ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 340 ทะเลาะกันเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ
ถ้าหากมีใครคนหนึ่งค้นพบโบราณสถาน คนอื่นๆ ก็สามารถไม่ปฏิบัติตามกฎได้ เพราะว่าคนๆ เดียวไม่มีอำนาจ ไม่มีใครสนับสนุน ก็จัดการได้ตามอำเภอใจ
แต่ถ้าหากคนที่มีอำนาจคนหนึ่งค้นพบเข้า เช่นนั้นคนอื่นๆ ก็จะปฏิบัติตามกฎ เพราะว่าการต่อสู้ระหว่างคนมีอำนาจมีผลกระทบที่ใหญ่มาก
ทันใดนั้น เจียงหลีก็เข้าใจว่าทำไมลู่เสวียนถึงอยากให้นางครองทั้งหนานฮวง!
เพราะว่านางยึดกุมอำนาจไว้ด้านหนึ่ง ถึงได้ไม่มีใครมาย่ำยี
“ในคนที่ไปสำรวจสุสานโบราณของตระกูลไป๋เซี่ยง ขอแค่อายุไม่เกินห้าสิบปี ก็ไปได้ โอกาสข้างใน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง ความหมายของฝ่าบาทก็คือหลังจากที่เข้าสุสานโบราณไปแล้ว ถ้าหากมีโอกาส เกรงว่าตระกูลไป๋เซี่ยงจะปฏิบัติต่อเจ้าที่มาจากที่อื่นไม่ดี ดังนั้นฝ่าบาทหวังให้ข้ากับเจ้าไปด้วยกัน ถ้าหากเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยข้าองค์หญิงแห่งเป่ยโหรวก็ยังสามารถปกป้องเจ้าได้” เหวินเหรินชิ่งชิ่งบอกจุดประสงค์ออกมา
แต่ทว่า หลังจากที่ลู่เสวียนได้ฟัง กลับโกรธมาก พูดอย่างไม่พอใจว่า “ใครต้องการให้เจ้าปกป้อง! ก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น”
“แน่นอนว่าข้าไม่มีความสามารถไปปกป้องเจ้า ที่สามารถปกป้องเจ้าได้ก็มีเพียงฐานะของข้า” เหวิน เหรินเหรินชิ่งชิ่งไม่สนใจน้ำเสียงของเขา เหมือนว่าต่อให้ลู่เสวียนจะทำกับนางไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ยิ่งพูดกับเขาอย่างปกติ
กลับกัน ถ้าหากลู่เสวียนพูดกับนางอย่างอ่อนโยน นางก็จะเหมือนกับเม่นที่มีหนามยาวและแหลม แทงเขากลับไปอย่างแรง เพื่อขัดขว้างไม่ให้ลู่เสวียนเข้าใกล้
เพียงแต่ ในระหว่างที่ทั้งสองคนโต้เถียงกัน เจียงหลีกลับยิ่งรู้สึกชอบองค์หญิงคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“เหอะ! เช่นนั้นก็ไม่จำเป็น” ลู่เสวียนแสดงความไม่พอใจออกมา
“แล้วแต่เจ้า ถึงอย่างไรข้าก็ได้พูดในสิ่งที่ข้าอยากจะพูดไปหมดแล้ว เวลาฝึกคือพรุ่งนี้ตอนกลางวัน ระยะเวลาในการสำรวจประมาณครึ่งเดือน ที่จริงก็ไม่มีใครรู้ว่าสุสานโบราณใหญ่แค่ไหน ไม่ได้อันตรายมากจริงหรือเปล่า ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนั้น เช่นนั้นเตรียมตัวเอาเองแล้วกัน ข้าก็จะกลับไปเตรียมตัวเช่นกัน วันพรุ่งจะมีรถม้ามารับเจ้าไปสุสานโบราณ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดจบ ก็หันตัวเดินจากไป ไม่ชักช้าเลยสักนิด ง่ายๆ สบายๆ เป็นอย่างมาก
“เหอะ! ผู้หญิงไร้มารยาท!” รอนางไปแล้ว ลู่เสวียนถึงกัดฟัน แล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าหมองหม่น
เจียงหลีหันไปมองเขา ไม่สนใจสีหน้าของเขา ทำเสียง จุ๊ๆ แล้วส่ายหัว “เด็กน้อย”
ลู่เสวียนมองนาง ทำหน้าไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร”
“เปล่า” เจียงหลีกลับยิ้มตาหยี แล้วทำให้เขาอยากรู้
พูดจบ นางก็เดินไปอีกทาง ลู่เสวียนตามไป แล้วพูดเอาใจนาง “พี่สะใภ้ พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
“เพ้อเจ้อ!” เจียงหลีพูดกับเขาสองคำ
ไม่ว่าจะเป็นหลิงจงก็ดี หรือเนี่ยนจงก็ดี ในเมื่อเป็นการค้นพบโบราณสถานระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่านางต้องไปดูเสียหน่อย
…
วันรุ่งขึ้น เหวินเหรินชิ่งชิ่งรักษาเวลาเป็นอย่างมาก รถม้าที่เคยบอกปรากฏอยู่ที่เรือนรับรองซื่อฟาง
ลู่เสวียนพาแค่เจียงหลีขึ้นรถม้า ทั้งสองคนแต่งกายเรียบง่ายแล้วมุ่งไปยังสุสานโบราณนั้นที่ตระกูลไป๋เซี่ยงเป็นผู้ค้นพบ
ตระกูลไป๋เซี่ยง… บนรถม้า เจียงหลีที่ดูเหมือนกำลังจะหลับ แต่ก็ไม่ได้หลับ
สร้างความสัมพันธ์กับตระกูลไป๋เซี่ยงครั้งแรก นางยังจำไป๋เซี่ยงเลี่ยชื่อนี้ได้เป็นอย่างดี! ในตอนที่นางเตรียมจะข้ามไปขั้นหลิงเจียง แล้วตามหาเต่าเสวียนกังในอาณาเขตหลิงอู่
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าหลังจากที่นางหลอมรวมเข้ากับเต่าเสวียนกังแล้ว เกิดอะไรขึ้น แต่ว่านางกล้ารับรองได้เลยว่าไป๋เซี่ยงเลี่ยก็จำนางได้ดีเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าครั้งนี้ จะเจอกับเขาคนนี้ไหม ถ้าหากเขาจำข้าได้ แล้วจะเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้น เจียงหลีพูดในใจ
ในตอนที่รถม้าหยุดลง แล้วคนขับพูดว่าถึงแล้ว เจียงหลีลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาสดใส ไม่คิดแล้ว! ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็มีวิธีรับมือ
ลงรถม้ามาพร้อมกับลู่เสวียน เจียงหลีถึงค้นพบว่าที่นี่คือซากเมืองที่รกร้าง รอบๆ รกร้างอ้างว้างไร้ซึ่งผู้คน มีป่าและพุ่มไม้ แล้วก็มีรอยเท้าสัตว์ป่า มีภูเขาที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่ไกลสุดลูกลูกตา
หันกลับมา เจียงหลีและลู่เสวียนก็เห็นพวกลูกศิษย์ของตระกูลไป๋เซี่ยงเหล่านั้น กำลังรวมตัวกันอยู่ แอบพูดซุบซิบ แล้วก็มองมาทางพวกเขาตลอด
ไม่เจอ เจียงหลีรีบมองไป ไม่เห็นไป๋เซี่ยงเลี่ย
ตอนนี้ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ทำให้เจียงหลีและลู่เสวียนหันไปมอง
เหวินเหรินชิ่งชิ่งสวมชุดที่เรียบง่ายสีม่วงเข้ม เผยให้เห็นรูปร่างที่มีเสน่ห์น่าสนใจ เดินมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
วันนี้ การแต่งตัวของนางไม่ได้สูงส่งเหมือนปกติ แต่ดูองอาจ
ไม่รู้ว่าทำไมลู่เสวียนถึงรู้สึกว่าเหวินเหรินชิ่งชิ่งที่เป็นแบบนี้ดูสบายตากว่ามาก
“พวกเจ้ามาแล้ว” เหวินเหรินชิ่งชิ่งหยุดอยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองคน สายตามองไปยังเจียงหลี “เจ้าก็ไปด้วยหรือ”
“ฮึ ไม่ได้รึไง” เจียงหลียิ้มเยาะ
“ข้าไปไหน นางก็ต้องไปด้วย” ลู่เสวียนพูดแทรกขึ้นอย่างเผด็จการ
ท่าทางยังคงไม่เป็นมิตร
เหวินเหรินชิ่งชิ่งขมวดคิ้ว มองลู่เสวียนอย่างเย็นชา แล้วพูดกับเจียงหลีว่า “ข้าไม่รู้ว่านายท่านของเจ้า จะมีความสามารถปกป้องเจ้ารึเปล่า สำรวจโบราณสถาน ไม่ใช่การมาเที่ยวเล่นฆ่าเวลานะ เมื่อวานข้าก็บอกแล้วว่าไม่มีใครรับรองได้ว่าข้างในมีอะไร ถ้าเจ้ายังยืนยันที่จะเข้าไป ในตอนที่สุดความสามารถแล้ว ข้าจะคอยดูแลให้ ถ้าหากเกินขอบเขตความสามารถของข้า ข้าก็ทำได้เพียงปกป้องตัวเองเช่นกัน” พูดจบ นางก็มองไปยังลู่เสวียน ชัดเจนมากว่าคำพูดนี้นางพูดให้ลู่เสวียนฟัง
“เจ้าไม่ต้องมาเป็นห่วงข้า” ลู่เสวียนพูดถากถาง
เหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดอย่างเย็นชาว่า “เช่นนั้นดีที่สุดแล้ว พวกเจ้าเป็นแขก การดูแลพวกเจ้าถือเป็นมารยาท ถ้าหากพวกเจ้าไม่ต้องการ ก็ดีเหมือนกัน”
พูดจบ นางก็หันตัวเดินไปทางอื่น เหมือนว่ายังต้องเตรียมอะไร
รอนางไปแล้ว เจียงหลีถึงพูดกับลู่เสวียนว่า “เหวินเหรินชิ่งชิ่งนี่ใช้ได้นะ” อย่างน้อยคำพูดของนางก็ฟังรื่นหู ไม่เสแสร้งแกล้งทำ
“ใช้ได้ตรงไหน! ก็แค่ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ” ลู่เสวียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เจียงหลีเลิกคิ้วแล้วมองเขา ถอนหายใจแล้วส่ายหัว
“ฮ่าๆๆ หยวนหวัง ที่แท้ก็อยู่ที่นี่เอง” เสียงหัวเราะดังขึ้น เจียงหลีจำเสียงนี้ได้ว่าคือชายคนที่เป็นตัวแทนตระกูลไป๋เซี่ยงเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังวันนั้น
ลู่เสวียนก็จำเขาได้ รีบเก็บสีหน้า แล้วทำตัวปกติ
ในตอนที่พวกเขาหันไปมาเขา เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็เหมือนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของทางนี้ หันกลับไปมอง แววตาเป็นประกาย หยิบกระเป๋นเดินทาง แล้วเดินไปหาทั้งสองคน
เจียงหลีเห็นคนตระกูลไป๋เซี่ยงที่เจอกันในวันนั้นแล้ว แต่ว่าสายตาของนางกลับถูกสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาดึงดูด ไป๋เซี่ยงไท่…ไป๋เซี่ยงเลี่ย…
โอ้โห ตั้งนานไม่ปรากฏตัว พอปรากฏตัว คนที่มีเรื่องขัดแย้งกับนางทั้งสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันเลย
เพียงแต่…
เจียงหลีขมวดคิ้วอย่างสงบเยือกเย็น ทำไมเจอกับไป๋เซี่ยงเลี่ยครั้งนี้ พลังลมปราณในตัวของเขาถึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แล้วเหตุใดไม่ได้ดูซื่อๆ เหมือนเมื่อก่อน