รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 7 สำนักไท่หัวกำลังจะรุ่งโรจน์แล้ว
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 7 สำนักไท่หัวกำลังจะรุ่งโรจน์แล้ว
บทที่ 7 สำนักไท่หัวกำลังจะรุ่งโรจน์แล้ว
หลี่จิ่วเต้าทำอาหารหกจานกับซุปปลา แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ยกขึ้น ลวี่เหลียงก็จัดการยกจานไปที่โต๊ะเสียแล้ว
กำลังวังชาของท่านผู้เฒ่านั้นถือว่าดีทีเดียว
หลี่จิ่วเต้านิ่งอึ้ง ลวี่เหลียงบาดเจ็บหนักที่ใดกัน เขาวิ่งได้ไวกว่าคนหนุ่มสาวเสียอีก
“ท่านผู้เฒ่าดื่มหรือไม่?”
หลี่จิ่วเต้านำเหยือกและจอกมา ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ
นี่คือสุราที่เขาหมักเอง และมักดื่มจอกสองจอกเป็นประจำ
ลวี่เหลียงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิเคยจิบสุราเลย”
“เช่นนั้นเอง”
หลี่จิ่วเต้าไม่บังคับ เขาเปิดจุกของเหยือกสุราและเทลงไปในจอก
สุรานั้นใสดุจกระจก ขณะที่รสชาติกลมกล่อมของมันก็อบอวลไปทั่ว ความรู้สึกที่ซับซ้อนของลวี่เหลียงเปลี่ยนไปในทันที
‘สุราที่ผู้อาวุโสดื่มนั้นเป็นสุราธรรมดาแน่หรือ?’
ลวี่เหลียงเสียใจจนลำไส้บิดเป็นสีเขียวแล้ว!
กลิ่นสุราหอมกรุ่นโชยมา ทำเอาชายชรารู้สึกสบายไปทั่วทั้งร่างกาย ขณะที่พลังปราณในตัวก็เริ่มไหลโคจรอย่างรวดเร็ว อีกทั้งความแข็งแกร่งของเขายังเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย!
‘แค่ได้กลิ่นสุรา พลังจิตของลวี่เหลียงกลับเพิ่มพูนขึ้น กระทั่งความแข็งแกร่งยังเพิ่มขึ้นตามด้วย หากได้ดื่มสุราแบบนั้นเขา มิใช่ว่าเขาจะ…?’
“อะ…เอ่อ ท่าน…ข้าขอจิบมันสักหน่อยได้หรือไม่?”
ใบหน้าของชายชราแดงซ่าน เพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าไม่ดื่มสุรา แต่ชั่วพริบตาเดียวกลับขอผู้อาวุโสดื่มเสียแล้ว เป็นอะไรที่น่าอับอายยิ่ง
“ฮ่า ๆ”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยตอบรับ “ได้แน่นอน”
เขาเทให้ลวี่เหลียงหนึ่งจอก
“ขอบคุณท่านมาก!”
ลวี่เหลียงตื่นเต้นเสียจนยกจอกคารวะหลี่จิ่วเต้า จากนั้นก็ยกจอกขึ้นจิบทันที
ฟู่ว ~
เมื่อสุราเข้าไปในกระเพาะ ลวี่เหลียงพลันรู้สึกเหมือนกับตนดื่มลาวาลงไป ภายในท้องเดือดพล่านทันที อวัยวะภายในของดูเหมือนกับกำลังถูกเผาผลาญ ผิวหนังของกลายเป็นแดงก่ำอย่างรวดเร็ว!
“เลอะเทอะ…ข้าจะดื่มสุราของผู้อาวุโสผู้ทรงพลังได้อย่างไร”
จากนั้น ชายชราก็ล้มลงบนโต๊ะส่งเสียงดัง ‘ปัง’ และเมาในจิบเดียว สุราจะแรงเกินไปแล้ว!
“ท่านผู้เฒ่าดื่มเยอะไม่ได้…!”
หลี่จิ่วเต้านิ่งอึ้ง ก่อนจะเติมส่วนของตนเองแล้วดื่มต่อ ที่ลวี่เหลียงบอกว่า เขาไม่เคยดื่มมาก่อนคงจะเป็นเรื่องจริง
“ถ้าดื่มไม่ได้ก็อย่าดื่มสิ แต่ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจได้ละนะ ใครจะหยุดความยั่วยวนใจต่อสุราที่ข้าหมักเองได้เล่า”
ทักษะการหมักสุราของเขาก็อยู่ใน ‘ขั้นเทวะ’ และมันสามารถเทียบได้กับเซียนหมักเอง แน่นอนว่ามีน้อยคนที่สามารถหักห้ามใจไว้ได้
“ท่านผู้เฒ่าไม่มีโชคเลยเสียจริง อาหารยังไม่ทันได้แตะต้องด้วยซ้ำ แต่ช่างเถอะ ไว้ตอนเขาตื่น ข้าค่อยทำอาหารให้อีกรอบแล้วกัน”
จากนั้นหลี่จิ่วเต้าก็พยุงลวี่เหลียงขึ้นไปนอน เมื่อห่มผ้าห่มให้อีกฝ่ายเสร็จแล้ว เขาก็หันมากินดื่มคนเดียวต่อ
…
ณ หุบเขาเขียวใกล้กับชิงซาน
กลุ่มนายพรานยืนล้อมศพพยัคฆ์ตัวใหญ่ที่ใหญ่เท่าเนินเขา ด้วยสีหน้าต่างเป็นกังวล
“เสืออะไรกันนี่ มีดตัดไม่ขาด ขวานแยกศพมันไม่ได้ แถมยังหนักยังกับอะไรดี!”
เสือยักษ์ตัวนี้คือพยัคฆ์หลากสีที่หลี่จิ่วเต้าสังหารด้วยศรธนูลูกเดียว
เหล่านายพรานต้องการนำเสือยักษ์กลับไป แต่พวกเขาทำไม่ได้
พยัคฆ์หลากสีนี้หนักพอกันกับภูเขาไท่ และต่อให้เรียกนายพรานทั้งเมืองมา พวกเขาก็ไม่สามารถย้ายศพมันได้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาอยากแยกส่วนพยัคฆ์หลากสีแล้วนำชิ้นส่วนของมันกลับไป แต่ทั้งดาบและขวานของพวกเขาถูกแยกส่วนแทน ในขณะที่พยัคฆ์หลากสีไม่เป็นอะไรเลย ซ้ำแล้วเนื้อของมันยังแข็งพอ ๆ กับเหล็กและทอง!
“เสือตัวนี้ดูชั่วร้ายไปหน่อยนะ ลืมมันไปเถอะ!”
นี่เพราะพวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด จึงไม่กล้าทำอะไรต่อ จากนั้นเหล่านายพรานก็พากันแยกย้ายออกจากหุบเขาเขียวทีละคน ปล่อยร่างของพยัคฆ์ตัวใหญ่ไว้ที่เดิม
…
ณ ภูเขาไท่หัว
สถานที่ซึ่งสำนักไท่หัวตั้งอยู่
มีเด็กหนุ่มสาวมากมายรวมตัวกันอยู่ที่ตีนเขา และพวกเขากำลังรอรับการประเมินจากสำนักอยู่
นี่เป็นเพียงการประเมินแรกเริ่มเท่านั้น ไม่ใช่การประเมินอย่างเป็นทางการ
มีเพียงผู้ผ่านการประเมินแรกเริ่มเท่านั้นจึงจะมีสิทธิในการประเมินอย่างเป็นทางการ
เมื่อมีผู้มาเข้าร่วมมากเกินไปและความสามารถก็ไม่เท่ากัน ทำให้สำนักไท่หัวต้องจัดประเมินคัดกรองเบื้องต้น ก่อนประเมินอย่างเป็นทางการในแต่ละครั้ง
“ระดับหก ขอบเขตรวบรวมปราณ อืม ผ่าน”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าและมองไปยังหินทดสอบข้างกายเขา ก่อนจะบันทึกผู้ผ่านบททดสอบเอาไว้
มีแค่ผู้ที่อยู่ระดับห้าขอบเขตรวบรวมปราณขึ้นไปเท่านั้น ที่จะสามารถผ่านการคัดกรองและเข้าร่วมการประเมินอย่างเป็นทางการได้
อย่างไรเสีย สำนักไท่หัวก็ถือเป็นสำนักใหญ่ หาใช่สำนักเล็ก ๆ ไม่ และอันที่จริง เพียงอยู่ขอบเขตรวบรวมปราณระดับห้า ก็สามารถกลายเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักเล็ก ๆ ได้แล้ว
ทว่าสำหรับสำนักไท่หัว มันเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น
“ระดับสาม ขอบเขตก่อกำเนิดวิญญาณ ไม่เลว!”
สีหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ ขอบเขตก่อกำเนิดวิญญาณระดับสามถือว่าไม่ต่ำเลย ซ้ำยังถือเป็นของต้นกล้าที่ดียิ่ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเห็นขอบเขตของบุคคลถัดไปปรากฏขึ้นบนหินทดสอบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“ระดับหนึ่ง…ขอบเขตประสานวิญญาณ!”
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว! สายตาของชายคนนั้นจ้องมองหินทดสอบด้วยความสงสัยว่าเขาดูผิดไป
“อันใดนะ!”
“ขั้นขอบเขตประสานวิญญาณอย่างนั้นหรือ!?
เสียงอุทานส่งต่อกันเป็นทอด ๆ ทุกคนต่างมองไปยังผู้ทดสอบด้วยสีหน้าตกตะลึง
นางเป็นดรุณีที่มีสีผิวดุจหิมะ ใบหน้าบรรจงประณีตดูอ่อนหวานและงดงามในเวลาเดียวกัน ร่างกายสูงสง่าและทรวดทรงเองก็ล้วนอรชรสมบูรณ์แบบ ความสูงศักดิ์ที่ฉายชัดออกมาจากตัวตนนาง นับว่าหาตัวจับได้ยากยิ่ง ซ้ำยังหาใครเทียบได้ไม่
“ขอบเขตประสานวิญญาณเป็นการรับเอาปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย นี่คือขอบเขตที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้โดยความช่วยเหลือจากผู้อื่น และมีเพียงการพึ่งพาตนเองเท่านั้นที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตของมันได้! แต่นางอายุเท่าไหร่กัน? ไยถึงสามารถรวบรวมปราณและวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จแล้ว?”
“ท่าทางอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้นเอง บางทีนี่อาจจะเป็นผู้ฝึกตนที่เด็กที่สุดเลยก็ว่าได้!”
ทุกคนต่างตกตะลึง…สิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้นเองหรือ? อายุเท่านี้นับว่าเด็กเกินไปจริง ๆ
ผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงและน่าทึ่งที่สุดในบูรพาทิศ ‘เซิงหนาน’ ก็เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณในตอนอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้นเอง!
ยี่สิบปีก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในบูรพาทิศตกอกตกใจแล้ว
พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเซิงหนาน ซึ่งสามารถเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณได้ในอายุแค่สิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ เด็กสาวตรงหน้าซึ่งเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณ ยังไม่เคยแม้แต่เหยียบย่างเข้าสำนักใดเลย…!
ขอบเขตประสานวิญญาณเป็นขอบเขตที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง และมันเป็นการยากที่จะบรรลุถึงขอบเขตนี้ได้
เดิมที พรสวรรค์ของเซิงหนานนั้นนับว่าน่าตื่นตาใจอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเขาเข้าสู่สำนักหยวนอี เขาก็หมกมุ่นกับการบ่มเพาะของสำนัก และเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณด้วยอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น!
หากไร้ซึ่งกุญแจการบ่มเพาะและวิถีการบ่มเพาะของหยวนอี ต่อให้เซิงหนานต้องการเข้าบรรลุขอบเขตประสานวิญญาณ ก็คงไม่อาจทำได้จนกว่าจะอายุยี่สิบห้าเป็นอย่างน้อย!
มันเป็นการยากจะบรรลุขอบเขตและต่อให้มีพรสวรรค์เก่งกาจเพียงใด ก็ยังต้องพึ่งพาทรัพยากรการบ่มเพาะเป็นตัวช่วยอยู่ดี
หยวนอีคือสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในบูรพาทิศ เคียงข้างกับสำนักไท่หัวและสำนักเมฆาลับฟ้า
“ฮ่า ๆ รีบไปแจ้งเจ้าสำนักเร็วเข้า! สำนักไท่หัวของเรากำลังจะรุ่งโรจน์แล้ว!”
ชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นปีติ ก่อนจะขอให้ผู้ช่วยรีบไปแจ้งแก่เจ้าสำนัก
ดรุณีน้อยผู้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณทั้งที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักไท่หัว หากนางเข้าร่วมกับสำนักไท่หัวแล้ว ด้วยวิถีการบ่มเพาะและบำเพ็ญเพียรของสำนักไท่หัว อนาคตของดรุณีน้อยผู้นี้ย่อมไม่อาจคาดเดาได้แล้ว!
“หยวนอีเอาแต่โม้เรื่องเซิงหนาน ฮ่า ๆ ข้าอยากจะเห็นนักว่าในอนาคตพวกเขาจะยังกล้าพูดโม้ต่อหรือไม่!”
ชายวัยกลางคนมองไปยังเด็กสาวแล้วหัวเราะร่วน ราวกับว่าเห็นสำนักไท่หัวติดปีกบินขึ้นฟ้า อยู่เหนือสำนักอื่นไปแล้ว
ดรุณีน้อยก็หัวเราะขบขันเช่นกัน รอยยิ้มของนางงดงามดุจบุปผาแย้มบาน นางรู้ดีว่าการก้าวเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณตั้งแต่ยังเด็กหมายความว่าอย่างไร
มันหมายความว่าในอนาคต นางจะกลายเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักไท่หัวอย่างไรเล่า!