ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 301 รูปงามมากจริงๆ
“เพราะผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ” เหมือนว่าอวี้ฉีจะตกใจเป็นอย่างมาก
เสินอวี่มุมปากกระตุกอย่างแรง ยังคงประหลาดใจ “น่าจะ…ใช่นะ”
อวี้ฉีขมวดคิ้ว “อะไรคือน่าจะใช่นะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่น เรื่องไม่ดีจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น”
ถ้าเปรียบเทียบความเคร่งเครียดของอวี้ฉีแล้ว เสินอวี่ดูไม่ได้สนใจอะไรมาก “จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น จักรพรรดิมีความแน่วแน่ พวกเราแค่ติดตามจักรพรรดิก็พอแล้ว”
“ไม่ใช่ เจ้าบอกข้ามา ผู้หญิงคนนั้นทำไม” อวี้ฉีซักถามด้วยความอยากรู้
เสินอวี่กุมมือแล้วกระแอมเบาๆ พูดอย่างช้าๆ ว่า “ข้าไปสืบถามมา ไม่นานมานี้ประเทศนี้ได้เกิดสงครามขึ้นครั้งหนึ่ง เพียงแต่ไม่ใช่ว่าประเทศอื่นโจมตีพวกเขา แต่เป็นพวกเขาที่ไปโจมตีประเทศอื่น”
อวี้ฉีขมวดคิ้ว “นี่มันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิง”
เขาอยากฟังเรื่องของจักรพรรดิ ไม่ได้อยากฟังเรื่องเล่าการสู้รบ ถ้าเรื่องสู้รบ เอาองครักษ์ซิงอวินของพวกเขามาคนหนึ่ง ประสบการณ์ก็แข็งแกร่งกว่าแม่ทัพใหญ่ของประเทศเหล่านี้ไหมล่ะ
“เจ้าจะรีบอะไร” เสินอวี่มองบนใส่เขาไปทีหนึ่ง แล้วยังคงเล่าต่ออย่างช้าๆ “เพียงแต่ สงครามครั้งนี้สงบลงเพราะหญิงสาวคนหนึ่ง ที่จริงควรจะพูดว่าเด็กผู้หญิง ไม่ใช่หญิงสาว”
“เด็กผู้หญิงหรือ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะจัดการกับสงครามของทั้งสองประเทศได้อย่างไร” อวี้ฉียิ่งอยากรู้เข้าไปอีก
เสินอวี่เผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งอย่างคาดเอาไม่ถูกออกมา แล้วอธิบายให้เขาฟัง “เพราะว่าฐานะของนางก็คือจักรพรรดินีของประเทศที่ถูกโจมตี”
“ฮะ…” อวี้ฉีรอให้เสินอวี่พูดต่อ จู่ๆ ก็หยุด “จบแล้วหรือ” ก็คือจักรพรรดินีมีความสัมพันธ์อะไรกับจักรพรรดิของพวกเขา?
จักรพรรดิที่สูงศักดิ์เช่นนั้นของพวกเขาคุ้มหรือที่ทำเพื่อนาง แล้วยังโกรธอีกหรือ
เสินอวี่ในตอนนี้ จู่ๆ ก็สงวนท่าทีที่สบายๆ แววตาเคร่งขรึมขึ้นมาแล้วพูดว่า “เพราะว่าจักรพรรดินีคนนี้เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือของจักรพรรดิในชาติที่แล้ว”
อวี้ฉีอ้าปากค้างแล้วมองเขา ไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้
เงียบไปครู่ใหญ่ เขาถึงพูดขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจว่า “ทุกครั้งที่จักรพรรดิฟื้นคืนสติจากการกลับชาติมาเกิด ไม่ใช่ว่าจัดการกับความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วไปหมดแล้วหรอกรึ แล้วก็ทุกครั้งที่กลับชาติมาเกิด ด้วยนิสัยของจักรพรรดิ ก็ไม่มีทางที่จะเกิดความอาลัยอาวรณ์ต่อผู้ใด”
“ชัดเจนมากว่านี่คือกรณีเฉพาะ” เสินอวี่ขมวดคิ้ว
สีหน้าของอวี้ฉีก็เคร่งขรึมขึ้นมา เขาพูดเสียงเข้มว่า “จักรพรรดิต้องกลับชาติมาเกิดอีกสามครั้ง ถึงจะสามารถมีโอกาสจัดการกับวิกฤตที่ยิ่งใหญ่นั้น ถ้าหากถูกอารมณ์ความรู้สึกผูกไว้อยู่ นี่…”
เสินอวี่พยักหน้า “นี่เป็นกุุญแจสำคัญของปัญหาที่ยังอยู่ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเราไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายกับการกระทำใดๆ ของจักรพรรดิ แต่มีบางเรื่องที่พวกเราจำเป็นต้องคิดแทนจักรพรรดิ”
“แล้วก็เป่ยหงต้าเจ๋อท่านนั้น…” อวี้ฉีมองเสินอวี่อย่างปิดเป็นความลับ
พูดถึงเป่ยหงต้าเจ๋อ สีหน้าของเสินอวี่ก็เคร่งขรึมขึ้นมา
ทันใดนั้น คลื่นพลังก็ปกคลุมทั้งสองคน เสินอวี่และอวี้ฉีแววตาเปลี่ยนไป รีบเม้มปากแน่น เอียงตัวไปข้างหลังเล็กน้อย ก้มหัวทำความเคารพ “ฝ่าบาท”
ร่างที่สูงใหญ่ ทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้น ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคน ซ่อนอยู่ในเมฆเหมือนกัน มองประเทศซีเฉียนที่ถูกโรคระบาดปกคลุมจากข้างบน
แววตาของเขา ไม่มีอารมณ์อะไรแสดงออกมาเลย เสียงที่สิ้นหวังเหล่านั้น ไม่สามารถทำลายความเยือกเย็นในแววตาได้
เรื่องที่เราคุยกันเมื่อครู่นี้ ฝ่าบาทคงไม่ได้ยินหรอกหรือ อวี้ฉีใช้สายตาถามเสินอวี่อย่างเคร่งเครียด
หวังว่าจะไม่ได้ยิน เสินอวี่มองเขา แล้วรีบก้มหัว
“อวี้ฉี ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่” เขาพูดอย่างเย็นชา
คำถามประโยคเดียว ทำให้อวี้ฉีกลืนน้ำลาย พูดอย่างระมัดระวัง “ข้าน้อยเพียงแค่อยากรู้”
เพิ่งพูดจบ อวี้ฉีก็รู้สึกได้ว่าลมหนาวๆ พัดผ่านหัวไป ตอนนี้เขาอยากไปแล้ว ยังจะทันอยู่ไหม
อวี้ฉีร้องไห้ไร้น้ำตาในใจ โทษที่ตัวเองอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป
“ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปกับข้า”
ฮะ!
ได้ยินคำพูดนี้ อวี้ฉีเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทำความเคารพอย่างนอบน้อมพร้อมกันกับเสินอวี่ “พ่ะย่ะค่ะ”
เพียงแต่ว่า ในใจของพวกเขายังรู้สึกแปลกๆ ไป ในจิ่วฮวงเจี้ยนี้ ยังมีที่ไหนที่ควรค่าแก่การไปฝ่าบาทอีก
ฝ่าบาทคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมากไหมล่ะ!
เป็นธรรมดาที่พวกเขาขัดคำสั่งไม่ได้ ดังนั้นยืนอยู่ซ้ายขวาข้างๆ ผู้ชาย
ทั้งสามหันหลัง หายไปในท้องฟ้าของดินแดนซีเฉียน ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ได้มาถึงเมืองซู่หยวนแล้ว ข้างๆ ศิลาจารึกเขตแดนนั้น
“เขตจยาเซียนหรือ” อวี้ฉีมองศิลาจารึกเขตแดนด้วยความสงสัย
ในขณะเดียว เขาก็มองชายผู้สูงศักดิ์คนนั้นที่ยืนอยู่ด้านหน้าศิลาจารึกเขตแดน พูดในใจ เพราะเหตุใดจักรพรรดิต้องรู้สึกชอบศิลาจารึกเขตแดนนี้ด้วย
“ตัวหนังสือสามตัวนี้ เขียนได้อย่างห้าวหาญและยอดเยี่ยม” เสินอวี่พูดอย่างชื่นชม แล้วก็แอบมองสีหน้าของจักรพรรดิอย่างระมัดระวัง
ในเมื่อเขาสืบมาแล้ว แล้วทำไมจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งศิลาจารึกเขตแดนนี้
“ยังอ่อนไปหน่อย” เขาพูดอย่างเย็นชา ฟังไม่ออกว่าชอบหรือไม่ชอบ
อวี้ฉีมองเสินอวี่ ใช้สายตาถาม หมายความว่าอย่างไร
เสินอวี่กลับก้มหน้า ไม่ได้ตอบกลับ
“กลับไป” ทันใดนั้น จักรพรรดิก็พลิกตัว หายไปตรงหน้าทั้งสองคน
พอเขาไป อวี้ฉีรีบไปอยู่ตรงหน้าเสินอวี่ ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร ความเป็นมาของศิลาจารึกก้อนนี้ไม่มีอะไรต่างออกไป ทำไมฝ่าบาทถึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อดูเป็นพิเศษ อ่อนไปหน่อยหมายถึงใคร”
“…” เสินอวี่ถูกคำถามเป็นชุดทำให้อึดอัด อ้อมอวี้ฉีไปไม่พูดอะไร แล้วร่างก็หายไป พูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว ต้องมีสักวันที่เจ้าจะตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเจ้า
อวี้ฉีอึ้งไป มีสติกลับมา หายตัวตามไป “ไม่บอกก็ไม่บอก ทำไมต้องแช่งข้าด้วยล่ะ”
…
โรคระบาดในประเทศซีเฉียน ระบาดมาได้เกินครึ่งเดือนแล้ว แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะควบคุมได้เลย เพราะเรื่องของโรคระบาด ทำให้ช่วงนี้ฮ่องเต้แห่งซีเฉียนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก แต่ในราชวงศ์จยาเซียน เจียงหลีกลับรับชายรูปงามเข้าวังในฤกษ์งามยามดีที่ขุนนางชินเทียนเลือกไว้
เพียงแต่ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการรับชายรูปงามเข้าวัง แต่ก็ไม่ได้มีพิธีอะไร
เพียงแค่ส่งขบวนจากในวังไปยังที่ๆ ชายรูปงามอยู่ตามฤกษ์ยามที่กำหนดไว้ รับเขาเข้าวัง แล้วจัดการให้ที่อยู่ให้เขาอย่างเรียบร้อย
หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ถึงจะสามารถเข้าเฝ้าจักรพรรดินีได้
ในตำหนักหวงจี๋ เจียงหลีนั่งอยู่บนที่นั่งที่แสดงถึงความสูงศักดิ์ หรี่ตาทั้งสองข้าง มองผู้ชายที่ยืนอยู่ในตำหนักด้วยสีหน้าเฉื่อยชา
ผู้ชายซูบผอม ใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่ ดูเลื่อนลอยอย่างกับเทพ
ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาดั่งหยก รูปโฉมราวกับแกะสลักอย่างไรอย่างนั้น ถือเป็นชายรูปงามที่หาได้ยากจริงๆ โดยเฉพาะลักษณะท่าทางที่มุมปากอมยิ้ม แววตาอ่อนโยน ทำให้คนอยากใกล้ชิดและรู้สึกดีได้ง่ายมาก
“ถือเป็นชายรูปงามมากๆ คนหนึ่ง!” เจียงหลียิ้มมุมปาก ริมฝีปากแดงขยับเบาๆ
ได้รับคำชมชื่นจากจักรพรรดินี เขายิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก ก้มหัวแล้วคล้อยตาม “ได้รับความชื่นชอบจากฝ่าบาท คงเป็นบุญที่กระหม่อมสร้างมาสามชาติ”
“เจ้าชื่อหรงอวี้หรือ” เจียงหลียิ้ม
“พ่ะย่ะค่ะ” ชายรูปงามหรงอวี้เงยหน้าขึ้น มองเด็กผู้หญิงคนนั้นที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ แรกเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามนั้น บุคลิกและความสามารถที่ทำให้ผู้คนหลงใหล ทันใดนั้นกระแทกโดนใจเขาเข้าอย่างจัง แววตาที่อ่อนโยนของเขาเกิดความตะลึงในความงามขึ้นมา
นางยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ก็งดงามเช่นนี้ แล้วถ้าโตขึ้น จะขนาดไหน หรงอวี้อุทานในใจ