ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 669 จ้องมอง (ต้น)
เดิมทีเพียงแค่อยากจะแกล้งสืออีเหนียงเล่น แต่รอยยิ้มที่ร่าเริงของนางทำให้สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนใจแคบอย่างไรอย่างนั้น
“ก็แค่เปิดโลกทัศน์ให้เจ้า” เขายิ้มพลางจับมือสืออีเหนียง “ช่วงที่ข้าไม่อยู่เรือน ที่จวนมีเรื่องอันใดหรือไม่” สืออีเหนียงมองเขาแล้วยิ้มพราย
สวีลิ่งอี๋มีความเป็นผู้นำ แม้ว่าจะดูซับซ้อนแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็มีความเที่ยงตรงและอยู่ในขอบเขต
นางนั่งลงข้างเขาตามความต้องการของเขา
“ในเรือนไม่มีเรื่องอันใด ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ยุ่งกับการเตรียมการสำหรับตรุษจีน” น้ำเสียงของสืออีเหนียงนุ่มนวลกว่าเดิม “ข้าให้เจียงซื่อมาช่วยงาน เจียงซื่อฉลาดมีไหวพริบ ทั้งคิดในใจและใช้ลูกคิดได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าตอนอยู่ที่สกุลเดิมเคยได้เรียนรู้มาก่อน ทำได้รวดเร็ว ข้าคลายกังวลลงไปไม่น้อย”
สวีลิ่งอี๋บีบมือสืออีเหนียง พูดเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ที่เจ้าต้องจัดเตรียมงานตรุษจีนนั้นไม่ง่ายเลย แต่ว่าพวกเขาพึ่งจะแต่งงาน เวลานี้ในปีหน้า ไม่แน่ครอบครัวเราอาจจะได้จัดงานมงคลอีก บางเรื่องเจ้ายังต้องคอยดูแลให้มาก พอผ่านไปอีกสักสองสามปีค่อยมอบเรื่องในเรือนให้เจียงซื่อดูแลก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียนางก็พึ่งเข้าจวนมา บางเรื่องก็ต้องดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
สืออีเหนียงมีแผนของนางเอง
ต่อให้เจียงซื่อทำได้ไม่ดี เช่นนั้นตัวเองจะต้องดูแลเรื่องในเรือนตลอดไปโดยไม่สามารถวางมือได้อย่างนั้นหรือ
หากเจียงซื่อเป็นเด็กกตัญญู ย่อมต้องรู้จักการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง หากเจียงซื่อมีความสนใจ ต่อให้นางไม่วางมือ เจียงซื่อก็จะหาวิธีแย่งมันมาจากนางเอง ไม่สู้รีบเอาเจียงซื่อมาไว้ข้างกายตั้งแต่เนิ่นๆ นางจะได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่แน่ ถ้าหากนางมีความอดทนพอ พวกนางทั้งสองคนก็อาจจะเข้ากันได้ดี!
บางเรื่องจะต้องมีคนนำขึ้นมาก่อน
“ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” สืออีเหนียงปฏิเสธความหวังดีของสวีลิ่งอี๋ “ค่อยๆ เรียนรู้อยู่ข้างกายข้า เมื่อถึงเวลาต้องรับมือต่อ จะได้ไม่ต้องตื่นตระหนกเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฟังจากคำพูดของจิ่นเกอแล้ว คราวนี้ท่านโหวได้พบผู้คนมากมาย ได้เจอสหายเก่าในต่างแดน มีความสุขใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นว่านางไม่คุยเรื่องนั้นต่อ สวีลิ่งอี๋ก็รู้ว่านางได้ตัดสินใจแล้ว
สืออีเหนียงใจดีกับผู้อื่นเสมอมา ไม่ใช่คนที่รู้จักแต่ยอมให้เท่านั้น ในช่วงเวลาสำคัญก็ยังมีความคิดเป็นของตัวเอง
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้านั้นดียิ่งนัก
เขาไม่อาจเมินคำพูดของนางได้ เล่าให้นางฟังถึงประสบการณ์ระหว่างทางตามความต้องการของนาง “ก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจไปเจอ แต่เพราะว่าพาจิ่นเกอไปด้วย จะประมาทเรื่องอาหารและเสื้อผ้าไม่ได้ เมื่อทุกคนรู้ว่าข้าจะไปเป่าติ้ง ก็เลยมาพบปะกันก็เท่านั้น ในใจข้าเองก็เป็นกังวล หลายปีมานี้ คนที่รู้ก็เพียงแค่รับรู้ แต่ไม่ได้มาหา ส่วนคนที่ไม่รู้ก็รีบมาหา ข้าเองก็ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยพบปะสักหน่อย” ขณะที่เขาพูด รอยยิ้มของเขาชัดเจนยิ่งกว่าเดิม “แต่จิ่นเกอนี่สิ เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน…”
ในเมื่อเป็นสหายเก่าก็ย่อมต้องรู้จักเขาดี หากไม่รู้จักเขาดีพอ ต่อให้เป็นสหายสนิท ความสัมพันธ์ก็จะค่อยๆ จางลงไป ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็เป็นเหมือนคนว่างไม่มีอะไรทำ
สืออีเหนียงวางใจ ฟังเขาพูดถึงเรื่องตลกของบุตรชาย
******
เจียงซื่อมองสวีซื่อจุนเอาหมวกสานที่จิ่นเกอซื้อให้มาลองใส่อยู่หน้ากระจกตั้งพื้น อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เหตุใดน้องหกถึงได้คิดซื้อหมวกให้ท่าน แต่ข้าคิดว่าพอท่านใส่แล้วก็ดูไม่เลวเลย”
สวีซื่อจุนยื่นหมวกให้เป่าจูที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องหกมักจะมีความคิดแปลกๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้ายังไม่เห็นของขวัญที่เขามอบให้น้องห้า เป็นขวดยานัตถุ์ที่มีภาพวาดสาวงาม”
เจียงซื่อกลั้นหัวเราะไม่ได้อีกต่อไป
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็ใจเต้นแรง จับมือของนาง “พวกเราไปที่เรือนท่านป้าสะใภ้สองด้วยดีหรือไม่”
เมื่อครู่ทั้งสองคนชวนจิ่นเกอกับเซินเกออยู่เล่นต่อที่นี่ แต่จิ่นเกอบอกว่ายังต้องนำของไปมอบให้ท่านป้าสะใภ้สอง จึงลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
“เจ้าอยากดูรถกังหันน้ำไม่ใช่หรือ” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมพอดี เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะได้ไปหาท่านย่าพร้อมกับจิ่นเกอเลย จะได้ไม่ต้องรบกวนเวลาเจ้าช่วยงานท่านแม่ แล้วก็ไม่รบกวนเวลาไปทานอาหารเย็นที่เรือนท่านย่าด้วย”
เจียงซื่อเคยได้ยินท่านพ่อพูดเรื่อง ‘วัวไม้ ม้าเลื่อน’ ให้ฟัง ว่ากันว่าสูญหายไปตั้งแต่สมัยจูเก๋อเลี่ยง รู้สึกว่ารถกังหันน้ำค่อนข้างคล้ายกับวัวไม้ ม้าเลื่อน จึงอยากจะเห็นเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินสวีซื่อจุนพูดเช่นนี้ก็ย่อมรู้สึกตื่นเต้น
“เช่นนั้นพวกเราต้องเอาอะไรติดไม้ติดมือไปด้วยหรือไม่” นางพูดอย่างลังเลว่า “น้องหกนำของไปมอบให้ หากพวกเราไปมือเปล่า จะดูเสียมารยาทหรือไม่เจ้าคะ”
“สองวันก่อนในวังพระราชทานขนมมาสองกล่องไม่ใช่หรือ” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเอาขนมนี้ไปด้วยดีหรือไม่ ส่วนสิ่งอื่น คาดว่าท่านป้าสะใภ้สองคงจะไม่ขาดแคลนอะไร”
“เอาสิ!” มอบของกินจะทำให้สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เจียงซื่อยิ้มพลางกำชับเป่าจูให้เอาขนมสองกล่องนั้นไปด้วย แล้วไปเรือนฮูหยินสองพร้อมกับสวีซื่อจุน
จิ่นเกอกับเซินเกอยังไม่กลับ
คนหนึ่งขมวดคิ้วยืนอยู่หน้าฮูหยินสอง อีกคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ มองจิ่นเกอและฮูหยินสองด้วยความประหลาดใจ
“พวกเจ้ามากันแล้วหรือ!” เมื่อเห็นสวีซื่อจุนกับเจียงซื่อ ฮูหยินสองก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ยิ้มเล็กน้อยพลางเชิญพวกเขานั่งลง แต่ไม่ได้ให้จิ่นเกอนั่งลงด้วย
สวีซื่อจุนกับเจียงซื่อประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อมอบของให้แล้ว ก็ทักทายจิ่นเกอกับเซินเกอ ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป บอกถึงจุดประสงค์ของการมา
“ของวางอยู่ที่ห้องรับรองแขก” ฮูหยินสองกำชับเจี๋ยเซียง “เจ้าพาคุณชายน้อยสี่กับคุณนายน้อยสี่ไปดูเถิด!” สายตาของนางจับจ้องไปที่จิ่นเกออีกครั้ง
จิ่นเกอเบะปาก ท่าทางเหมือนไม่มีทางเลือก ส่วนเซินเกอก็นั่งเงี่ยหูฟัง ท่าทางตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก
สองสามีภรรยาอดมองหน้ากันไม่ได้ เดินตามเจี๋ยเซียงไปที่ห้องรับรองแขกถัดจากห้องโถง เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นรถม้าวางอยู่บนชั้นวางของ
“ที่แท้ก็รูปร่างเป็นเช่นนี้นี่เอง!” เจียงซื่อรีบก้าวเข้าไปสำรวจดู
เสียงสนทนาระหว่างฮูหยินสองกับจิ่นเกอดังมาจากห้องโถง
“…กลุ่มดาวเสือขาวประกอบด้วยดาวอะไรบ้าง”
“อยู่ทางทิศตะวันตก!” จิ่นเกอพูดอย่างลังเลว่า “มีดาวขุยซิ่ว ดาวเว่ยซิ่ว ดาวชานซิ่ว ดาวปี้ซิ่ว…ดาวโหลวซิ่ว… ดาวอั๋งซิ่ว…แล้วก็มี…ดาวจือซิ่ว!” ความสนใจของเจียงซื่อถูกดึงดูดไป
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสามารถมองทีเดียวได้สิบบรรทัด สามารถท่องหนังสือหนึ่งหน้าโดยใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป” ฮูหยินสองพูดเสียงเรียบ “ท่องอย่างตะกุกตะกักเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว” น้ำเสียงฟังดูผิดหวังเล็กน้อย “เสียงแรงที่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้า สัญญาว่าจะทำรถกังหันน้ำใหม่ให้เจ้า…”
“ข้า ข้า…” จิ่นเกอพูดอย่างรู้สึกผิด “หลายวันมานี้ข้าไปนอกจวนกับท่านพ่อ ต้องออกเดินทางทุกวัน ในรถก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ข้าก็เลยยังท่องได้ไม่คล่อง”
“ไม่ได้ท่องก็คือไม่ได้ท่อง” ฮูหยินสองโกรธเคืองเล็กน้อย “ยังจะหาข้อแก้ตัวอีก มีเพียงแต่จะทำให้ข้าดูถูกเจ้ายิ่งกว่าเดิม”
ห้องโถงเงียบไปนาน
“พวกเราควรออกไปเกลี้ยกล่อมดีหรือไม่” สวีซื่อจุนก็ได้ยินเช่นกัน เมื่อนึกถึงความเข้มงวดของฮูหยินสอง เขาก็กระซิบข้างหูเจียงซื่อด้วยความไม่แน่ใจเล็กน้อย
“ข้าว่ารอดูไปก่อนเถิด!” เจียงซื่อพูดเสียงเบาว่า “ข้าดูจากท่าทางของท่านป้าสะใภ้สองแล้ว คงกำลังสร้างแรงบันดาลใจให้น้องหกเรียนดาราศาสตร์! ท่านป้าสะใภ้สองคงจะไม่ปล่อยให้น้องหกกลับไปด้วยความไม่พอใจเช่นนี้…”
ทันทีที่นางพูดจบ เสียงของฮูหยินสองก็ดังมาจากข้างนอก “เจ้าเอาหนังสือเล่มนี้ไป ด้านในเขียนเกี่ยวกับตำแหน่งและการกระจายตัวของดาวยี่สิบแปดดวง พอเจ้ามาคราวหน้าค่อยท่องให้ข้าฟัง” พูดจบก็พูดเสริมต่ออีกว่า “ข้าว่าอีกสามวันเจ้าค่อยมาก็แล้วกัน!”
จิ่นเกอรับคำ “ขอรับ” ด้วยความรู้สึกเสียใจ “เช่นนั้น เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน!”
ฮูหยินสองตอบเพียง “อืม” เบาๆ
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้ห้องรับรองแขก “พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ พวกเราขอตัวกลับก่อนขอรับ!”
“อ้อ!” สวีซื่อจุนรีบพูดต่อไปว่า “เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วย เมื่อวานหิมะตก วันนี้ก็ลมแรงตั้งแต่เช้า พื้นค่อนข้างลื่น”
จิ่นเกอก้มหน้าพลางรับคำด้วยสีหน้าหดหู่ ส่วนเซินเกอยิ้มพลางพูดกับสวีซื่อจุนว่า “พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ เช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อนนะขอรับ!” ท่าทางร่าเริงเป็นอย่างมาก
สองสามีภรรยาเห็นดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจกว่าเดิม
ตอนที่ไปทานอาหารเย็นที่เรือนไท่ฮูหยิน เจียงซื่อหาโอกาสถามจิ่นเกอ “ท่านป้าสะใภ้สองกำลังสอนเจ้าดูดาวหรือ”
เมื่อจิ่นเกอได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างเหม่อลอย
เซินเกอที่กำลังหยิบขนมฝูหลิงเข้าปากก็ยื่นหัวเข้ามา “ท่านป้าสะใภ้สองบอกว่าหากดูดาวเป็นก็จะไม่หลงทาง ข้าเองก็อยากเรียน ท่านป้าสะใภ้สองบอกว่าตกลง!”
เห็นได้ชัดว่าจิ่นเกอไม่ชอบหัวข้อสนทนานี้มากนัก เหลือบมองเซินเกอ พูดขึ้นมาว่า “ท่านป้าสะใภ้สองวันๆ เอาแต่อยู่ที่เรือน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างนอกกว้างใหญ่มากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ไหนก็ล้วนมีถนนใหญ่และจุดพัก จะหลงทางได้อย่างไร ไม่มีประโยชน์ที่จะเรียนรู้สิ่งนี้” ขณะที่พูด จู่ๆ เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา “แต่ว่าในเมื่อข้ารับปากท่านป้าสะใภ้สองแล้ว ก็จะต้องเรียนให้เข้าใจถ่องแท้อย่างแน่นอน” เมื่อพูดจบก็แสดงท่าทางมุ่งมั่น ยกมือขึ้นกำหมัดอย่างแน่วแน่
เซินเกอนั่งหัวเราะคิกคัก พูดกับเจียงซื่อเสียงเบาว่า “พี่หกแพ้พนันแล้ว!” รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอย่างเปิดเผย!
“เซินเกอ!” จิ่นเกอกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
เซินเกอหัวเราะคิกคักพลางวิ่งหนีไป
เจียงซื่อหัวเราะจนตัวงอ
พอกลับมาในตอนกลางคืนก็ไปพูดกับสวีซื่อจุนว่า “ข้าก็อยากเรียนดูดาวกับท่านป้าสะใภ้สอง ท่านพ่อบอกว่าหากดูดาวเป็น ไม่เพียงแต่จะรู้ฮวงจุ้ยเท่านั้น ซ้ำยังดูฤกษ์มงคลได้ด้วย เดิมทีข้าก็อยากเรียนอยู่แล้ว เสียดายที่ท่านพ่อก็ไม่ได้เข้าใจมากนัก ท่านป้าสะใภ้สองเก่งมากจริงๆ! ไม่แปลกเลยที่ทุกคนต่างก็บอกว่าความรู้ของนางดีมาก” ท่าทางชื่นชมเป็นอย่างมาก
“ได้สิ!” สวีซื่อจุนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี “ท่านป้าสะใภ้สองมักจะอยู่ตัวคนเดียว หากเจ้าเรียนดูดาวกับท่านป้าสะใภ้สอง ท่านป้าสะใภ้สองก็จะได้มีคนอยู่ข้างกาย”
เจียงซื่อดีใจอย่างมาก
“หลังจากตรุษจีนผ่านไปแล้วข้าจะไปพูดกับท่านแม่เจ้าค่ะ” นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะบนเตียงเตา เอามือเท้าคาง ยิ้มพลางวางแผน “ช่วงนี้ท่านแม่ยุ่งมาก หลังจากวันที่สามเดือนสาม ก็คงจะว่างแล้ว…” พูดพลางเบิกตาโต “อีกอย่างเดือนสองพี่สะใภ้สองก็ใกล้จะคลอดแล้ว…เช่นนั้น เช่นนั้น…” นางกัดริมฝีปาก “อย่างน้อยก็ต้องทำพิธีฉลองครบรอบร้อยวันในเดือนห้า…”
“พวกเราค่อยๆ เรียนรู้ไปก็พอแล้ว” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้จะไปสอบราชบัณฑิต หรือต้องการที่หนึ่งเสียหน่อย จะรีบร้อนไปทำไม”
ก็จริง!
ตัวเองยังต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเจียงซื่อก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย มองสวีซื่อจุนด้วยความเขินอาย
เวลานี้สืออีเหนียงพึ่งจะรู้เรื่องที่ฮูหยินสองสอนดาราศาสตร์ให้จิ่นเกอ
“…มันยากมากขอรับ” จิ่นเกอขมวดคิ้ว “แล้วยังต้องเรียนเลขด้วย!”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าหลักสูตรการเรียนของบุตรชายค่อนข้างจำเจมาตลอด นอกจากภาษาแล้วก็เป็นการต่อสู้ ตอนนี้มีวิชาเลขกับดาราศาสตร์เพิ่มขึ้นมา แน่นอนว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
นางบ่นบุตรชาย “มีเรื่องดีๆ เช่นนี้เจ้ายังไม่รู้จักตั้งใจเรียน แต่กลับมาบ่นกับข้า”
จิ่นเกอเพียงแค่อยากจะออดอ้อนมารดา
“ท่านแม่ขอรับ” เขาแนบตัวบนแผ่นหลังของสืออีเหนียง “วันที่สามพวกเราต้องกลับไปที่จวนท่านลุงใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าไปหาท่านยายได้หรือไม่”
สืออีเหนียงประหลาดใจ “เจ้าอยากเจอท่านยายของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
จิ่นเกอพยักหน้า “ท่านยายงดงามยิ่งนัก!”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้