ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 370 จักรพรรดินีมือซุกซน
ถามว่ามีพี่สะใภ้ที่เผด็จการ แล้วรู้สึกอย่างไร
คำตอบของลู่เสวียนคือ จะบ้าตาย!
ภายใต้สายตาที่จ้องเขม็งของเจียงหลี เขาไปหาฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เพื่อแสดง ‘ความรักใคร่ชื่นชอบ’ ที่มีต่อเหวินเหรินชิ่งชิ่งด้วยตัวเอง และปรารถนาจะแต่งงานกับนาง
สำหรับเรื่องนี้ เป่ยเหมินเวยกลับไม่ได้แปลกใจอะไร ถึงอย่างไรในองค์หญิงทั้งสามพระองค์ ก็มีแต่เหวินเหรินชิ่งชิ่งที่ใกล้ชิดกับลู่เสวียนมากที่สุด ส่วนอีกสองพระองค์ ลู่เสวียนแทบไม่เคยเห็นพวกนางเลย
ด้วยความที่ลู่เสวียนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ก็เป็นธรรมดาที่เป่ยเหมินเวยต้องดีใจ แต่ว่าเขาพูดมาประโยคหนึ่ง ต้องถามความเห็นของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง
ในตอนที่เรื่องรู้ไปถึงตำหนักของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง นางรู้สึกสับสน แต่สุดท้ายก็แสดงท่าทีตอบรับการแต่งงานในครั้งนี้
“ฮ่าๆๆ ลูกเขย เจ้าจะต้องภูมิใจกับการตัดสินใจของเจ้าในวันนี้” ทันใดนั้นเป่ยเหมินเวยก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
“เหอะๆ” ลู่เสวียนยิ้มแห้ง
เป่ยเหมินเวยหุบยิ้ม แล้วตบไหล่เขาอย่างแรง พูดกำชับว่า “ดูแลชิ่งชิ่งให้ดี ถ้าทำให้นางอึดอัดใจ ข้าไม่มีทางยกโทษให้เจ้าแน่”
“…” ลู่เสวียนเงยหน้ามองเขา ขณะนั้นไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร
ไม่ว่าที่ผ่านมาฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวจะเคยทำอะไรไว้ แล้วก็ไม่ว่าตอนนี้เขาจะวางแผนอะไรไว้ อย่างน้อยความรู้สึกที่เขามีให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็เป็นของจริง
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ภายใต้การจ้องมองของเขา ลู่เสวียนพยักหน้า
“ดี! ข้าเชื่อเจ้า” เป่ยเหมินเวยยิ้ม แต่เขาเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วถามขึ้นมาอีกว่า “หลังจากกลับไปแล้ว เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร”
มาแล้ว!
ลู่เสวียนกะพริบตา แล้วทำท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน “ฝ่าบาทได้โปรดชี้แนะ”
แววตาที่ชั่วร้ายของเป่ยเหมินเวยเปล่งประกาย แล้วพูดกับลู่เสวียนว่า “หลังจากกลับไปแล้ว เจ้าก็ต้องยังแกล้งทำเป็นจงรักภักดีต่อจักรพรรดินี ทำให้นางเชื่อใจเจ้า แล้วแอบติดต่อกับคนเก่าแก่ของตระกูลลู่ ข้าคิดว่าส่วนมากพวกเขาคงไม่ยอมลดเกียรติอยู่ใต้เท้าของผู้หญิง เจ้าคือเลือดเนื้อของตระกูลลู่ พวกเขายิ่งต้องยอมสนับสนุนเจ้า”
“หลังจากนั้นล่ะ” ลู่เสวียนถามด้วย ‘ความใสซื่อ’
“งานแต่งงานของเจ้ากับชิ่งชิ่งถือเป็นข้ออ้างที่ไม่เลว ในคนที่ส่งเจ้าสาว ข้าจะส่งคนที่พิเศษหน่อยไปช่วยเจ้า”
หึ สายสืบอย่างนั้นหรือ
ลู่เสวียนยิ้มเยาะในใจ แต่กลับยังทำท่าทางฮึกเหิม
เป่ยเหมินเวยเห็นสีหน้าของเขา พอใจเป็นอย่างมาก “เจ้าทำแบบนี้ไปก่อน หลังจากรอโอกาสที่เหมาะสม เจ้าก็จะชิงบัลลังก์ของนางมาได้ ข้าจะส่งกองทัพใหญ่จากทางนี้ไปช่วยเจ้า ไม่ว่านางจะทำอย่างไร ก็ไม่มีทางทำอะไรได้”
“ขอรับ ข้าทราบแล้ว หลังจากที่ทำสำเร็จ ฝ่าบาทอย่าลืมสัญญาที่ว่าจะให้ของแก่ข้า” ลู่เสวียนเผยสีหน้า ‘โลภ’ ออกมา
“วางใจได้” เป่ยเหมินเวยยิ้มเพื่อปลอบโยน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” ลู่เสวียนลุกขึ้นยืน แล้วพูดกับเป่ยเหมินเวยว่า “อีกไม่กี่วัน ข้าก็จะเดินทางกลับแล้ว อยู่นานไป ข้ากลัวว่านางจะสงสัย”
“อืม ไม่เลว” เป่ยเหมินเวยไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าตอบรับ
“ส่วนนางกำนัลของข้าที่ถูกตระกูลไป๋เซี่ยงข่มขู่จนไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หวังว่านางจะกลับแคว้นไปอย่างปลอดภัย ถ้าหากยังอยู่ในเป่ยโหรว ฝ่าบาทได้โปรดแอบช่วยข้าสืบด้วย แล้วช่วยชีวิตนางไว้” ลู่เสวียนขอร้องด้วยความจริงใจ
“ได้” เป่ยเหมินเวยตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ลู่เสวียนจากไปอย่างพึงพอใจ หลังจากรอให้เขาจากไป เป่ยเหมินเจวี๋ยเดินออกมาจากข้างหลัง แล้วยืนอยู่ข้างหลังเป่ยเหมินเวย
“เสด็จพี่ เชื่อเขาได้จริงๆ หรือ” เป่ยเหมินเจวี๋ยถาม
เป่ยเหมินเวยยิ้มเยาะ “ในโลกนี้ มีชายใดบ้างที่ไม่ใฝ่หาอำนาจ แล้วมีชายใดบ้างยอมอยู่ใต้อาณัติของผู้หญิง”
เป่ยเหมินเจวี๋ยพยักหน้า แท้จริงเป็นเช่นนี้
“แล้วนางกำนัลคนนั้น” เขาถามอีก
เป่ยเหมินเวยขมวดคิ้ว “ตระกูลไป๋เซี่ยงนับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน ข้าดูพวกมันจ้องบัลลังก์ของข้ามานานแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ต้องสู้กับพวกมันสักตั้ง ทำให้พวกมันรู้ว่าทำไมฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวถึงแซ่เป่ยเหมิน ไม่ใช่ไป๋เซี่ยง! ส่วนนางกำนัลคนนั้น ลู่เสวียนมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อนาง ใกล้จะไปแล้ว ก็ยังไม่ลืมความปลอดภัยของนาง ผู้หญิงเยี่ยงนี้ ถ้าหากปล่อยไว้ เกรงว่าในอนาคตจะเป็นภัยต่อชิ่งชิ่ง ตระกูลไป๋เซี่ยงฆ่านางได้จะดีที่สุด ถ้าหากถูกพวกเราพบ ก็ฆ่านางซะ แล้วก็บอกลู่เสวียนว่าพวกเราช้าไปก้าวเดียว ช่วยชีวิตนางไว้จากเงื้อมมือของตระกูลไป๋เซี่ยงไม่ได้”
เป่ยเหมินเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ในที่สุดขบวนคณะทูตของราชวงศ์จยาเซียนก็เดินทางกลับ
จำนวนคนที่กลับไปไม่ต่างจากตอนมาเท่าไหร่ เพียงอย่างเดียวที่ต่างออกไปก็คือคณะขุนนางของเป่ยโหรวในตอนนั้น ได้กลายเป็นคณะส่งตัวเจ้าสาวขององค์หญิง
ขบวนเสด็จขององค์หญิงที่เหมือนดั่งคลื่นมหาชน ขบวนทรัพย์สินขององค์หญิงยาวเหยียดไม่ขาดสาย แล้วยังมีข้าทาสที่ติดตามไปอีกนับร้อย ทำให้ตอนไปครึกครื้นกว่าตอนมาเป็นอย่างมาก
ในตอนที่เดินทางออกจากชิ่งตู เหวินเหรินชิ่งชิ่งยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แล้วหันไปมองประตูเมือง ในที่สุดความสับสนในแววตาก็เปลี่ยนเป็นการตัดขาด
ตามที่เจียงหลีพูด ตั้งแต่วันที่นางออกไปจากที่นี่ จะไม่ติดต่อกับแผ่นดินนี้และคนทุกคนในแคว้นนี้อีก
โชคชะตาของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับนาง
ขบวนที่ยาวเหยียด ในระหว่างทางกลับที่แสนยาวไกล เดินทางมาได้เดือนกว่าๆ ตอนนี้เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว เหวินเหรินชิ่งชิ่งกลับค้นพบว่า ‘เซ่าจวิน’ หายไปแล้ว
ไม่เห็นร่างนางปรากฏในขบวนอีก เจวียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ นาง ก็คือเจวียนเอ๋อร์ตัวจริง
มีความสงสัย แต่นางไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่รอให้ไปถึงแคว้นนั้นที่นางไม่รู้จักมาก่อน นางก็จะรู้ว่าเซ่าจวินคือใครกันแน่
เจียงหลีที่หายไปจากขบวนอย่างเงียบๆ ไปทางลัดกับเงาตนหนึ่ง ทั้งสองแต่งตัวเรียบง่าย ก็เป็นธรรมดาที่ความเร็วจะไวกว่าขบวนใหญ่เป็นอย่างมาก
รอให้นางกลับไปถึงวังของราชวงศ์จยาเซียน ระยะเวลาที่ขบวนใหญ่เข้าสู่ซั่งตูยังห่างกันประมาณหนึ่งเดือน
ให้นางหายเหนื่อยจากการเดินทาง แล้วเปลี่ยนร่างกลับเป็นตัวเอง เจียงหลีมองตัวเองในกระจก รู้สึกไม่คุ้นนิดหน่อย
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ใช้ร่างของคนอื่นมานาน พอมองตัวเองแล้ว กลับรู้สึกไม่ชินเสียแล้ว”
“ฝ่าบาท ร่างนี้ดูดีที่สุดเพคะ” อวี้ซูคอยรับใช้อยู่ข้างๆ หลังจากตั้งแต่ที่เจียงหลีกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ไม่เคยหายไป
เจียงหลีเลิกคิ้ว “เจ้าก็ช่างพูด”
“ฝ่าบาท ฟ้ามืดแล้ว ให้หม่อมฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านได้พักผ่อนเถอะเพคะ” มั่วฉุนเดินเข้ามาจากด้านนอก พูดอย่างนอบน้อม
เจียงหลีมองนาง แล้วพูดกับนางว่า “ไม่ต้องแล้ว พวกเจ้าออกไปให้หมดเถอะ”
“เพคะ” อวี้ซูพยักหน้า แล้วลากมั่วฉุนออกจากไปห้องบรรทมของเจียงหลี
มั่วฉุนผิดหวังเล็กน้อย สีหน้าอึมครึม ถึงขนาดแววตาที่มองเจียงหลีมีความน้อยใจ แต่ทว่า ทั้งหมดนี้ก็ถูกเจียงหลีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
รอให้ในห้องบรรทมเหลือเพียงนางคนเดียว นางถึงพูดพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “เด็กผู้หญิงมีอารมณ์รัก ดูแล้วต้องหาคนที่เหมาะสมให้นางหน่อยแล้ว”
ผู้หญิง นางก็ไม่ชอบ นางชอบผู้ชายมากกว่า โดยเฉพาะชายรูปงาม
เช่น
ผมยาวที่พาดอยู่บนไหล่ถูกลมที่พัดมาทำให้ยุ่งเหยิง เจียงหลีกลับรู้สึกชอบ ร่างกายล้มลงไปด้านหลัง ตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง
มือเล็กๆ ที่คิดไม่ซื่อ ไต่ขึ้นมาตามคอเสื้อ นางพูดออดอ้อนด้วยน้ำเสียงโมโห “ตั้งนาน ท่านเพิ่งมาหาข้า”
เซ่าตี้กดมือที่ซุกซนของนางไว้ที่หน้าอกของตัวเอง แววตาที่แวววาวเปลี่ยนเป็น…