ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 299 ข้าบาดเจ็บ
ในยามกลางคืน ในตำหนักหวงจี๋เงียบสงัด
ตั้งแค่คืนนั้นเป็นต้นมา พอตกดึก ฝ่าบาทก็รีบไล่คนที่คอยดูแลออกไป ไม่ให้ใครเข้ามารบกวน
นิสัยที่แปลกประหลาดนี้ หลังจากที่คนในวังชินแล้ว ก็ค่อยๆ ปรับตัว ไม่ได้สงสัยอะไรอีก
คืนนี้ เขาจะมาไหม เจียงหลีนอนอยู่บนเตียง ห่มผ้าห่ม ในห้องบรรทม แสงไฟที่สั่นไหว นางไม่ง่วงนอนเลยสักนิด
นับๆ ดูแล้ว นางไม่ได้เจอลู่เจี้ยมาสองสามเดือนแล้ว คิดถึงเขาจังเลย
ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้น อาการข้างเคียงของการที่หลอมรวมเข้ากับวิญญาณอีกดวงก็ทุเลาลง ทุกครั้งที่รู้สึกเจ็บปวด ก็ไม่ได้เจ็บปวดมากถึงขั้นที่จะทนไม่ไหวเหมือนตอนแรกๆ แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีหยกที่ลู่เจี้ยให้ไว้
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา นางยังคงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา คิดถึงความรู้สึกที่ออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้ตามอำเภอใจ
ความรู้สึกที่มีคนให้พึ่งมันดีมากจริงๆ!
ทันใดนั้น ไฟในห้องบรรทมดวงหนึ่งก็ดับลง ขัดจังหวะความคิดของเจียงหลี
นางลุกขึ้นมาจากเตียง มองไปนอกผ้าม่าน
ข้างนอกผ้าม่าน ร่างสูงใหญ่ที่เลือนรางปรากฏขึ้นตอนไหนก็ไม่รู้ แต่กลับยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเลย
เขามาแล้ว! แววตาของเจียงหลีมีความดีใจ
ตอนนี้ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ในห้องบรรทม มีความกลัดกลุ้มเล็กน้อย เขาไม่ควรมา แล้วทำไมถึงมาที่นี่ แต่ว่า ในตอนที่เขาได้สติกลับมา ตัวเขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
“…” ความยึดมั่น ต้องเป็นความยึดมั่นที่ทำแน่ๆ!
เขาหายใจเข้าลึกๆ กดความโกรธในใจลง ความยึดมั่นนี้ นับวันยิ่งสามารถควบคุมจิตใจเขาได้ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเลือกที่จะจำพรรษาเข้าฌาน เพื่อควบคุมอารมณ์ความรู้สึก เดิมคิดว่าจะสำเร็จ แต่ไม่คิดเลยว่าเพิ่งจะออกฌาน เขาก็ปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว
“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมถึงไม่เข้าใกล้เสียหน่อย”
ในม่าน เสียงเชื้อเชิญของหญิงสาวดังขึ้น
“…” เข้าใกล้หรือ เหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร!
“ท่านกำลังกลัวรึ” ไม่เห็นเขาขยับ เจียงหลีก็หัวเราะขึ้นมาอย่างหยอกเย้า
ดวงตาที่แวววาวคู่นั้นหรี่ลง หัวเราะเยาะเย้ยอย่างไม่พอใจ “วิธียั่วอารมณ์ห่วยๆ”
เจียงหลีแบะปาก “ในเมื่อไม่อยากเข้าใกล้ เช่นนั้นก็ไปซะสิ!”
“…” สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่ค่อยดี ปัญหาก็คือในใจเขามีเสียงที่บอกเขาตลอดว่าไม่อยากไป
“ในเมื่อไม่อยากไป ก็เข้ามาหาข้า ไม่ได้เจอตั้งนาน ข้าคิดถึงท่านแล้ว” เสียงของเจียงหลีดังขึ้นมาอีกครั้ง
ข้าคิดถึงท่าน…
สี่คำนี้ จู่ๆ ก็ทำให้ใจของเขาเต้น อารมณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อน เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“ลู่เจี้ย ข้าบาดเจ็บ” เสียงที่กล้ำกลืน ดังออกมาจากในม่าน
บาดเจ็บอย่างนั้นหรือ
ใครกล้าทำร้ายนาง!
ชั่วพริบตาในแววตาของเขาก็เผยจิตสังหารที่เย็นชาออกมา ลืมไปหมดแล้วว่าเขาเองก็เคยคิดอยากจะฆ่านางเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ฆ่าไม่ลง
ม่านนอกเตียงถูกยกเปิดออก ตัวคนเดินลงมาจากเตียง ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา
บนตัวนาง สวมใส่เพียงเสื้อบางๆ ภายใต้เสื้อนั้น กลับเห็นผ้าพันแผลที่พันเต็มตัวนางไปหมดอย่างรางๆ
“ลู่เจี้ย” เจียงหลียืนเท้าเปล่ามองเขาอยู่ข้างๆ เตียงด้วยความกล้ำกลืน
เขามองไปยังผ้าพันแผลบนตัวนาง จิตสังหารที่น่ากลัวในแววตาลึกๆ ของเขาจู่ๆ ก็หายไป
เจียงหลีไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนตัวเขา เห็นเขาที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับด้วยสีหน้าเย็นชา ก็ถอนหายใจ แล้วพูดอย่างน้อยใจว่า “ไม่กี่วันก่อน พวกเราและประเทศซีเฉียนได้สู้รบกัน ด้วยฐานะกษัตริย์ แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องประชาชนของข้า ศึกครั้งนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก พลังของข้าต่ำไป ถึงแม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ยังคงได้รับบาดเจ็บ”
บาดเจ็บหรือ เขายิ้มเยาะอยู่ในใจ ความดูถูกในสายตา เหมือนว่ากำลังหัวเราะเยาะเย้ยการแสดงที่
ห่วยแตกของนาง
บาดเจ็บ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะล่อลวงเขา นี่หรือคือท่าทางของคนบาดเจ็บ
เพียงแต่ว่า
อาณาจักรซีเฉียน
ลึกๆ ในแววตาของเขาเปล่งประกาย ผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้ ถ้าจะฆ่านาง คนที่จะฆ่าต้องเป็นเขา เป็นคนอื่นไปได้อย่างไรกัน
เสินอวี่
ในขณะเดียวกันที่เจียงหลีกำลังออดอ้อนอยู่ เขาก็ใช้ตาทิพย์เรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
จักรพรรดิหรือ
เสินอวี่ที่อยู่เหนือหมู่ดาว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเรียก ทำให้ตกใจ รีบลุกขึ้นมา จัดเสื้อผ้า แล้วปฏิบัติอย่างจริงจัง
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงตาทิพย์ของจักรพรรดิ
ร่างที่มองไม่เห็น ปรากฏอยู่ตรงหน้าเสินอวี่ เรือนร่างเลือนราง แต่เป็นจักรพรรดิของเขาไม่ผิดแน่ “เสินอวี่ขอคารวะจักรพรรดิ”
“ในจิ่วฮวงเจี้ย ที่หนานฮวงมีประเทศซีเฉียน”
เสินอวี่ตกใจ เกิดความไม่คาดคิด ทำไมจู่ๆ จักรพรรดิถึงได้พูดถึงประเทศของที่นั่น
“เจ้าไปปล่อยโรคระบาดเสียหน่อย”
หา!
เสินอวี่เงยหน้ามองร่างที่มองไม่เห็นและสูงศักดิ์ร่างนั้นด้วยความประหลาดใจ รู้สึกตกใจกับคำสั่งเป็นอย่างมาก จักรพรรดิเริ่มสนใจประเทศเล็กๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ราชวงศ์แบบนี้ในสายตาของพวกเขา ก็เหมือนกลับฝุ่นละอองที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างไรอย่างนั้น นึกไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะให้เขาไปปล่อยโรคระบาด
ราชวงศ์นี้ทำอะไรให้จักรพรรดิไม่พอใจรึ เสินอวี่เดามั่วๆ อยู่ในใจ ไม่กล้าหละหลวมต่อคำสั่ง รีบตอบกลับว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ร่างที่มองไม่เห็น ค่อยๆ หายไปจากตรงหน้าเขา
เสินอวี่ไม่กล้าชักช้า รีบลุกแล้วมุ่งไปยังจิ่วฮวงเจี้ย คำสั่งของจักรพรรดิยากที่จะฝ่าฝืน เพียงแต่ก่อนข้าจะลงมือ ก็ต้องตรวจสอบก่อน ดูสิว่าราชวงศ์ที่โชคร้ายนี้ทำผิดอะไรต่อจักรพรรดิ ข้าก็อยากรู้จริงๆว่ามาตราฐานของการปล่อยโรคระบาดนี้อยู่ที่ไหน
…
“ลู่เจี้ย!” เจียงหลีลืมตาที่สดใสทั้งสองข้าง มองชายหนุ่มที่เย็นชาคนนั้นอย่างไร้เดียงสา
ความรู้สึกที่คุ้นเคยและไม่คุ้ยเคย ทำให้นางรู้สึกสับสน หรือว่านี่คงเป็นกรรมตามสนอง ลู่เจี้ยเตรียมการให้ข้าไว้ทุกอย่าง เลยสูญสิ้นสติปัญญา ตอนนี้ เขากลับเขาร่างเดิม อยากให้เขาหลงรักข้าอีกครั้ง ก็ต้องใช้เวลาและความออดทน
ดวงตาที่แวววาวคู่นั้นของชายหนุ่มมองมายังนาง
และในตอนที่เขามองมา เจียงหลียื่นแขนทั้งสองข้างของตัวเองออกไป
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว นี่หมายความว่าอย่างไร
“ข้าบาดเจ็บ เจ็บมากเลย” เจียงหลีทำหน้ามุ่ยขึ้นมา
อืม บาดเจ็บ เขารู้แล้ว
คืนนี้ นางพูดตั้งหลายรอบแล้ว
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจที่เจียงหลีอ้าแขนทั้งสองออกมาหมายความว่าอะไร
“ท่านมานี้” เห็นเขายังคิดไม่ออก เจียงหลีก็เลยพูดอย่างกลุ้มใจ
เขากลับขมวดคิ้วหนักขึ้น ความเย็นชาเล็กน้อยในแววตา ช่างไม่เจียมตัว เมื่อใดกันที่มีคนกล้าเรียกเขาแบบนี้ น่าฆ่าให้ตายจริงๆ
“ข้าบาดเจ็บ วันนี้ท่านไม่ต้องฆ่าข้าแล้วดีไหม รอข้าหายแล้วค่อยว่ากัน” เจียงหลีพูดอย่างกล้ำกลืน
“…” ใบหน้ารูปงามที่เคร่งเครียด ความโกรธผุดขึ้นในใจ ที่เขามาวันนี้ ไม่ได้คิดจะมาฆ่านาง
ความรู้สึกที่ถูกใส่ความ ทำให้แววตาของเขาเย็นชาขึ้นมา
แต่ว่า เขาไม่สามารถโกรธสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าได้จริงๆ แม้แต่ถกแขนเสื้อเดินจากไปอย่างหยิ่งทรนงก็ทำไม่ได้
“น่าฆ่านัก!”
“น่าฆ่านัก!”
เขาอยากฆ่าคนจริงๆ แล้ว แต่ว่าคนที่อยากฆ่ากลับเป็นตัวเขาเอง
ทำอะไรอยู่ ขยับหน่อยสิ! ข้าพูดคำพูดที่ซึ้งกินใจไปตั้งเยอะ คนใจแข็งประดุจเหล็กอย่างท่านจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบสักนิดก็ไม่มีเลยหรือ ต้องให้ข้าถอดเสื้อผ้าจนหมด แล้วยืนอยู่ตรงหน้าท่านรึ เจียงหลีหยุดยิ้มไป
ปฏิกิริยาตอบโต้ที่เชื่องช้าของชายหนุ่ม ทำให้นางท้อใจ
จนปัญญา นางก็เลยก้าวเท้าเดินไปหาชายหนุ่ม