ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 337 เด็กน้อยตกใจเล็กน้อย
เมื่อสาวงามทั้งสามปรากฏตัว ทำให้ทั้งงานเลี้ยงเงียบสงัดลง
ลู่เสวียนมองสามสาวอย่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แอบมองอย่างรวดเร็ว แล้วรีบหันหน้ามองทางอื่น สีหน้าดูตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนว่าเขาคิดไม่ถึงเพิ่งจะมาถึงเป่ยโหรว ฮ่องเต้เป่ยโหรวก็นำเรื่องแต่งงานออกมาอย่างตรงประเด็น
ฮือ ฮือ ฮือ เขาไม่ได้สนใจในตัวขององค์หญิงเป่ยโรวจริงๆ!
ลู่เสวียนเป็นทุกข์ในใจ แม้แต่เวลาที่หยิบจอกเหล้า เกือบจะทำมันคว่ำ
เจียงหลีส่ายหน้าอยู่ด้านหลัง ไอ้เด็กคนนี้ แค่องค์หญิงสามองค์ ไม่ได้จะกินเขาสักหน่อย จะหวาดกลัวอะไรกัน
“ใจเย็นหน่อย ฮ่องเต้เป่ยโหรวไม่ใช่จะบังคับเจ้าให้เข้าหอวันนี้”
ฟู่!
เสียงของเจียงหลีดังมาจากด้านหลัง ทำให้ลู่เสวียนที่กำลังดื่มสุราปลอบขวัญถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้สุราที่อยู่ในปากพุ่งออกมา
ผลลัพธ์เช่นนี้ เจียงหลีคิดไม่ถึง ยกมุมปากขึ้นมาอย่างโมโห และก้มหัวมองต่ำ
ลู่เสวียนรีบจัดการความไม่เป็นระเบียบ พูดกับนางกำนัลที่มาเช็ดโต๊ะไม่หยุดว่าขอบใจ ท่าทางประหม่าของเขา ทำให้ดวงตาของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ในเป่ยโหรวปรากฏความเหยียดหยาม
เฉิงหวังเป่ยเหมินเจวี๋ยมองไปทางเขาเพียงแวบเดียว ก็ก้มหน้าดื่มสุรา คล้ายกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เป่ยเหมินเวยมองไปที่ลู่เสวียน กวาดผ่านประกายแสงที่แหลมคม “ฮ่าๆ…หยวนหวังไม่ต้องตื่นเต้น ข้ารีบร้อนไปหน่อย อยากให้เจ้าพบกับลูกสาวทั้งสามของข้า วางใจได้ ข้าไม่ใช่คนหัวโบราณ เพียงหวังให้ลูกสาวมีความสุขในการแต่งงาน หยวนหวังอยู่ในชิ่งตูของข้าอีกหลายวันหน่อย มาพบลูกสาวทั้งสามของข้าบ่อยๆ ดูซิจะถูกตาต้องใจคนไหน”
จุๆ!
ในใจเจียงหลีถอดหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทีของเป่ยโหรวที่มีต่อลู่เสวียน นางแอบเงยหน้าขึ้น แอบมองไปที่เป่ยเหมินเวย พบว่าสายตาที่เขามองมาทางลู่เสวียน เหมือนสายตาที่มองมายังลูกชาย ตรงกันข้ามลูกสาวทั้งสามคนของเขานั้น ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อที่จะดึงลู่เสวียนมาเป็นพวก
“ขอบพระทัยฝ่าบาท องค์หญิงทั้งสามงดงามดั่งนางสวรรค์ ลู่เสวียนเกรงว่าจะไม่คู่ควรกับพวกนาง” ลู่เสวียนก้มหน้าตอบ
“ท่านยังไม่เคยมองพวกเราอย่างละเอียด ทราบได้อย่างไรพวกเรางามดังนางสวรรค์”
เสียงที่ฟังแล้วดูทะนงตนดังมาจากด้านบนลงมา ลู่เสวียนเงยหน้าขึ้นมองไปทางคนที่พูด ทำให้เห็นสายตาคนพูดที่หยิ่งผยองและอวดดี
เจียงหลีก็แอบมองไปแวบหนึ่ง เอ่ยในใจ องค์หญิงเป่ยโหรวองค์นี้ ดูเป็นตัวของตัวเอง เมื่อเทียบกับองค์หญิงสองคนที่นิ่งเงียบประดุจนกกระทา ถือว่าดูดีกว่ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พูดเป็นคนที่งดงามสุดในบรรดาสามคน นิสัยก็โดดเด่นที่สุด
“ไม่ได้มองอย่างละเอียด เพราะไม่อยากล่วงเกินองค์หญิง” เมื่อถูกสาวน้อยเสียดสี ในใจลู่เสวียนรู้สึกไม่ดี จึงตอบกลับแบบเคร่งขรึม
“ชิ่งชิ่ง อย่าเสียมารยาทกับหยวนหวัง” เป่ยเหมินเวยตักเตือน
องค์หญิงมิได้จะขัดพระประสงค์ฮ่องเต้เป่ยโหรว แต่ตอบกลับอย่างเสียงแข็ง “เพคะฝ่าบาท”
ฝ่าบาท แต่ไม่ใช่เสด็จพ่อหรือ เจียงหลีคิดในใจ พลันนึกขึ้นได้ว่าเคยคุยเรื่องประวัติขององค์หญิงทั้งหลายกับลู่เสวียนแล้ว
องค์หญิงที่มีอายุเหมาะสมทั้งสามของฮ่องเต้เป่ยโหรว มีหนึ่งคนที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา
องค์หญิงองค์นี้ ว่ากันว่าตอนที่เขาวัยรุ่น พเนจรไปต่างถิ่น ลูกของพี่น้องร่วมสาบานกำเนิดหลังจากเขาถึงแก่กรรมแล้ว พี่น้องคนนั้นตายเพราะช่วยฮ่องเต้เป่ยโหรวไว้ ตอนภรรยาให้กำเนิดบุตร ก็จากไปขณะให้กำเนิดบุตร เหลือไว้เพียงลูกสาว เป่ยเหมินเวยจึงพากลับวังหลวง เลี้ยงดูเสมือนเป็นลูกสาวของตน และแต่งตั้งเป็นองค์หญิง ได้ยินมาว่านางชื่อชิ่งชิ่ง
เพียงแต่ว่า เมื่อได้ยินชิ่งชิ่งเรียกฮ่องเต้เป่ยโหรวว่าฝ่าบาท แต่ไม่ใช่เสด็จพ่อ จากตรงนี้ก็รู้ว่า ทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เจียงหลีสรุปเองในใจ
เมื่อไม่ได้ยินเหวินเหรินชิ่งชิ่งหาเรื่องลู่เสวียนอีก เจ้าหนุ่มคนนี้ ก็คล้ายกับถอนหายใจอย่างสบายใจ และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานต่อ
ให้ใกล้ชิดกันมากๆ เพิ่มพูนไมตรีจิตอะไรเหล่านี้ สำหรับเขาแล้ว กลับทำให้มีความอึกอัด วางตัวไม่ถูก
“พวกเจ้ากลับไปที่นั่งเถิด” เป่ยเหมินเวยชี้ไปทางที่นั่งว่างข้างเขา แล้วเอ่ยกับองค์หญิงทั้งสาม
ทั้งสามก็ไม่ได้พูดอะไร ทำตามคำสั่ง โดยเดินไปที่นั่งแล้วนั่งลง
ในเวลานี้ ฮ่องเต้เป่ยโหรวก็หันมาเอ่ยกับลู่เสวียนอย่างเป็นกันเอง “หยวนหวังไม่ต้องเขินอาย การแต่งงานเป็นเรื่องธรรมชาติของหญิงชายเมื่อถึงเวลาอันควร ล้วนเป็นเรื่องปกติที่คนเขาทำกัน เพื่อความสงบของสองอาณาจักร หยวนหวังก็ต้องรีบใช้โอกาสนี้ มาใกล้ชิดลูกสาวทั้งสามของข้า! ”
การพูดหยอกล้อของเขา ไม่ได้มีมาดของฮ่องเต้อยู่เลย ทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นกันเอง และความอ่อนโยนทำให้เกิดความรู้สึกดีได้ง่าย
ลู่เสวียนหัวเราะอย่างอึดอัด แค่ทำได้เพียงพยักหน้าแบบฝืน “ข้า…ข้าจะพยายาม”
เมื่อเห็นว่าเขาลำบากใจ เป่ยเหมินเวยก็มิได้พูดต่อ และเปลี่ยนบทสนทนาไปเรื่องอื่น
เมื่อผ่านไปชั่วครู่ ผู้ฟังอย่างเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็ลุกขึ้นเอ่ยกับเป่ยเหมินเวย “ฝ่าบาท การทดสอบของคนตระกูลไป๋เซี่ยงจะเริ่มขึ้นแล้ว ได้ยินมาว่าตระกูลไป๋เซี่ยงจะไปสำรวจสุสานโบราณ ชิ่งชิ่งอยากไปร่วมสนุกในครั้งนี้ด้วย หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาต และก็ไม่รู้ว่าตระกูลไป่เซี่ยงจะยินยอมให้ข้าเข้าร่วมเดินทางไปด้วยหรือไม่”
ภายในงานเลี้ยง เมื่อได้ยินเหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดถึงเรื่องนี้อย่างกะทันหัน ทำให้ตัวแทนจากตระกูลไป๋เซี่ยงไม่ทันได้ตั้งตัว หากปฏิเสธไปตรงๆ เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทเสียหน้า หากไม่ปฏิเสธ มิใช่จะต้องแบ่งผลประโยชน์ให้คนนอกหรือ
ขณะที่เขารู้สึกลำบากใจ ทันใดนั้น เหวินเหรินชิ่งชิ่งส่งสายตาที่เฉียบแหลมมา ทำให้เขาต้องยิ้มแล้วเปิดปากพูด
“หากองค์หญิงสนใจร่วมเดินทางด้วย ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่อตระกูลไป๋เซี่ยง แต่การสำรวจสุสานโบราณครั้งนี้อันตรายนัก ในนั้นมีภัยอันตรายอะไร พวกเราไม่อาจทราบได้ องค์หญิงฐานะสูงศักดิ์ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
“ข้าก็สนใจในความอันตรายนี้ ถึงอยากจะเข้าร่วมสำรวจด้วย หากจะเติบโต จะไม่ฝึกเผชิญกับประสบการณ์ของความเป็นความตายได้อย่างไร” เหวินเหรินชิ่งชิ่งตัดบทสนทนา
เมื่อพูดจบ หันไปมองทางเป่ยเหมินเวย
เป่ยเหมินเวยยิ้ม “ชิ่งชิ่งอยากจะไปจริงหรือ”
“เพคะ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ก็ดี คนอายุน้อยอยากหาประสบการณ์ย่อมได้ ตระกูลไป๋เซี่ยงหากไม่มีเหตุที่ไม่สะดวก ก็ขอให้ชิ่งชิ่งเข้าร่วมด้วย” เป่ยเหมินเวยทอดสายตาไปยังที่นั่งของตระกูลไป๋เซี่ยง คล้ายจะพูดว่าคนอายุน้อยของตระกูลไป๋เซี่ยงยังไปกันได้ ทำไมองค์หญิงของราชวงศ์จะไปบ้างไม่ได้
คนที่เป็นตัวแทนตระกูลไป๋เซี่ยงนั้น ใบหน้าดูลำบากใจ เขาไม่ใช่ผู้นำตระกูล ในเป่ยโหรวนอกจากราชวงศ์แล้ว ตระกูลไป๋เซี่ยงนับเป็นตระกูลใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง ได้รับความเมตตาจากราชวงศ์เสมอ เขาก็ไม่อาจทำให้เรื่องเพียงแค่นี้ ทำให้ราชวงศ์ถือโอกาสเป็นข้ออ้างในภายหลังได้
เมื่อคิดไปมา เขาทำได้เพียงพยักหน้า “เมื่อฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ พวกเรายินดีที่จะให้องค์หญิงเข้าร่วม” เมื่อพูดจบเขามองไปทางที่ลู่เสวียนนั่ง ในใจเอ่ย ไหนๆ จะใจกว้างแล้ว ก็ใจกว้างให้สุด ภายในตระกูล ตนเห็นว่าราชวงศ์ผูกมิตรกับหยวนหวังอย่างสุดความสามารถตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ จึงสนใจเป็นอย่างมาก อยากใช้โอกาสนี้สร้างสัมพันธ์ อาจจะมีผลประโยชน์ใหม่ในภายภาคหน้า เมื่อคิดเช่นนี้ เขายิ้มให้ลู่เสวียนอย่างอบอุ่นแล้วเอ่ย “หากหยวนหวังสนใจ ก็สามารถมาเข้าร่วมได้เช่นกัน”
จากนั้น ได้พูดเสริมอย่างมีเลศนัยว่า “ระหว่างการฝึกฝน ทำให้สานความสัมพันธ์กันได้
ง่ายที่สุด”
“ใช่! พูดได้ถูกต้อง ฮ่าๆๆ…!” เป่ยเหมินเวยหัวเราะเสียงดังและพูดกับลู่เสวียนต่อ “หยวนหวังอยากไปลองดูหรือไม่ แม้การทดสอบประสบการณ์นี้จะมีอันตราย แต่การทดสอบในตระกูล โดยปกติจะมีผู้ใหญ่ในตระกูลมาค่อยแอบเฝ้าดูอยู่ ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต”