ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 329 ผูกมัดโดยการแต่งงานอีกแล้วหรือ
“ท่านเลือกวันไม่ดี วันนี้ข้ามีระดู
เจียงหลีมองหน้าเขาด้วยยิ้มหวาน ซึ่งสีหน้าที่เศร้าหมองของเขา ทำให้นางพอใจอย่างมาก
“….”
ระดู!
สีหน้าของตี้เซ่าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ยาโถวนางนี้,uเจตนาใช่หรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าร่างกายของตัวเองไม่พร้อม แต่ก็ยังตั้งใจจะยั่วยวนเขา หลังจากที่เขาทุกข์ทรมานอยู่นั้น กลับถูกน้ำเย็นเยือกสาดใส่อีกครั้ง
เขาหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นได้ลุกขึ้นและเดินออกข้างนอก
“ด้านนอกลมแรง ออกไปยืนประเดี๋ยว ก็กลับมาได้แล้วนะ” เจียงหลีนอนตะแคงบนเตียงด้วยท่าเย้ายวน และไม่ลืมที่จะกล่าวเตือนชายผู้เดินจากไปหนึ่งประโยค
ชายที่เดินก้าวยาวออกไป ยืนตัวแข็งทื่อทันที แล้วเดินเร็วออกไป
อื้ม เขาต้องการตากลมเพื่อสงบสติ!
“ฮ่าๆๆ…” มองชายผู้นั้นหนีเตลิดออกไป เจียงหลีก็ล้มตัวลงกับเตียงและหัวเราะไม่หยุด มีความสุขยิ่งนัก!
ใครให้เขาทั้งอดกลั้นและเล่นแง่เล่า!
“ตอนข้าจักรพรรดินีเสนอตัว ท่านเล่นตัวไม่เอา ตอนนี้ท่านอยากได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพอใจของข้า!เสียงหัวเราะดังขึ้น เจียงหลีโค้งมุมปากขึ้นและพูดคนเดียว โดยดวงตาที่สดใสคู่นั้นส่องแสงประกายของผู้ได้รับชัยชนะ
ด้านนอกตำหนัก เซ่าตี้ยืนอยู่บนขั้นบันได สัมผัสกับลมที่พัดโชยในยามค่ำคืน และสงบใจที่วู่วามของตนลง แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าอันเจ้าเล่ห์ที่ “แผนชั่วร้ายสำเร็จ” แววตาที่เย็นชา อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่านางตั้งใจ แต่ก็หักห้ามใจไว้ไม่อยู่
หากเป็นเมื่อก่อน มีคนกล่าวว่าเขาจะทำเช่นนี้กับหญิงสาวคนหนึ่ง เกรงว่าจะถูกเขาใช้ฝ่ามือเดียวตบจนตายคาที่เป็นแน่
ทันใดนั้น รอยยิ้มของเซ่าตี้ได้จางหายไปและยืนครุ่นคิด หลีเอ๋อร์ประสานเข้ากับวิญญาณจักรพรรดิ มีเทพอสูรตกลงมาจากฟากฟ้า ต้องเกิดเหตุอาเพศขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้น เวลานี้ยังไม่ได้รับสาสน์ที่เทพอสูรตกลงมาจากฟากฟ้าเลย เมื่อส่งคนไปตรวจสอบ ทุกคนต่างไม่มีอะไรผิดปกติ แล้ววิญญาณจักรพรรดินั่นเป็นของผู้ใดกันแน่
เขาสามารถใช้อำนาจของตนในการเข้าตรวจสอบวิญญาณจักรพรรดิที่ประสานยังไม่สมบูรณ์เพื่อสืบหาความจริงให้กระจ่าง แต่นั่นย่อมส่งผลต่อวิญญาณและจิตวิญญาณของเจียงหลีอย่างมาก ดังนั้น เขาจึงได้แต่ละทิ้งความคิดนี้ไป
เมื่อจิตใจสงบลง
เซ่าตี้หันหลังและตัดสินใจจะไปยังห้องบรรทมของเจียงหลี แต่ทว่า ขณะก้าวเท้าได้เพียงก้าวเดียว เขาก็หยุดเดินทันที หากหญิงสาวผู้นั้นตั้งใจยั่วยวนเขาอีกรอบ เขาจะทำเช่นไร
จะให้ลงไม้ลงมือก็ไม่ได้ ด่าว่าก็ไม่ได้…
กลับไปตรวจสอบเรื่องวิญญาณจักรพรรดิยังจะดีเสียกว่า เมื่อเซ่าตี้ตัดสินใจได้แล้ว ก็หายไปจากที่นี่ทันที
ส่วนเจียงหลีที่รออยู่ในห้องบรรทม เดิมทีรอคอยผู้ชายกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในสมองของนาง
หลีเอ๋อร์ ข้ามีธุระที่ต้องสะสาง ข้าขอตัวไปก่อนนะ แล้วข้าจะมาหาเจ้าใหม่
ใบหน้าที่ยิ้มของเจียงหลีแข็งท่อขึ้น นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยอาการที่ผิดหวังอย่างรุนแรง “หนีอีกแล้ว!”
น่าเสียดายที่ต่อให้นางวิ่งตามออกไป ตอนนี้ก็ตามไม่ทันเสียแล้ว
จนปัญญา นางทำได้เพียงปล่อยให้เขาหนีไปได้อีกครั้ง
“หรือว่าครั้งนี้จะล้ำเส้นมากเกินไป ครั้งหน้าควรต้องระวังความเหมาะสมให้มากกว่านี้” หลังจากจิตใจสงบลง เจียงหลีก็กลับมาคิดทบทวน
…
หลังจากค่ำคืน เซ่าตี้ก็มิได้ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย
ระหว่างที่เจียงหลีรออย่างขมขื่นและไตร่ตรองการกระทำของตนนับครั้งไม่ถ้วน เวลาได้ล่วงโรยไปครึ่งเดือนในช่วงพริบตา วันนี้มีสาสน์มาจากสถานีส่งสารนอกเมืองซั่งตู ได้รับแจ้งมาว่ามีคณะทูตจากเมืองเป่ยโหรวเดินทางถึงหอส่งสารของนอกเมืองแล้ว
“ตามกฎระเบียบ คณะทูตของเป่ยโหรวจะต้องมาถึงหอส่งสารก่อน ถึงจะสามารถนำพระราชสาสน์ขึ้นกราบทูลต่อฮ่องเต้ได้ หลังจากได้รับพระราชานุญาติจากฝ่าบาทแล้ว ก็จะสามารถส่งคนไปรับคณะทูตมาพักยังเรือนรับรองซื่อฟางได้ อวี้ซูได้นำเรื่องขึ้นกราบทูลจักรพรรดินีผู้ซึ่งกำลังหลับสะลึมสะลืออยู่
“อึ้ม ก็ทำตามกฎระเบียบไป” เจียงหลีตอบขณะที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางวางมือข้างหนึ่งไว้ที่ใต้คาง อีกข้างจับพู่กัน พยายามลืมตาขึ้นและทำการวาดเขียนบนโต๊ะ
“แล้วเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับล่ะเพคะ” อวี้ซูถามขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าจัดการตามความเหมาะสม” เจียงหลีตอบอย่างไม่ใส่ใจ
อวี้ซูแสยะปากยิ้ม “ฝ่าบาทที่แสนดีของข้า ท่านควรกำหนดเวลานะเพคะ”
“อืม ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็จัดซะคืนนี้เลยแล้วกัน” เจียงหลีกล่าว
อวี้ซูทำได้เพียงถอนหายใจ นางรู้สึกคุ้นชินกับความเกียจคร้านของจักรพรรดินี แต่ทว่า ความผิดปกติของจักรพรรดินีในหลายวันมานี้ ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ท่ามกลางความประหลาดใจ นางเดินเข้าใกล้ประชิดและชะโงกดูรอยขีดเขียนบนโต๊ะเจียงหลี
นั่นมันตัวอักษร “ลู่เจี้ย” ทำให้แววตาของอวี้ซูปรากฏความสงสาร “ฝ่าบาทของข้าคิดถึงนายน้อยอีกแล้ว”
“ใช่แล้ว” เจียงหลีที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง มิได้สนใจน้ำเสียงที่เปลี่ยนแปลงไปของอวี้ซู แล้วพยักหน้า และยอมรับความคิดถึงของตัวเอง
อวี้ซูถอนหายใจ อยากจะปลอบ แต่กลับไม่รู้ว่าจะปลอบด้วยวิธีไหน จึงทำได้เพียงถอยออกมาอย่างเงียบๆ โดยปล่อยเจียงหลีไว้คนเดียว จะได้ไม่รบกวนนาง
หลังจากเดินออกจากตำหนักหวงจี๋ จิตใจของอวี้ซูค่อนข้างสับสน นายน้อยไม่อยู่แล้ว ฝ่าบาทใคร่ครวญคิดถึงเช่นนี้ ไม่ใช่การณ์ดีแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะปรากฏชายหนุ่มรูปงามผู้มากด้วยความสามารถและหน้าตาหล่อเหลาคู่ควรกับฝ่าบาท คุณชายจิ่งผู้นั้น…เฮ้อ น่าเสียดายนัก
….
ยามค่ำคืน ณ วังฝูฉวีซึ่งห่างจากตำหนักหวงจี๋ถัดไปสามตำหนัก การดื่มเหล้าแสดงความเคารพ แสงเงาอ่อนช้อยยั่วยวน และเสียงเพลงบรรเลงดังมาแต่ไกล
ตำหนักหลัก ครึกครื้นกว่าปกติมาก
เริ่มการแสดงในท้องพระโลง ท่าทางที่อ่อนช้อยงดงามของนางรำประดุจเทพธิดาฉางเอ๋อใต้แสงจันทร์
ซ้ายขวาทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยขุนนางจยาเซียนทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนนับร้อยชีวิต จุดประสงค์หลักของพวกเขาในวันนี้คือการต้อนรับคณะทูตจากเป่ยโหรวเคียงข้างจักรพรรกดินี และถือโอกาสทราบจุดประสงค์การมาเยือนอาณาจักรจยาเซียนของคณะทูตเป่ยโหรว
คนของเป่ยโหรวมาไม่มาเท่าไรนัก คาดว่าน่าจะประมาณหนึ่งพันคน
โดยจำนวนเกินครึ่งของราชองค์รักษ์ ล้วนปฏิบัติตามพิธีทางการทูต โดยรออยู่ที่หอส่งสารนอกเมือง ส่วนที่เหลือนั้น ได้เข้าพักยังเรือนรับรองสี่ทิศ ส่วนคนที่มีสิทธ์เข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับของค่ำคืนนี้ มีไม่ถึงหนึ่งในห้าของจำนานทั้งหมด
ดังนั้น ในตำแหน่งของคณะทูต รวมทั้งที่ยืนอยู่และนั่งอยู่นั้น มีจำนวนไม่ถึงหนึ่งร้อยคน
แต่ในจำนวนหนึ่งร้อยคนนั้น มีคนที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษสองคนคือคนที่แขวนป้ายทูตไว้ คนหนึ่งคือข้าหลวงใหญ่ อีกคนคือข้าหลวงรอง อายุของทั้งสองนั้นห่างกันไม่มาก น่าจะราวๆ ห้าสิบ
แต่พวกเขาทั้งสองคนกลับทำให้รู้สึกถึงความแตกต่าง คนที่เป็นข้าหลวงใหญ่นั้น ดูๆ แล้วเป็นคนถ่อมตัวและมีเมตตาโดยมีนามว่าจงเจิ้งเหยี่ย ส่วนอีกคนนั้น หน้าตาดูธรรมดา ไม่ได้มีความโดดเด่น แต่ภายในแววตานั้นกลับเก็บซ่อนความรู้สึกเหนือกว่าเอาไว้ มีนามว่าไป๋เซี่ยงไท่
ขณะที่เขากล่าวแนะนำตัว เจียงหลีได้ยินว่ามาจาก “ตระกูลไป๋เซี่ยง” ก็ยิ่งจับจ้องเขา
ภายในท้องพระโรงของวังฝูฉวี เจียงหลีนั่งลงบนตำแหน่งสูงสุดอย่างเกียจคร้าน โดยปกติแล้ว ต้องเป็นผู้ชายถึงจะสามารถสวมใส่ชุดมังกรได้ แต่บัดนี้ชุดนั้นถูกสวมใส่อยู่บนตัวนาง กลับน่าเกรงขามและสูงศักดิ์เช่นเดียวกัน
จงเจิ้งเหยี่ยและไป๋เซี่ยงไท่ยังดื่มเคารพขุนนางฝั่งราชวงศ์จยาเซียนเพื่อสานสัมพันธ์ และชมการแสดงไปด้วยและไม่ลืมที่จะแอบสอบถามเกี่ยวกับจักรพรรดินีแห่งจยาเซียนไปด้วย
มีข่าวลือมาว่าจักรพรรดินีแห่งจยาเซียนนั้นอายุไม่มาก ประวัติซับซ้อน แต่กลับมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น
หลังจากการขึ้นครองราชย์ ทำหลายภารกิจใหญ่สำเร็จ ทำให้ผู้คนความชื่นชม มิกล้าสบประมาทอีกต่อไป
คาดไม่ถึงว่าการพบเจอในวันนี้ จะมีผู้หญิงที่ใบหน้าสง่างามน่าหลงใหลรวมอยู่ด้วย ซึ่งหญิงงามเช่นนี้ อันที่จริงควรเลี้ยงดูอยู่แค่ในวังหลัง เพราะไม่อยากปล่อยให้นางยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย และกลายเป็นจักรพรรดินีที่เคารพรักยิ่ง
เสียงเครื่องดนตรีหยุดลงและนางรำได้ถอยออกไป
ขณะที่เจียงหลีหันมามองด้วยสายตาเป็นประกาย จงเจิ้งเหยี่ยก็ได้ยิ้มเล็กน้อย ยกจอกเคารพ “ฝ่าบาท หากเป่ยโหรวและจยาเซียนจะเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยการอภิเษกสมรส ฝ่าบาททรงมีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………