ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 97 เด็กหนุ่มที่งดงาม!
ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 97 เด็กหนุ่มที่งดงาม!
“เด็กสาวนี้มีป้ายที่ได้รับเลือกจากสถาบันไป๋หยวน”
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์!”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ป้ายที่ได้รับเลือกจากสถาบันไป๋หยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ศิษย์เอกอัจริยะทั้งเจ็ดส่งมอบออกไป ในมือทุกคนมีเพียงสิบแผ่น คนธรรมดาทั่วไป จะสามารถเข้าตาพวกเขาได้หรือ”
“กล่าวได้ว่า เจ้าโจวเย่าจู่เตะโดนแผ่นเหล็กแล้วงั้นหรือ”
“……”
เสียงกระซิบโต้แย้งที่ลอยมาจากรอบทิศ ทำให้โจวเย่าจู่โกรธจนแดงก่ำไปทั้งหน้า
เจียงหลียิ่งยิ้มสดใสแพรวพราวกว่าเดิม ยิ่งทำให้แก้มของเขายิ่งร้อนระอุขึ้นไปอีก!
“เหมือนโดนตบหน้าเลยใช่หรือไม่ เจ็บมากไหม ตราบใดที่มีโจวเย่าจู่ ข้าก็ไม่มีวันได้ก้าวขาผ่านประตูใหญ่แห่งสถาบันไป๋หยวนเลยงั้นหรือ” น้ำเสียงเนือยๆ ของเจียงหลี แต่เต็มไปด้วยความขี้เล่น
คำพูดของนาง คมดั่งมีดที่ทิ่มแทงบนร่างของโจวเย่าจู่
“เจียงหลี! เจ้าขโมยป้ายจากที่ใดมา!” โจวเย่าจู่ตะโกนถามด้วยความกังวล
แน่นอน ฟังคำพูดที่หลอกลวงตัวเองของเขา ผู้คนมองไปที่เขาราวกับมองคนปัญญาอ่อนก็ไม่ปาน ขโมยมางั้นหรือ ศิษย์เอกอัจริยะทั้งเจ็ดมอบป้ายให้กับผู้ใด พวกเขาจะไม่รู้งั้นหรือ ผู้ใดเล่าจะกล้าขโมย ถึงแม้ว่าจะขโมย แล้วเข้าไปที่สถาบันไป๋หยวน นั่นไม่ได้เป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ
โจวเย่าจู่ออกความคิดนี้อย่างรีบเร่งเพื่อต้องการกอบกู้หน้าของตน กลับกลายเป็นพูดในสิ่งที่ไม่มีสาระเช่นนี้ออกมา!
เจียงหลีค่อยๆ ส่ายหัว กล่าวด้วยความเวทนา “โจวเย่าจู่เจ้าช่วยรักษาหน้าให้พ่อเจ้าหน่อยได้ไหมเล่า โตเช่นนี้แล้วแต่กลับพูดอะไรที่หาสาระไม่ได้ออกมา เจ้าทำให้บิดาของเจ้าต้องขายหน้า”
เขาอยากใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา แต่ราบกับค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าเศร้า ดูเหมือนตัวเขาเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจียงหลี!
เพราะเหตุใด ทำไมเจียงหลีถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้มากเช่นนั้น
ภายในใจของโจวเย่าจู่มีความสั่นกลัว
“โจวเย่าจู่ต่อจากนี้เจ้าอย่ามายั่วยุข้าอีก มิเช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าจะมีอีกสักกี่หน้า ก็ไม่เพียงพอให้ข้าตบเล่น” เจียงหลียิ้มมุมปาก แต่รอบยิ้มนั้นเยือกเย็นไร้ที่ติ
หลังจากที่นางเตือนเขาด้วยรอยยิ้มแล้ว เจียงหลีหันหลังกลับ เดินไปท่ามกลางสายตาของผู้คน แล้วเดินไปทางซ้าย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นทางด้านนี้ ได้สร้างความตกใจให้กับผู้คนที่อยู่ในสถาบันไป๋หยวนตั้งแต่ต้น
เพียงแต่ ขอแค่ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรใหญ่โต ความบาดหมางส่วนตัวเช่นนี้ พวกเขาจะไม่เข้ามายุ่ง
ขณะที่เจียงหลีเดินไปถึงหน้าผู้ตรวจสอบ ยื่นป้ายในมือให้กับเขาแล้ว คนผู้นั้นรับไปและมองอย่างถี่ถ้วน ชั่วขณะหนึ่ง เขาหรี่ตามองด้วยความสงสัย แล้วมองเจียงหลีอย่างตกตะลึงปราดหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ โค้งคำนับให้นางทีหนึ่ง
สิ่งนี้ สำหรับผู้ที่อยู่ไกลนั้น อาจจะเห็นไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ แต่ทว่า เจียงหลีกลับเห็นได้อย่างชัดเจน
“ที่แท้ก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ถูกเลือกจากท่านอาจารย์หนาน เชิญเข้ามาเถิด!” หลังจากที่ผู้นั้นกล่าวจบ ก็ได้ยื่นป้ายคืนให้กับเจียงหลี ท่าทีของเขาแปรเปลี่ยน มีความเกรงใจต่อนางมากขึ้นกว่าเมื่อครู่อยู่มากโข
ท่านอาจารย์หนาน!
เจียงหลีคนนี้ในมือของนางกลับมีป้ายจากท่านอาจารย์หนาน!
ผู้คนต่างตื่นตกใจ
เพียะ!
โจวเย่าจู่ยืนนิ่งกับที่ดุจไก่ตาแตก หลังจากที่ฟังประโยคนี้จบ ราวกับว่าตนได้ถูกตบหน้าอีกครั้ง ช่างเจ็บร้อนไปทั้งหน้า จนทำให้เขาต้องหาที่หลบซ่อน
นังเจียงหลี เจ้ามันสมควรตาย! เจียงเฮ่า เจียงหลี ตระกูลเจียง! ล้วนสมควรตาย! เขาส่งเสียงคำรามในใจด้วยความกริ้วโกรธ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เขาเสียหน้าไปแล้วได้
ขอเพียงเป็นคนที่เข้าใจเกี่ยวกับสถาบันไป๋หยวนล้วนแต่จะรู้ ป้ายที่อยู่ในมือของศิษย์เอกอัจริยะทั้งเจ็ด ถึงแม้จะมีถึงคนละสิบแผ่น แต่ว่า ไม่ใช่ว่าสามารถมอบให้ผู้อื่นจนหมดได้
และในบรรดาศิษย์เอกนี้ ป้ายของหนานอู๋เฮิ่น ยอดศิษย์เอกอัจริยะทั้งเจ็ดเป็นป้ายที่ได้รับมายากที่สุด
บางครั้ง เขาไม่แม้แต่จะส่งมอบป้ายออกไปเลย
แต่เจียงหลี สาวน้อยเสื้อดำคนที่ภายนอกดูอ่อนแอไม่อาจต้านลมต้านฝนได้ คนที่เป็นบุตรหลานของผู้ต้องโทษ กลับได้รับเกียรติยศนี้!
เมื่อเทียบความประหลาดใจระหว่างคนนอกภายนอกกับผู้ที่ตรวจสอบป้ายนั้น บัดนี้ ในใจของพวกเขาดั่งมีคลื่นทะเลซัดไปมา
เหตุเพราะว่า ก่อนหน้าเจียงหลี ก็มีคนหนึ่งที่ในมือของเขามีป้ายจากท่านอาจารย์หนาน ได้เดินเข้าสู่สถาบันไป๋หยวน จากเดิมที่คิดว่าครั้งนี้มีคนหนึ่งที่ได้รับป้ายจากท่านอาจารย์หนานซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่ายังมีคนที่สอง!
ไม่ว่าผู้คนจะประหลาดใจแค่ไหน และไม่ว่าโจวเย่าจู่จะไม่พอใจเพียงใด แต่เมื่อเจียงหลีได้รับป้ายแล้ว ก็ได้ไพล่มือไว้ข้างหลัง ก้าวเดินด้วยความสบายใจ พร้อมเดินเข้าสถาบันไป๋หยวนอย่างเชื่องช้า
เรื่องของโจวเย่าจู่ นางไม่ได้สนใจแล้ว
การปรากฎตัวของชายผู้นี้ เพียงแค่มากระตุ้นความทรงจำของนางที่มีต่อเจียงเฮ่าเท่านั้น
แต่ทว่า เมื่อใจของนางสงบลง นางกลับนึกถึงรายละเอียดของเรื่องราวที่ประสบเมื่อครู่ ถ้านางไม่ได้รับป้ายจากท่านอาจารย์หนาน ก็ต้องทำการทดสอบพรสวรรค์เนตรญาณก่อนหรือไม่ ถึงจะสามารถเข้ามาที่สถาบันไป๋หยวนได้
เมื่อปลดปล่อยขีดจำกัดของเนตรญาณ เช่นนั้นตำนานเรื่องเนตรญาณของนาง……
ไม่ได้การล่ะ เมื่อกลับไปแล้ว ต้องลองถามลู่เจี้ย ว่ามีวิธีซ่อนพลังเนตรญาณหรือไม่ มิเช่นนั้น เมื่อข่าวสารได้รั่วไหลออกไป จะทำให้มีปัญหาตามมาได้ เจียงหลีขมวดคิ้วคิดคำนึง
นางรู้ว่าตอนนี้กำลังของนางยังน้อย ต้องการเวลาที่มากกว่านี้ในการฝึกฝน ไม่เพียงแต่ฝึกฝนเป็นหลิงซือ ยังต้องฝึกเป็นเนี่ยนซืออีกด้วย
แค่เวลาการฝึกฝนก็ยังไม่เพียงพอ นางจะเอาเวลาว่างที่ไหนมายุ่งเรื่องพวกนี้เล่า
“ศิษย์น้องท่านนี้ โปรดตามข้ามา” เสียงที่แทรกเข้ามากระทันหัน เข้ามารบกวนความคิดของเจียงหลี
นางเงยหน้ามองไป เห็นเป็นชายที่มีอายุสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหน้านางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางยกคิ้วขึ้น จ้องมองด้วยสายตาที่สงสัย
ชายผู้นั้นอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ขอเพียงเป็นลูกศิษย์ที่ถือป้ายเข้ามา ล้วนแล้วแต่ต้องได้รับการทดสอบเพื่อเข้าสถาบัน เจ้าดูที่ทางนั้น……”
เจียงหลีมองไปทางที่เขาใช้นิ้วชี้ไป นางเห็นทางเข้าที่มีขนาดใหญ่ราวกับถ้ำ
“ที่นั่น ทางเข้าเป็นหุบเขาโยวโยว หลังจากเข้าไปแล้ว เจ้าจะเห็นหุบเขาที่ใหญ่มหึมาลูกหนึ่ง ส่วนทางเข้าอีกทาง เป็นสำนักหลิงอู่ที่อยู่ตรงข้ามกับหุบเขา ทุกครั้งที่รับสมัครศิษย์ใหม่ ไม่เพียงแค่พวกเราสถาบันไป๋หยวนเท่านั้นที่มีอัจริยะยอดวีรบุรุษ สำนักหลิงอู่ก็มีเช่นกัน ดังนั้น หุบเขาโยวโยวนี้ก็จะเป็นสถานที่แห่งการทดสอบของพวกเจ้า” รุ่นพี่ที่สถาบันไป๋หยวนแนะนำอย่างละเอียด
“จะทดสอบเช่นไรหรือ เจียงหลีถามด้วยความสนใจ”
ศิษย์พี่เงียบไปครู่หนึ่ง เขากล่าวเตือน “ขณะทดสอบ อนุญาตให้ลงมือได้จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ สถาบันไป๋หยวนของเรากับสำนักหลิงอู่ แม้ว่าล้วนจะอยู่ซั่งตู แต่ก็มีการแข่งขันกัน เมื่อศิษย์น้องเข้าไปยังหุบเขาโยวโยวนี้แล้ว ต้องระมัดระวังผู้คนจากสำนักหลิงอู่ ส่วนการทดสอบ ขอเพียงแค่เจ้าอยู่ในนั้นได้อย่างปลอดภัยสักเจ็ดถึงแปดวัน ก็ถือว่าผ่านการทดสอบแล้ว ”
“ขอบพระคุณอย่างยิ่ง” เจียงหลีก้มหน้าหลบแสงที่ผ่านไป
ขณะที่กล่าว ทั้งสองได้มาถึงยังหน้าทางเข้าหุบเขาโยวโยว
รุ่นพี่ที่สถาบันไป๋หยวนกล่าว “ข้ามาส่งเจ้าได้เท่านี้แหละ แต่ศิษย์พี่ขออวยพรให้ศิษย์น้องผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
เจียงหลีก็ไม่ล่าช้า ก้าวขาเดินเข้าไปทางเข้าของหุบเขาโยวโยว
เมื่อเข้าไป นางมองไม่เห็นอะไร ทางเดินนั้นเป็นทางมืดๆ ที่เชื่อมต่อกัน นางเดินตามทางเดินนั้นไป สายตาพร่ามัว มองไม่เห็นอะไร
แต่ว่า ขณะที่นางใกล้จะเดินทะลุออกไปได้แล้ว แต่นางก็ต้องหยุดฝีเท้าของนางลง
เพราะว่า ที่ทางออกนั้น มีคนๆ หนึ่งที่ยืนหันหลังขวางนางไม่ให้เดินไปต่อได้
เจียงหลีขมวดคิ้ว ภายใต้แสงไฟนั้น นางรู้สึกว่าเงานั้นกำลังส่องแสง “นี่ คนข้างหน้านั้นน่ะ หลบทางหน่อย”
เด็กหนุ่มที่ขวางทาง ได้หันมาในทันที และมองไปที่เจียงหลี
แต่ว่า ขณะที่เขาหันหลังมา เมื่อเจียงหลีมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว เจียงหลีทนไม่ไหวที่จะอุทานในใจว่า ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาเหลือเกิน!