ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 330 พวกท่านถูกใจคนไหนหรือ
เชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยการอภิเษกสมรสหรือ
การอภิเษกสมรส!
หลังจากดวงตาของเจียงหลีเป็นประกาย ก็ได้หรี่ตาลงเล็กน้อยและเอนตัวพิงกับเก้าอี้ แล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เป่ยโหรวจะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับจยาเซียนด้วยการแต่งงานหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” จงเจิ้งเหยี่ยกล่าว
ทันทีที่กล่าวคำนี้ขึ้น ขุนนางของจยาเซียนก็ได้เริ่มถกเถียงกัน
เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นในท้องพระโรง และเสียงนั้นมิได้เบาเลย เพียงแต่ก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่
“พูดเรื่องอะไรกันอยู่ พูดเสียงดังหน่อย อย่าให้คณะทูตของเป่ยโหรวคิดว่าพวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องที่มีลับลมคมนัยกันอยู่” เจียงหลีเผยสีหน้าอันเกียจคร้านขึ้น ทำให้แยกไม่ออกว่ากำลังทุกข์หรือสุขอยู่กันแน่
ภายใต้เสียงอันเฉื่อยชานั้น ปรากฏพลังอำนาจของราชาผู้น่าเกรงขามที่มิอาจขัดขืนได้
หญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดา! จงเจิ้งเหยี่ยแอบพูดในใจ
เขาและไป๋เซี่ยงไท่สื่อสารกันด้วยสายตา ส่งสัญญาณเตือนให้ระวัง แต่ทว่าแววตาอันหยิ่งผยองของคนหลังมิได้ลดน้อยลงไปเลย
ท่าทางเช่นนี้ ทำให้จงเจิ้งเหยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยและสงสัยในใจว่าการที่ฮ่องเต้ส่งไป๋เซี่ยงไท่มาร่วมกับคณะทูตด้วยนั้น คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่
“ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ พวกเราก็ไม่ควรจะมีความลับปกปิดกัน” ทันใดนั้น ขุนนางใหญ่จยาเซียนรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวกับคณะทูตจากเป่ยโหรวว่า “เป่ยโหรวจะผูกสัมพันธ์กับทางเราด้วยการแต่งงานนั้น ไม่ทราบว่าจะส่งองค์ชายท่านใดมาสานสัมพันธ์กับทางจยาเซียนหรือ”
เมื่อพูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นยอมรับผิดต่อหน้าเจียงหลี แล้วกล่าวต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดินีว่า “ฝ่าบาท โปรดให้อภัยกับข้าที่พูดจาไม่เหมาะสมด้วย”
เจียงหลีแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจและโค้งมุมปากยิ้ม “เจ้าไม่ผิด อยากพูดอะไรก็พูดเถิด”
หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว เขาจึงกล่าวกับจงเจิ้งเหยี่ยและไป๋เซี่ยงไท่ว่า “อาณาจักรของเรานั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินี อายุของท่านยังน้อย เห็นยังจะไม่ถึงวัยที่จะเลือกคู่ครอง ลูกหลานก็ยังไม่มี ข้างกายมีเพียงพี่ชาย ในฐานะราชาผู้ปกครองแคว้น เห็นทีว่าจะไม่สามารถอภิเษกไปยังแคว้นอื่นได้ หากทางเป่ยโหรวจะเชื่อมสัมพันธ์กับจยาเซียนด้วยการแต่งงาน แสดงว่าจะให้พระราชโอรสแต่งเข้า หรือไม่ก็ถูกตาต้องใจแม่ทัพเจียงเฮ่า หรือว่าจะส่งตัวองค์หญิงมาอภิเษกกับทางเรา”
เมื่อชื่อของตนเองถูกเอ่ยขึ้น เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ เขาควรจะทำตามลู่เจี้ยเพื่อหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงพวกนี้ซะ
น้องสาวคงจะไม่ตอบตกลงจริงๆ หรอกกระมัง เจียงเฮ่าหันไปหาน้องสาวที่เป็จักรพรรดินีด้วยความกังวล เสียดายที่เจียงหลีกลับมิได้ตอบสนองอะไรกลับคืนมา
พอจงเจิ้งเหยี่ยฟังจบ พยักหน้าและแสยะยิ้ม “ใต้เท้าท่านนี้ลืมไปแล้วหรือว่าจยาเซียนนอกจากจักรพรรดินีแล้ว ยังมีเชื้อพระวงศ์อีกท่านหนึ่งที่ยังมิได้อภิเษกสมรส”
อืม!
เหล่าบรรดาขุนนางของจยาเซียนถึงกับผงะ
เจียงหลีก็ค่อยๆ ลืมตา และมองไปที่จงเจิ้งเหยี่ย
“คนที่พวกเจ้าจะเชื่อมสัมพันธ์ในครั้งนี้คือหยวนหวัง!” ขุนนางของฝั่งจยาเซียนได้สติ
เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่ตน เจียงเฮ่าถึงกับถอนหายใจเบาๆ ขณะเดียวกัน ก็คิดว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างในใจ ลู่เสวียนไม่ยอมมาร่วมงานเลี้ยง ไม่รู้ว่าหากได้ยินเรื่องงานแต่งครั้งนี้แล้ว จะตกใจจนกระโดดโลดเต้นเช่นไร
“พ่ะย่ะค่ะ” จงเจิ้งเหยี่ยพยักหน้าที่ยิ้มกริ่ม
หยวนหวัง !
ทางฝั่งจยาเซียน มีการซุบซิบขึ้นอีกครั้ง
คนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าหลังจากลู่วั่งชวนสละตำแหน่งแล้ว คนที่จะได้สืบทอดตำแหน่งคือหยวนหวังลู่เสวียน เพราเขานั้นเป็นทายาทของตระกูลลู่ที่หลงเหลือเพียงคนเดียว อีกทั้งเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากลู่วั่งชวนโดยตรง
แต่คาดไม่ถึงว่าตำแหน่งนี้จะตกมาถึงมือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันได้
แน่นอนว่าหลายคนไม่พอใจในตอนแรก เพียงแต่จักรพรรดินีพิสูจน์ให้เห็นด้วยการกระทำแล้วว่านางสามารถนั่งในตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคงและแบกรับภาระความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้ได้ หลังจากเหตุการณ์การนองเลือดหลายรอบและการขยายดินแดนอยู่หลายหน พวกเขาก็ยอมรับในจักรพรรดินีองค์นี้จากใจของพวกเขา
ส่วนลู่เสวียน…
ความถ่อมตัวมากเกินไปของเขาเกือบจะทำให้ผู้คนที่มาวันนี้ลืมว่ามีเขาตัวตน
หากวันนี้ทูตของเป่ยโหรวมิได้เสนอการแต่งงานเพื่อผูกมิตรของทั้งสองอาณาจักรและกล่าวถึงชื่อของหยวนหวัง พวกเขาคงจะจำเชื้อพระวงศ์องค์นี้มิได้ด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าข้อเสนอของข้าเป็นเช่นไรบ้าง” จงเจิ้งเหยี่ยไม่แยแสกับความตกใจของขุนนาง
จยาเซียน แต่มองไปที่เจียงหลีและเอ่ยถามแทน
เจียงหลียิ้มจางๆ แต่ยังคงทำให้ผู้คนมองไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ “ทางเป่ยโหรวจะส่งผู้หญิงเช่นไรที่จะคู่ควรกับหยวนหวังของราชวงศ์ข้าหรือ”
นี่คือตกลงแล้วหรือไม่
ขุนนางจยาเซียนสงบลงและเฝ้าดูอย่างเงียบๆ
เจียงเฮ่ามิได้กังวลมากเกินไป เขาไม่คิดว่าน้องสาวของตนจะตัดสินใจเรื่องแต่งงานของลู่เสวียนด้วยวิธีนี้ จนลืมไปเสียสนิทว่าตอนที่ตนถูกเอ่ยชื่อก่อนหน้านี้รู้สึกประหม่าเช่นไร
ถึงขั้นที่เขาคิดจะเลี่ยงงานแต่งโดยหนีออกจากซีหวงไป
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของจงเจิ้งเหยี่ยมากยิ่งขึ้น “ฮ่องเต้ของข้าชื่นชมหยวนหวังอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นคือจะไม่ยอมให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่ เป่ยโหรวเรามีองค์หญิงที่เหมาะสมอยู่สามพระองค์ พวกท่านทั้งหมดปล่อยให้หยวนหวังเป็นผู้เลือกเอง”
“ฮ่องเต้เป่ยโหรวช่างใจกว้างอย่างมาก ทำให้รู้สึกหวั่นไหวแล้วจริงๆ” เจียงหลียิ้มกริ่มพูด
“อึก!” จงเจิ้งเหยี่ยผงะเช่นกันราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่าเจียงหลีจะตอบเช่นนี้
ทางด้านไป๋เซี่ยงไท่กลับหัวเราะลั่น “หากจักรพรรดินีต้องการ องค์ชายที่ยังมิได้อภิเษกสมรสของเป่ยโหรวก็พร้อมรอให้ท่านเลือก”
“อ่ะแฮ่มๆ” จงเจิ้งเหยี่ยกระแอมไอหลายทีและทำให้ไป๋เซี่ยงไท่จ้องเขม็ง
ดูเหมือนว่าจะตำหนิเขาที่พูดจาไร้สาระ!
การเลือกองค์หญิงจะเหมือนกับการเลือกองค์ชายได้อย่างไร องค์ชายมีสิทธิสืบทอดบัลลังก์
ไป๋เซี่ยงไท่กลับไม่เห็นด้วย สายตาของเขามองตรงไปที่เจียงหลีและฉายแสงที่มิอาจค้นพบความหมายที่แท้จริงของมันได้ องค์ชายแห่งเป่ยโหรวในคำพูดของเขาราวกับเป็นสิ่งของก็ไม่ปาน
“ตระกูลไป๋เซี่ยงสมกับที่เป็นตระกูลใหญ่ที่สุดของเป่ยโหรว คำพูดคำจาช่างดุดันนัก” เจียงหลียิ้มอย่างมีเลศนัย
ประโยคนี้ ใช้กับไป๋เซี่ยงไท่ได้เป็นอย่างดี เขาจึงกล่าวว่า “หากจักรพรรดินีชอบ ก็เลือกลูกหลานที่โดดเด่นของตระกูลไป๋เซี่ยงมาติดตามจักรพรรดินีสักหนึ่งถึงสองคนได้เลย”
คำพูดของเขาส่อความนัยอื่น และในสถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความเคารพ
“อ่อ” เจียงหลีมิได้โกรธเคืองแต่อย่างใด และยังคงมองเขาอย่างยิ้มกริ่ม “ดูเหมือนผู้คนในเป่ยโหรวจะใจกว้างอย่างมาก”
ความประชดประชันซ่อนอยู่ในคำพูด ทำให้เหล่าขุนนางจยาเซียนที่ได้ยินแอบกลั้นหัวเราะ
จงเจิ้งเหยี่ยสีหน้าดูแย่ลงเล็กน้อยและตำหนิไป๋เซี่ยงไท่ที่พูดจาไร้สาระ
เพียงแต่ เวลานี้เขาไม่สามารถตำหนิอะไรมากได้ จึงทำได้แค่อ้าปากค้างและดึงบทสนทนาก่อนหน้านี้กลับมา “หากฝ่าบาทไม่คัดค้านเรื่องอภิเษกสมรสระหว่างสองแคว้น จะให้หยวนหวังติดตามพวกเรากลับไปที่เป่ยโหรวเพื่อเลือกองค์หญิงเอง และจะส่งองค์ชายกลับจากการเลือกคู่ครองเสร็จแล้ว”
“ให้หยวนหวังไปเป่ยโหรวหรือ” รอยยิ้มของเจียงหลีเผยความมีเลศนัยมากยิ่งขึ้น
จงเจิ้งเหยี่ยพยักหน้า “ต้องใกล้ชิดและเปรียบเทียบอย่างรอบคอบก่อน หยวนหวังถึงจะสามารถเลือกองค์หญิงที่เหมาะสมที่สุดกับท่านได้ ฝ่าบาทว่าข้าพูดถูกหรือไม่”
เจียงหลียิ้มพลางหยิบแก้วเหล้าบนโต๊ะและพูดกับจงเจิ้งเหยี่ยว่า “คืนนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับ อย่าพูดถึงเรื่องอื่นเลย”
“…” จงเจิ้งเหยี่ยถึงกับสำลักกับคำพูดของนาง
พูดคุยกันดีๆ เจียงหลีกลับเหยียบเบรกกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ในเมื่อจักรพรรดินีพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะดิ้นรนพูดต่อไปเพื่ออะไร
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหัวเราะแก้เขินและหยุดพูดเรื่องงานอภิเษกสมรส
“มา ท่านทั้งหลายมาดื่มกัน” เจียงหลียกจอกขึ้น
นางกำนัลที่ปรนนิบัตินางอยู่ด้านข้างตะโกนว่า “บรรเลงเพลง ร่ายรำ!”
เครื่องดนตรีของราชสำนักหลังจากหยุดไปได้สักพักกลับมาบรรเลงอีกครั้ง และนางรำได้เดินออกมาอย่างสง่างาม ซึ่งเห็นได้ชัดว่านางรำเปลี่ยนเป็นอีกชุดแล้ว รูปร่างของพวกนางงามชดช้อยนัก และระหว่างที่ร่ายรำนั้นได้เผยความยั่วยวนออกมาให้เห็น
จงเจิ้งเหยี่ยดูการแสดงโดยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนไป๋เซี่ยงไท่มองด้วยความเพลิดเพลิน และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายและจดจ้องไปที่นางรำคนหนึ่ง…
………………….