวงศ์เลย “ข้ามาแล้ว”
เสียงของเจียงหลีเบาลงโดยไม่รู้ตัว
นางมองไปที่ชายชราซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งบนสุด โดยที่เขาสวมใส่ชุดธรรมดา ไม่ได้สวมชุดมังกร และใครจะเชื่อว่าชายชราผู้นี้คือฮ่องเต้แห่งอาณาจักรจยาเซียน
หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา เขาสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวกับลูกสะใภ้ไป ตอนนี้สูญเสียหลานชายคนโตไปอีกคน แม้ว่าเขาจะเป็นหลิงจงอันทรงพลังก็ตาม ตอนนี้ก็ซูบผอมและแก่ลงเล็กน้อยแล้ว
ผลกระทบจากความเป็นและความตายเป็นเรื่องที่ทรหดที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คนผมขาวส่งคนผมดำ
เจียงหลีหยุดอยู่ตรงหน้าลู่วั่งชวน แล้วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ชายชราซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งนั้น การเสียชีวิตของลู่เจี้ยแม้ว่าเขาจะทำใจไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบมากอยู่ดี
และแม้ว่านางจะใช้นามขององค์หญิงใหญ่ และมีสถานะเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลลู่ก็ตาม นางกลับไม่เคยเรียกเขาว่า เสด็จพ่อ
เมื่อมองไปที่ชายชรา เจียงหลีก็อ้าปากเรียกไม่ได้
ลู่วั่งชวนดูเหมือนจะรับรู้ถึงความลำบากใจของนาง จึงโบกมือว่า “เรียกข้าว่าเสด็จปู่ตามเจี้ยเอ๋อร์เถิด”
เจียงหลีหายใจเข้าลึกๆ และตะโกนออกไปอย่างง่ายดายว่า “เสด็จปู่”
“เด็กดี” ลู่หวังฉวนยิ้ม
เจียงหลีอยู่ในอารมณ์ที่สับสนมาก นางอยากจะพูดปลอบลู่วั่งชวน แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี สุดท้ายก็พูดได้แค่ว่า “เสด็จปู่อย่าได้เศร้าใจมากเช่นนี้เลย ลู่เจี้ยจะต้องกลับมา”
ดวงตาของลู่วั่งชวนขยับเบาๆ และสบตานาง “เจ้าแน่ใจหรือ”
เจียงหลีพยักหน้าโดยไม่ลังเล “เขาสัญญากับข้าไว้ และข้าก็เชื่อเขา! “
“ดี! ดี! ดี!” ลู่วั่งชวนตะลึงไปชั่วขณะ และพูดคำว่าดีต่อกันถึงสามครั้งทันที ขณะที่เจียงหลีไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
หลังจากนั้น ลู่วั่งชวนก็พูดขึ้น “ได้รับพระราชโองการแล้วหรือไม่”
เจียงหลีผงะเมื่อรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร นางจึงพยักหน้า “การจัดเตรียมของเจี้ยเอ๋อร์ เจ้ายินดีจะรับมันไว้หรือไม่”
ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกายและถาม “หากข้ายอมรับแล้วอย่างไร ไม่ยอมรับแล้วอย่างไร”
หลังจากฟังนางพูดจบ ลู่วั่งชวนก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม หลังจากยิ้มเสร็จ เขาก็ผายมือและมองไปที่เจียงหลี “เจ้าก็เห็นแล้ว ตระกูลลู่เรานอกจากลู่เจี้ยแล้วก็ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้ เขามอบอาณาจักรจยาเซียนให้กับเจ้า ก็ต้องเชื่อในตัวเจ้าอยู่แล้ว เกรงว่าตอนนี้เจ้าคงจะคาดเดาออกแล้วว่าตอนนั้นที่ให้ข้ารับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมก็เพื่อมอบสถานะที่มีน้ำหนักมากเพียงพอนี้ให้กับเจ้า และไม่ได้รีบร้อนให้เจ้าขึ้นครองราชย์ แต่กลับให้ข้ามารับหน้าแทน ก็เพื่อช่วยเจ้าจัดการกับอุปสรรคทั้งหมดให้มากที่สุด ให้เวลาเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนจนสามารถปราบมารสี่ทิศได้”
ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลงและหม่นหมอง
นางรู้ว่า “มารสี่ทิศ” จากปากของลู่วั่งชวน หมายถึงวิญญาณสัมภเวสีที่ไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่
“เจี้ยเอ๋อร์บอกแล้วว่าหากเขามอบอาณาจักรแห่งนี้ให้แก่เจ้า เจ้าจะทำมันได้ดีกว่าเขา แต่ถ้าหากใจเจ้ามิได้อยู่ที่นี้ ก็ไม่ให้ข้าฝืนใจเจ้า ให้ข้าพาสายเลือดของตระกูลลู่หลีกหนีจากความวุ่นวาย และให้ซ่อนตัวอยู่ในนอกเมือง ส่วนอาณาจักรจยาเซียนใครอยากได้ ก็ให้เขาไป” ลู่วั่งชวนพูดจบพลางมองไปที่เจียงหลีและรอการตัดสินใจของนาง
ความสง่าผ่าเผยของลู่เจี้ยและความตรงไปตรงมาของลู่วั่งชวน ทำให้เจียงหลีถึงกับพูดไม่ออกไป ชั่วขณะ
ด้วยประเทศกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ตระกูลลู่บอกว่าไม่ต้องการก็ไม่ต้องการอย่างนี้เลยหรือ ดั่งทิ้งสิ่งของที่ไร้ค่าไปอย่างง่ายดาย ซึ่งในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนี้
อืมหรือ
ทันใดนั้น เจียงหลีก็ได้สติกลับมา
ลู่เจี้ยคาดเดาการตัดสินใจของนางอย่างแม่นยำไว้ล่วงหน้านานแล้ว ถึงได้เตรียมการไว้เช่นนี้ เจ้าหมอนี่! จะคำนวณได้ละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้เลยหรือ
เจียงหลีกระตุกมุมปากและพูดกับลู่วั่งชวน “ข้าจะนั่งบัลลังก์ของอาณาจักรจยาเซียนอย่างมั่นคง!”
ลู่วั่งชวนยิ้ม “ได้! ด้วยคำพูดนี้ของเจ้า ชายชราเยี่ยงข้าก็สามารถลงจากเก้าอี้อันแหลมคมนี้ได้เสียที”
ระหว่างที่พูด เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกรอันสูงสุดและค่อยๆ ก้าวลงมาหาเจียงหลี แล้วมองนางด้วยสายตาที่สับสน “เด็กน้อย ลำบากเจ้าแล้ว ภาระอันหนักหน่วงเช่นนี้ ไม่เบาเลย!”
“ข้ารับไหว” เจียงหลีกล่าวอย่างใจเย็น
ลู่หวังฉวนยิ้มอย่างชื่นชม “มีความแข็งแกร่ง! ความรับผิดชอบ! ความห้าวหาญ! วางใจได้ เจ้ามิได้ต่อสู้เพียงคนเดียว ตระกูลลู่คือผู้สนับสนุนอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า มากับข้า”
เจียงหลีเลิกคิ้วและมองเขาอย่างสงสัย
ลู่วั่งชวนหันหลังเดินจากไป “เจี้ยเอ๋อร์ ฝากอะไรบางอย่างไว้ให้เจ้า”
นอกจากนั้นยังมี!
ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลงอย่างรวดเร็ว ลู่เจี้ย ตกลงวางแผนไว้ให้มากแค่ไหนกันแน่
หลังจากเดินตามหลังลู่วั่งชวนลดเลี้ยวไปมา เจียงหลีก็ได้มาถึงห้องมืด ในห้องมืดนี้ มีคนสิบหกคนหลบซ่อนอยู่
พวกเขามีอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมและชุดเกราะอ่อนสีดำ นอกจากคนผู้นั้น ทุกคนที่เหลือต่างสวมหน้ากากอันน่าเกรงขามไว้อยู่
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างกายของสิบหกคนนี้ ล้วนแผ่ลมปราณออกมาและทุกคนเป็นหลิงเจี้ยง!
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของพวกเขาและหนึ่งเดียวที่ไม่สวมหน้ากาก อายุของพวกเขาไม่น่ามากนักโดย
ฃอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด
ตระกูลลู่ฝึกฝนเด็กเหล่านี้อย่างลับๆ ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับชายหนุ่มจากผู้ถูกเลือกของตระกูลใหญ่! ทำให้เจียงหลีถึงกับตกใจ
หลังจากนั้น พอนางมองเข้าไปใกล้ ๆ ใบหน้าของผู้ที่ไม่มีหน้ากากนั้น นางรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที
หลังจากเห็นหน้าใบของคนๆ นั้น นางก็ชำเลืองมองอีกสองรอบก่อนจะดึงสายตาไปด้านหน้า
“เซียวเซียว” จู่ๆ ลู่วั่งชวนก็ตะโกนขึ้น
เซียวเซียวหรือ
ชื่อที่คุ้นเคย
เจียงหลีมองไปที่ชายหนุ่มอีกครั้ง
และหลังจากที่ได้รับการเรียกชื่อ เขาได้ก้าวออกไปข้างหน้าทันที “เซียวเซียวอยู่ที่นี่แล้วพะยะค่ะ!”
เซียวเซียว เจียงหลีหรี่ตาและในที่สุดก็นึกออก เขาไม่ใช่เด็กคนเดียวกับที่ตนเคยพบในถ้ำเก้าปีศาจของตระกูลลู่หรอกหรือ และเป็นชายหนุ่มที่ปรารถนาเป็นผู้พิทักษ์เงาของตระกูลลู่
ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้มาพบเจอกันที่นี่ตอนนี้
แต่ความสัมพันธ์กลับได้เปลี่ยนไป
“หลีเอ๋อร์ เจี้ยเอ๋อร์ได้จัดเตรียมสิบหกคนนี้ที่นำโดยเซียวเซียวและเป็นนักรบผู้ไม่กลัวความตายที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อเจ้า พวกเขาจะติดตามเสมือนเงาเพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้าและรับคำสั่งจากเจ้า” ลู่วั่งชวนกล่าว
………………………….