ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 361 ฉวยโอกาสสักหน่อย
ไฟค่อยๆ ลุกลามปราสาททีละน้อย
ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของตระกูลไป๋เซี่ยงลุกโชนหลายชั่วโมง แม้แต่ในวังก็ยังตื่นตระหนก เป่ยเหมิน
เวยลุกขึ้นสวมเสื้อผ้ายืนอยู่นอกพระราชวังมองไปที่แสงสีแดงในที่ห่างไกล
ไฟไหม้ครั้งนี้มีที่มาแปลกประหลาดยิ่งนัก แววตาของเป่ยเหมินเวยดำดิ่ง “ถ่ายทอดคำสั่ง ให้เฉิงหวังดูสถานการณ์ที่ตระกูลไป๋เซี่ยง แล้วไปตามคุณชายจิ่งให้มาเข้าเฝ้าข้า”
เจียงหลียืนมองเงียบๆ อยู่ด้านนอกปราสาทตระกูลไป๋เซี่ยง แสงจากท้องฟ้าส่องกระทบใบหน้าเล็กที่แปลกไปของนางจึงทำให้เงาดำเปลี่ยนไปในความมืด
ยิ่งทำให้ตระกูลไป๋เซี่ยงวุ่นวายมากเท่าไหร่รอยยิ้มนางก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น
ทำลายล้างตระกูลไป๋เซี่ยงอย่างนั้นหรือ
ไม่ๆๆ นางเป็นคนอำมหิตขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่!
เงายืนอยู่ข้างๆ แล้วมองไปที่นาง แววตาแสดงออกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน ตอนแรกที่เจียงหลีพาเขามาที่นี่ เขาคิดว่านางจะเข้าไปฆ่าคนข้างในนั้นให้สิ้นซาก แต่กลับไม่คิดว่านางจะมาเพื่อลอบวางเพลิง
นางมองเห็นถึงความสงสัยในแววตาเขาชัดเจน ดังนั้นนางจึงอธิบายให้นางฟัง “เจ้าแน่ใจแค่ไหนว่าเราสองคนสามารถทำลายล้างตระกูลได้”
คำตอบของเขาคือ “สามส่วน”
เงายังจำรอยยิ้มของหญิงสาวในตอนนั้นได้เสมอ “ใช่แล้ว แม้ตอนนี้ยังไม่มั่นใจแน่นอน แล้วทำไมข้าจะต้องเปิดเผยตัวตนด้วย ตอนนี้พวกเขาคิดว่าข้าหนีไปที่อื่นแล้วมิใช่หรือ ใครจะไปรู้ว่าข้าจะกลับมาวางเพลิงทำให้บ้านที่บรรพบุรุษสืบทอดมาไม่รู้กี่ปีหายไปสักหลัง เสียงตบมือครั้งนี้คงดังมากพอให้ตระกูลไป๋เซี่ยงอับอายขายขี้หน้า”
ใช่สิ!
ตระกูลยิ่งใหญ่ที่สุดในเป่ยโหรว คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนวางเพลิงจนบ้านมรดกสืบทอดเสียหายทั้งหลังเพียงชั่วข้ามคืน
เรื่องนี้ปิดเป็นความลับไม่ได้อีกต่อไป แล้วจะกลายเป็นเพียงเรื่องขบขันในสายตาระชาชีในเป่ยโหรว
แสงไฟสะท้อนในดวงตาของเงา เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่หาดูยาก
“เงา” ทันใดนั้นเจียงหลีที่ชื่นชมความพินาศโกลาหลของตระกูลไป๋เซี่ยงก็ตะโกนเรียก
เงาหันมามองนาง จู่ๆ เงาดำก็พุ่งออกมาจากมือนาง เขายกมือขึ้นรับโลหะแข็งเย็นเฉียบทำให้เขาเห็นป้ายคำสั่งในมืออย่างชัดเจน
“ตราประจำตัวของเป่ยโหรวองครักษ์เงา” เงามองแค่ปราดเดียวก็รู้ถึงที่มาของตราประจำตัวแล้ว
แต่เจียงหลีไปได้มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เจียงหลีเห็นว่าเขากำลังสงสัยแต่กลับไม่อธิบาย เพราะหรงจิ่งมอบให้นางหลังจากเจอกันครั้งก่อน
บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่ให้นางเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ฉุกละหุก
เมื่อมีตราประจำตัวอันนี้ก็จะสามารถท่องดินแดนเป่ยโหรวได้อย่างอิสระทุกที่ทุกเวลา
แต่ทว่าเจียงหลียังไม่เคยได้ใช้มันสักที
ตอนนี้หลังจากวางเพลิงแล้วนางก็โล่งใจขึ้นบ้าง แต่กลับคิดถึงว่าตราประจำตัวใช้อย่างไร “เจ้ากลับไปอีกรอบ เอาตราประจำตัวนี่ทิ้งไว้ที่บ้านตระกูลไป๋เซี่ยง”
เงาหรี่ตาเล็กน้อย เขาเข้าใจถึงแผนการของนาง
เขาไม่ถามอะไรมาก จากนั้นเก็บตราประจำตัวแล้วถอยกลับไปในความมืดเงียบๆ
รอจนเขาหายไปนางถึงได้พึมพำออกมา “บีบให้ข้าต้องเดือดร้อนขนาดนี้ ข้าจะก่อเรื่องดีๆ ตามพวกเจ้าก็แล้วกัน ไม่ต้องขอบใจ ข้าก็แค่ฉวยโอกาสเท่านั้น”
ปราสาทกลายเป็นทะเลเพลิง ต่อให้ดับเพลิงก็ไม่สามารถหยุดไฟที่โหมกระหน่ำได้
เมื่อเห็นบ้านและตัวอาตารถล่มลงมา สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกทำลายลงในกองเพลิง ประมุขตระกูลไป๋เซี่ยงคงกระอักเลือด
ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและเขาก็ตะโกนออกมาโดยไร้เสียง “จ้านจี้กว่าน!”
เมื่อได้ยินเสียงเตือนของเขา ทุกคนก็ได้สติกลับมา พวกเข้าถูกไฟลุกโชนดึงดูดความสนใจไปแต่กลับลืมคุ้มกันห้องทักษะการต่อสู้อย่างจ้านจี้กว่านที่ต้องรักษาเอาไว้อย่างถึงที่สุดของตระกูล
จ้านจี้กว่าน!
หากที่นั่นโดนเผาไหม้ ตระกูลไป๋เซี่ยงของพวกเขาคงเปลี่ยนสถานะจากสูงสุดคืนสู่สามัญภายในชั่วข้ามคืน
“ท่านประมุข ที่นั่นมีท่านผู้อาวุโสออกนั่งสั่งการอยู่ น่าจะไม่เป็นอะไรกระมังขอรับ”
ระหว่างทางที่วิ่งอย่างบ้าคลั่ง หากมีคนอยู่นับว่าโชคดี
“ทางที่ดีที่สุดต้องไม่เป็นอะไร! มิฉะนั้นต่อให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกข้าก็ต้องจับโจรที่ลอบวางเพลิงมาให้ได้ ให้ม้าแยกศพมันเป็นชิ้นๆ ให้วิญญาณของมันไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” ไป๋เซี่ยงกงเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดแค้น
พังพินาศ!
ตระกูลไป๋เซี่ยงของเขาพังพินาศแล้ว เมื่อฟ้าสว่าง โศกนาฏกกรรมที่ตระกูลไป๋เซี่ยงได้เจอ ต่อให้ปิดบังก็ไม่ได้ เรื่องคงลือไปทั่วชิ่งตู่ และเขาเป็นถึงประมุขตระกูลไป๋เซี่ยงยุคปัจจุบันก็จะกลายเป็นตัวตลก กลายเป็นตัวขยะไร้ความสามารถในสายตาผู้คน
ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว
จ้านจี้กว่านอยู่เพียงข้างหน้าไม่ไกลนัก ตอนนี้ตรงเขตนั้นยังไม่เห็นเปลวไฟ น่าจะยังไม่เกิดอะไรขึ้น
ถูกต้องแล้ว เจียงหลีไม่ได้เผาจ้านจี้กว่าหรือห้องทักษะต่อสู้ของตระกูลไป๋เซี่ยง ประการแรกเพราะเจียงหลีเดาออกว่าสถานที่สำคัญเช่นนั้นจะต้องมียอดฝีมือเฝ้ารักษาการณ์แน่นอน หากไปกระตุกหนวดเสือยอดฝีมือเข้านางคงลอบวางเพลิงคืนนี้ไม่สำเร็จ ประการที่สอง เพราะนางได้สมบัติล้ำค่าที่สุดในเป่ยโหรวมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว ทักษะการต่อสู้พวกนี้ของตระกูลไป๋เซี่ยงได้กลายมาเป็นของนางตั้งนานแล้ว นางจะเผาสมบัติของตัวเองทำไมล่ะ
ด้วยวิธีนี้ก็จะทิ้งสถานที่ๆ เป็นประโยชน์เอาไว้ให้เงา
“ท่านประมุข นี่มันกลิ่นน้ำมันสนนี่ขอรับ!” ยิ่งเข้าไปใกล้จ้านจี้กว่าน จมูกก็ยิ่งรับกลิ่นของน้ำมันสนชัดเจน
ไป๋เซี่ยงกงมีสีหน้าดำดิ่ง แล้วเอ่ยเร่งเร้า “เร็วกว่านี้!”
ยิ่งเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนรุนแรงดังมาจากจ้านจี้กว่าน ในที่ไกลๆ พวกเขารู้สึกถึงแรงบีบอัดที่ทรงพลังและไม่มีใครเทียบได้กำลังเกี่ยวพันกันและฟาดฟันกันอยู่
“หลิงจง!”
เสียงของใครบางคนขาดหายไป
เมื่อเห็นท่านผู้อาวุโสที่คุ้มครองจ้านจี้กว่านของตระกูลซึ่งเป็นหลิงจง ส่วนคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้นคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหลิงจงเช่นกัน
หลิงจงสองคนกำลังต่อสู้กัน คนอื่นไม่มีทางเข้าไปใกล้ได้เลย
ไป๋เซี่ยงกงมองไปทางจ้านจี้กว่านด้วยสีหน้าทนดูไม่ได้ ตรงประตูมีถังน้ำมันสนตกอยู่ข้างหน้า และถังน้ำมันสนยังสลักตราประจำตระกูลไป๋เซี่ยงเอาไว้อีกด้วย
ดี! ดี! ดี!
ดีมาก!
เผาบ้านตระกูลไป๋เซี่ยงของเขาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังใช้วัสดุของเขาอีก!
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ปล่อยจ้านจี้กว่านไป แต่พอมาถึงที่นี่ก็ถูกท่านผู้อาวุโสเจอซะก่อนจึงหยุดไว้ได้ทันการณ์
“ข้าจะคอยดูว่าใครบังอาจกล้าเผาบ้านข้า!” เกิดแสงสีทองประกายขึ้นที่ด้านหลังของไป๋เซี่ยงกง เนตรญาณสามดวงเปิดออกมาพร้อมกันแล้วปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ที่ไม่แพ้แรงกดดันของหลิงจงออกมาข้างหน้า
เขาพึ่งเดินไปได้ก้าวเดียวเท่านั้น เงาร่างที่กำลังปะทะกับท่านผู้อาวุโสก็ถอยกลับไป ราวกับว่าเมื่อเห็นพวกเขารีบมาแล้วรับรู้ว่าผิดหวังที่ไม่ได้เผาจ้านจี้กว่านในคืนนี้ก็หักใจแล้วถอยกลับไป
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
“หมาขโมย เจ้าจะวิ่งหนีไปไหน”
“…”
ทุกคนในตระกูลไป๋เซี่ยงรีบตามไป แต่เงาร่างนั้นหายเข้าไปในความมืดสนิท
“อย่าไล่ตามคนจนตรอก!” ท่านผู้อาวุโสเข้ามาขัดขวางไป๋เซี่ยงกงที่กำลังจะวิ่งตามไป
ไป๋เซี่ยงกงโกรธจนหน้าซีดตัวสั่น “หากตอนนี้ไม่ตามไป พรุ่งนี้เช้าคนอื่นจะมองตระกูลไปเซี่ยงเราอย่างไร”
“ท่านประมุขดูของสิ่งนี้ก่อนเถิด” ท่านผู้อาวุโสยื่นมือมาแบออกต่อหน้าเขา มีตราประจำตัวปรากฏในอุ้งมือของเขา
เมื่อเห็นตราประจำตัวนั้น ม่านตาของไป๋เซี่ยงเลี่ยก็หดตัวลง สีหน้ายิ่งทนดูไม่ได้
“ข้าหยิบออกมาจากตัวเขาตอนที่กำลังต่อสู้กันเมื่อครู่นี้ เกรงว่าตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้เปิดเผยตัวตนแล้ว” ท่านผู้อาวุโสเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
เขาบีบตราคำสั่งหรือตราประจำตัวนั้นแน่น ส่วนไป๋เซี่ยงกงก็ใจเย็นลง “เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ ถูกคนอื่นใส่ร้ายหรือเปล่า”
“ทั้งหมดนี้ ต้องการให้ท่านประมุขไปตรวจสอบให้แน่ชัด แต่ทว่า ท่านประมุขคิดว่ามีกี่คนที่สามารถครอบครองพลังของหลิงจงองครักษ์เงาได้” เมื่อสิ้นเสียงของท่านผู้อาวุโส เขาจึงหันตัวแล้วเดินไปจ้านจี้กว่านอย่างช้าๆ ราวกับว่านอกจากจ้านจี้กว่านแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
ตระกูลเป่ยเหมิน แววตาของไป๋เซี่ยงกงเย็นเยียบจนถึงที่สุด
………………………………