ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 379 ในที่สุดก็มาถึง
แววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ความตื่นเต้นที่รอคอยมานานหลายปี ในที่สุดก็มีหวังและนั่นก็ได้ทำลายความเงียบภายในใจของพวกเขาลง
“เจียงหลี ทุกวันนี้ดินแดนใต้หนานฮวงเกินกว่าครึ่งอยู่ในมือของท่าน ถ้าหากเป็นไปตามที่พวกเราคิด อีกไม่นานท่านก็สามารถรวบรวมแผ่นดินหนานฮวงได้และกลายเป็นจักรพรรดินีแห่งหนานฮวง เช่นนั้นการแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบันของการฝึกฝนพลังในหนานฮวงก็ถือเป็นความรับผิดชอบของท่าน”
เจียงหลีเงียบไม่พูดอะไร
ใต้หล้าก็คือของนาง ผู้คนก็คือประชาชนของนาง เป็นธรรมดาที่ภาระหน้าที่ทั้งหมดนี้คือของนาง จักรพรรดิไม่ได้เป็นกันง่ายเช่นนั้น
เป็นธรรมดาที่จะเลือกเป็นจักรพรรดิที่เฉลียวฉลาด มีความสามารถหรือเป็นจักรพรรดิที่ไร้ซึ่งคุณธรรมก็ได้
แต่เห็นได้ชัดว่าเจียงหลีไม่อยากเป็นจักรพรรดิที่ไร้ซึ่งคุณธรรม หนานฮวงเป็นของขวัญที่ลู่เจี้ยมอบให้นาง นางจะไม่ตั้งใจรักษามันไว้ให้ดีได้อย่างไร
“ถ้าหากฝึกฝนพลังที่อื่นแล้วผ่านขั้นหลิงจงไปได้แล้วกลับมาที่หนานฮวงล่ะ” เจียงหลีถาม
สามยอดปราชญ์ที่นั่งอยู่ทางขวาส่ายหัวและยิ้มแห้ง “ไร้เดียงสาจริงๆ โลกภายนอกกว้างใหญ่ยิ่งนัก การแสวงหาความแข็งแกร่งนั้นดึงดูดผู้ฝึกฝนทุกคน คนที่ออกไปจากหนานฮวงนั้นก็มีไม่น้อย แต่ไม่เคยมีใครกลับมา”
“…” เจียงหลีไม่มีอะไรจะพูดตอบ
บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่สามยอดปราชญ์ไม่จากหนานฮวงไปไหน ในขณะเดียวกันที่พวกเขาอยากจะเฝ้ารักษาดินแดนใต้หนานฮวงไว้เพราะกลัวว่าหลังจากที่ตัวเองจากไปแล้วจะตัดใจทิ้งทุกอย่างจากโลกภายนอกแล้วกลับมาที่นี่อีกไม่ได้
เจียงหลีพยักหน้า “เรื่องนี้ ข้าเห็นด้วย” อยากจะให้หนานฮวงกลับมายิ่งใหญ่ ไม่ใช่ต้องอาศัยคนมีฝีมือที่จากไปกลับมา แต่ต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบัน
“กลองศิลาจารึก แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจียงหลีถาม “ข้าเคยได้ยินว่าเมื่อนานมาแล้ว “ดินแดนทั้งเก้ารวมกันเป็นปึกแผ่นเรียกว่าต้าฮวง อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีกลองศิลาจารึกร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า กลองศิลาจารึกได้แตกออกเป็นเก้าเสี่ยงตกลงไปตามที่ต่างๆ ในต้าฮวง ดินแดนของต้าฮวงถูกแบ่งเป็นเก้าดินแดนตามกลองศิลาจารึกก็เลยเรียกว่าจิ่วฮวง นับแต่นั้นมาก็ไม่เห็นกลองศิลาจารึกอีกเลย ตำนานเล่าว่าบนหน้ากลองศิลาจารึกได้สลักอวิชชาเอาไว้ ถ้ารวบรวมกลองศิลาจารึกทั้งเก้าส่วนได้ครบ ก็จะสามารถทะลุมิติเข้าสู่โลกที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วหลุดพ้นจากจิ่วฮวง”
สามยอดปราชญ์พยักหน้า หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นตำนานที่แพร่หลายทั่วไปของกลองศิลาจารึก กลองศิลาจารึกแยกออกเป็นเก้าส่วนแล้วกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ ตอนนี้อยู่ในจิ่วฮวงก็ตั้งแต่หลังจากที่กลองศิลาจารึกปรากฏขึ้น ผู้คนในจิ่วฮวงถึงได้รู้จักการฝึกฝนพลังและหลังจากที่ผู้คนฝึกฝนพลังได้ กลองศิลาจารึกกลับค่อยๆ จมและหายไปใต้พื้นดิน”
“นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย” เจียงหลีตะลึง
นางเข้าใจแล้วว่าทำไมกลองศิลาจารึกถึงได้เป็นตำนานเรื่องเล่า
“กลองศิลาจารึกของหนานฮวงหายไปได้อย่างไร” เจียงหลีถาม
หนึ่งในสามยอดปราชญ์พูดว่า “หลายพันปีก่อนช่องทางในการฝึกฝนของหนานฮวงแข็งแกร่งเกรียงไกรเป็นอย่างยิ่ง พูดได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย หลิงจงและหลิงหวังมีอยู่ร่ำไป”
เจียงหลีตะลึง
“บางทีอาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของหนานฮวง ทำให้ซีฮวงและตงฮวงรู้สึกหวาดกลัว บางกองกำลังในสองดินแดนนี้ก็เลยร่วมมือกันใส่ร้ายและเปิดศึกทำสงครามกับหนานฮวง ท่ามกลางสงครามครั้งใหญ่ กลองศิลาจารึกของหนานฮวงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในตอนนี้ผู้มีฝีมือของหนานฮวงถึงได้รู้ว่าเป้าหมายของกองกำลังเหล่านั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่หนานฮวง แต่เป็นกลองศิลาจารึกของหนานฮวงต่างหาก” นักปราชญ์พูดจบก็ถอนหายใจออกมา
ไม่รู้ว่าถอนหายใจให้กับโชคชะตาของกลองศิลาจารึกหรือว่าความโลภของมนุษย์กันแน่
“ดังนั้น พวกเขาจึงแย่งชิงกลองศิลาจารึกกันอย่างนั้นหรือ แล้วหนานฮวงก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ ใช่หรือไม่” เจียงหลีกล่าวโดยสรุป
สามยอดปราชญ์พยักหน้าพร้อมกันและเกิดอารมณ์สับสนขึ้นมา
สามยอดปราชญ์ทางซ้ายพูดว่า “พวกเราก็เสียเวลาและพลังไปไม่น้อย กว่าจะสืบสาวราวเรื่องในประวัติศาสตร์จนเจอปมความอ่อนแอของหนานฮวงได้”
“พวกเราแก่แล้ว เรื่องนี้มีกำลังใจที่จะทำแต่ก็ไร้ซึ่งความสามารถ ดังนั้นก็ทำได้เพียงพึ่งท่านแล้ว” สามยอดปราชญ์ทางขวาเอ่ยขึ้น
“พวกท่านอยากให้ข้าตามหากลองศิลาจารึกกลับมา” เจียงหลีพูดจุดประสงค์ที่สามยอดปราชญ์อยากเจอนางออกมาเอง
ทั้งสามคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ไร้ซึ่งความเสแสร้งใดๆ
“ท่านมีฐานะเป็นถึงจักรพรรดินีแห่งหนานฮวง ตามหากลองศิลาจารึกกลับมาคือหน้าที่แรก และก็ถือเป็นเรื่องคับขันมาก” หนึ่งในสามยอดปราชญ์มองนางอย่างจริงจัง
เจียงหลีขมวดคิ้ว พูดเบาๆ ว่า “เรื่องคับขันหรือ” กลองศิลาจารึกได้หายสาบสูญไปนานนับพันปี ถึงแม้หนานฮวงจะตกต่ำแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ ทำไมพอมาถึงยุคของนางจึงได้กลายเป็นเรื่องคับขันไปได้
“เพราะว่าตามการคำนวณของพวกเรา ถ้าหากภายในร้อยปีนี้ ยังตามหากลองศิลาจารึกกลับมาไม่ได้ เกรงว่าในหนานฮวงจะไม่มีหลิงจงเกิดขึ้นมาอีก” สามยอดปราชญ์ยิ้มแห้ง
ทันใดนั้นเจียงหลีก็ตาโต สีหน้าดูจริงจังขึ้นมา “มีหลักฐานอะไร”
“ตามบันทึกประวัติศาสตร์ เมื่อหนึ่งพันปีก่อน หนานฮวงยังมีหลิงหวังปรากฏขึ้น แต่ห้าร้อยปีก่อนก็ไม่มีหลิงหวังปรากฏขึ้นอีกเลย ขั้นพลังที่สูงที่สุดก็คือหลิงจง”
“…” เจียงหลีสีหน้าเย็นชา
ถ้าหากว่าการหายสาบสูญของกลองศิลาจารึก ไม่เพียงแต่จำกัดขั้นพลังได้แล้วยังทำให้ขีดจำกัดต่ำลงล่ะก็ เช่นนั้นเรื่องนี้คงหนักมากจริงๆ!
“สำหรับกลองศิลาจารึกของดินแดนใต้หนานฮวง ท่านอาวุโสทั้งสามมีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่” เจียงหลีเงยหน้ามองทั้งสามคน
“เบาะแสที่แน่ชัดไม่มี กองกำลังที่เคยเข้าร่วมโจมตีหนานฮวงและเคยสัมผัสกับกลองศิลาจารึกก็ค่อยๆ หายไปแล้ว เพียงแต่พวกเราต่างก็คิดว่ากองกำลังเหล่านี้ไม่ได้หายสาบสูญไปไหนแต่กลับซ่อนอยู่ในที่ลับ คอยหาโอกาสแล้วลงมือ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เพียงแค่กลองศิลาจารึกของหนานฮวง แต่เป็นกลองศิลาจารึกของจิ่วฮวง!” สามยอดปราชญ์คนหนึ่งพูดขึ้น
“ดังนั้น ที่พวกเขาอยากจะรวบรวมกลองศิลาจารึกให้ครบ เบื้องหลังต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่างแน่” เจียงหลีคาดเดาสถานการณ์
ทั้งสามคนพยักหน้า
เจียงหลีหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะเริ่มสืบข่าวคราวที่เกี่ยวกับกลองศิลาจารึกตั้งแต่วันนี้แล้วรีบตามหากลองศิลาจารึกกลับมาโดยเร็ว”
“ช่วงเวลาที่ท่านอยู่ที่หนานฮวงนี้ ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรก็ต้องตั้งอกตั้งใจฝึกฝน ไม่เข้าใจตรงไหน ก็ถามพวกเราได้ตลอด ถึงแม้ในหนานฮวงจะไม่สามารถข้ามผ่านขั้นหลิงจงขึ้นไปได้ก็ตาม แต่ท่านต้องพยายามสะสมพลัง หลังจากที่ไปถึงดินแดนตะวันตกซีฮวงแล้ว ขีดจำกัดสลายไป พลังก็จะสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว” หนึ่งในสามยอดปราชญ์พูดขึ้น
เจียงหลีพยักหน้า “ขอบคุณท่านทั้งสามยอดปราชญ์มาก”
ทั้งสามมองหน้ากัน ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นมาแล้วประสานมือโค้งคำนับแสดงความเคารพต่อเจียงหลี
การทำความเคารพแบบนี้ทำให้เจียงหลีตกใจจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า “ท่านอาวุโสทั้งสาม พวกท่านทำอะไรน่ะ”
ทั้งสามกลับสีหน้าเคร่งขรึมและหนึ่งในสามยอดปราชญ์ก็พูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ประชาชนของหนาน ฮวงต้องพึ่งท่านแล้ว พวกเราทั้งสามคนไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงแค่นี้ แต่พวกเราให้สัญญาว่าจะเฝ้ารักษาหนานฮวงให้สงบสุขอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
กว่าพวกเขาจะสืบหาเรื่องราวเหล่านี้ในอดีตมาได้ เฒ่าชราแล้ว ไม่สามารถไปตามหากลองศิลาจารึกได้ว่าอยู่ที่ไหนได้ ความหวังในวันนี้ คงต้องฝากให้เจียงหลี แต่ว่าพวกเขาก็จะไม่ทำให้เจียงหลีห่วงหน้าพะวงหลัง
เห็นท่าทางที่จริงใจของทั้งสามคน เจียงหลีก็รู้สึกซาบซึ้ง พวกเขาคงสำนึกรักแผ่นดินนี้มากแน่ๆ ถึงได้ยอมเสียสละมากขนาดนี้ ความรู้สึกสงสารแผ่นดินก็สมแล้วที่เป็นนักปราชญ์
เจียงหลีไม่ได้ไปจากสถาบันไป๋หยวนดั่งที่ทั้งสามพูดไว้ เมื่อไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ก็ตั้งอกตั้งใจฝึกฝน ดังนั้นนางก็รอจดหมายลับจากหรงจิ่งและฝึกฝนอยู่ในสถาบันไป๋หยวนภายใต้คำชี้แนะของสามยอดปราชญ์
ระยะเวลาในการฝึกฝนผ่านไปไวมาก
ระยะเวลาครึ่งปีผ่านไป จดหมายลับของหรงจิ่งก็มาถึงราชวงศ์จยาเซียนแล้วจากนั้นก็ตกอยู่ในมือของเจียงหลี
…………………………….