ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 21
ตอนที่ 21 ไข้หวัดใหญ่และสถานการณ์ของร้านขายยาแห่งหนึ่ง
—————
ในช่วงเที่ยงของวัน ชายผู้เป็นพ่อได้แบกลูกสาวของตนไว้ที่หลังและเคาะประตูคลินิกของแพทย์คนหนึ่งในเมืองหลวงของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
“กรุณาช่วยตรวจเธอด้วยเถอะครับ! คุณหมอโดนัลด์! กรุณารักษาเธอด้วยเถอะครับ!”
แต่ประตูที่ถูกเคาะอย่างดังก้องนั้นก็กลับไม่ส่งเสียงใดๆ ตอบกลับมา
“ได้โปรดเถอะครับ! ลูกของผมมีไข้สูงมาก! และที่แปลกคือเธอเริ่มมีอาการอ่อนล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะครับ!”
เสียงของผู้เป็นพ่อกำลังกรีดร้องออกมาแทบเป็นแทบตายไปทั่วท้องถนน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าสงสารแต่เหล่าผู้คนที่ผ่านทางไปมาก็พยายามทำเป็นมองไม่เห็นและเมินไปเสียเพราะพวกเขาไม่อยากจะมีส่วนรับรู้ใดๆ กับเรื่องนี้
“คลินิกของหมอโดนัลด์อยู่ในช่วงวันหยุดอยู่ครับ กว่าจะเปิดก็คงประมาณอาทิตย์หน้า”
เสียงอันสงบนิ่งจากเด็กชายดังมาจากข้างหลังผู้เป็นพ่อปีแอร์ เขานั้นเห็นเด็กชายผู้ถือถุงจากร้านเบเกอรี่และดูท่ากำลังจะเดินกลับบ้าน
แต่เด็กชายที่ปีแอร์เห็นนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป
แม้เด็กชายคนนี้จะสวมชุดคลุมสีดำเอาไว้ข้างนอกแต่ภายในนั้นสวมชุดสีขาวแบบเดียวกับพวกแพทย์ซึ่งตรงปกคอมีตราสัญลักษณ์รูปมงกุฎติดอยู่ ซึ่งสื่อถึงตำแหน่งของคนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากแพทย์โอสถหลวง เขาคือเจ้าของร้านขายยาต่างโลก ดูท่าว่าเขาพึ่งจะเสร็จจากการ
ช็อปปิ้งและกำลังจะเดินทางกลับร้าน ในมือถือถุงเบเกอรี่จากร้านชื่อดังอยู่
ให้ตายเถอะ ตัวปัญหาโผล่มาซะแล้วสิ ปีแอร์ถอยหลังกลับไป
“ลูกของคุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
เด็กคนนั้นทำท่าทางกังวลและเริ่มพูดคุยกับเขา
พวกแพทย์โอสถขั้นสามและอะไรที่ใกล้เคียงบนโลกใบนี้นั้น พวกเขามักจะค่อยๆ ถูมือไปมาก่อนจะเข้ามาตรวจอาการและเริ่มแนะนำยาราคาแพงให้ แต่เด็กชายคนนี้กลับมองเขาด้วยสายตาที่ห่วงใยอย่างใจจริง เขาจะหวังอะไรจากเราหรือเปล่านะ? ปีแอร์เริ่มระวังตัว
“กะー ก็… อย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ…”
สำหรับตัวของปีแอร์เองนั้น เขาก็เป็นแพทย์โอสถซึ่งเป็นสมาชิกของกิลด์แพทย์โอสถแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟเหมือนกัน สำหรับลูกของเขาที่มีไข้ขึ้นสูง ตัวเขาได้ทดลองใช้ยาสมุนไพรราคาแพงและพวกยารักษาจากกิลด์แล้ว แต่มันกลับไม่ได้ผลและลูกของเขาก็ยังไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไรนัก ขณะที่ร่างกายของเธอเริ่มทรุดลงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสติที่ยังค่อยๆ เลือนหายไปเขาจึงตัดสินใจมาพึ่งพาแพทย์เป็นที่พึ่งสุดท้าย
เราละสงสัยจริงๆ ที่เด็กคนนี้มันรู้หรือเปล่าว่าเราเป็นคนของกิลด์แพทย์โอสถปีแอร์คิด กิลด์แพทย์โอสถนั้นมีการแสดงความเป็นศัตรูต่อร้านขายยาต่างโลกอย่างเปิดเผย เนื่องจากตัวหัวหน้ากิลด์นั้นได้แจ้งกับทุกคนในสมาคมว่าให้อยู่ห่างๆ จากร้านขายยาต่างโลกนั้นไว้ รวมถึงเรื่องที่ตัวหัวหน้าสมาคมเวรอนได้ส่งเกวียนสองคันไปชนเข้ากับร้านนั้นจนทำให้ต้องปิดตัวไปถึงสองวันเต็ม ปีแอร์รู้สึกว่าตอนช่างอับโชคเหลือเกินที่ต้องมาเจอเขาและยังได้รับความเห็นอกเห็นใจอีก
อย่างไรก็ตามเขาก็คงจะไปขัดคำสั่งของกิลด์ไม่ได้เพราะหากทำเช่นนั้นเขาอาจจะโดนถอนสิทธิ์ของสมาชิกรวมถึงการยึดใบอนุญาตประกอบการไปอีกด้วย
ดังนั้นการจะมาพูดกับเด็กที่เป็นเจ้าของร้านคนนี้จะต้องเป็นปัญหาแน่นอนหากมีใครมาเห็นเข้า
“ให้ผมลองตรวจอาการของลูกคุณหน่อยนะครับ ผมเป็นแพทย์โอสถจากร้านขายยาต่างโลก ฟาร์มาครับ”
เขาเปิดเสื้อโค้ตของเขาและแสดงป้ายชื่อให้ดู แม้ว่าในญี่ปุ่นเภสัชกรทุกคนจะสวมแท็กชื่อของตนไว้เป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับโลกนี้ไม่ใช่เช่นนั้น มันอาจจะเป็นความภาคภูมิใจในงานของเด็กคนนี้ก็ได้ ปีแอร์คาดเดาเช่นนั้น
เด็กคนนั้นบอกกับเขาว่าให้เขาตามตนไปยังที่ร้าน แต่ปีแอร์ไม่ต้องการเช่นนั้น
“เป็นอะไรไปเหรอครับ? ลูกของคุณดูท่าอาการหนักจริงๆ นะครับ”
ใบหน้าของเธอแดงก่ำอย่างชัดเจน ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าเธอนั้นไม่สบาย
“ก็คือว่า..แต่”
เขาไม่อยากจะเป็นหนี้บุญคุณร้านขายยาต่างโลก แต่เขาจะไปหาหมอที่ไหนมาช่วยลูกของตนได้อีกกันล่ะ? เขาพยายามปฏิเสธข้อเสนอนั้น แต่ฟาร์มาก็พยายามชักชวนเขาและเร่งให้เขารีบ เขาตัดสินใจลดหมวกของตนลงเพื่อไม่ให้คนที่เดินผ่านไปมารู้ได้ว่าเป็นเขาก่อนจะเดินตามฟาร์มาไป
ร้านขายยาต่างโลกที่กำลังปิดทำการในช่วงพักกลางวัน ป้ายหน้าร้านนั้นทำมาจากหินที่ถูกสลักมาอย่างงดงาม สัญลักษณ์ตราสีทองที่ได้มาจากราชสำนักเปล่งประกายแพรวพราวอยู่ น่าจะเป็นเพราะการโจมตีอย่างคาดไม่ถึงในวันก่อน ทำให้เหล่าอัศวินที่อยู่หน้าร้านนั้นมีเพิ่มขึ้นมาถึงสามคน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกับชายหนุ่มผู้เนื้อตัวมอมแมมกับร้านขายยาอันสกปรกของเขา
ฟาร์มานั้นไม่ได้เดินเข้าไปทางประตูหลักแต่เขากลับมุ่งไปยังตรอกซอยทางด้านหลังแทน
“กรุณาตามเข้ามาข้างในนี้เลยครับ”
อ้า ดูเหมือนว่าพวกคนจนๆ คงจะไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปทางประตูหลักร้านของพวกชนชั้นสูงสินะ ปีแอร์รู้สึกอับอาย เมื่อเข้าไปยังภายในร้านและขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นบันไดวน ภายในนั้นมีเตียงมากมายถูกเรียงรายเอาไว้และเมื่อเข้าไปในห้องตรวจปีแอร์ถูกสั่งให้วางลูกของเขาลงบนเตียง
“งั้นพวกเรามาเริ่มตรวจอาการกันดูเถอะครับ ก่อนอื่น คุณพ่อช่วยสวมสิ่งนี้ก่อนด้วยนะครับ”
ปีแอร์ได้รับผ้าปิดปากมาจากฟาร์มา เขาไม่เข้าใจความหมายของการปกปิดปากกับจมูกของตน แต่อย่างไรก็ตาม นี่คงจะเป็นประเพณีของทางนี้มีแต่ต้องทำตามคำแนะนำของเขาไป
“ที่พวกเราเดินเข้ามาทางประตูหลังกันก็เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้กับคนอื่นที่อยู่ภายในร้านครับ”
ฟาร์มาเริ่มอธิบาย ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องอย่างพวกสถานะทางสังคมหรือตัวบุคคล
ชุดแพทย์สีขาวของฟาร์มาปรากฏขึ้นหลังจากถอดเสื้อคลุมออกและเขาก็นำสมุดของเขาออกมา ซึ่งเป็นเวชระเบียนของผู้ป่วย ชื่อของเด็ก อายุ ประวัติทางการแพทย์ เธอทานอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไข้ของเธอนั้นมีมาตั้งแต่ตอนไหน และข้อมูลอื่นๆ จบลงด้วยการตอบคำถามของปีแอร์บางเรื่องเพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุและอาการ
ปีแอร์รู้สึกประทับใจกับการจัดเก็บข้อมูลอย่างถูกต้อง
ฟาร์มาพูดกับปีแอร์ให้วางเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ไว้ตรงมุมห้องอย่างสุภาพ เมื่อเด็กคนนั้นถูกวางไปยังแท่นที่ข้างล่างเหมือนกับกล่องขนย้ายอะไรสักอย่างจากนั้น หน้าปัดภายในกล่องของสิ่งนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว ก่อนที่ฟาร์มาจะตรวจสอบที่อยู่ข้างในนั้น
“นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”
“ผมกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ครับ”
มันไม่ได้ชั่งด้วยการตวงสมดุล (ตาชั่ง) เหรอ? ปีแอร์ประหลาดใจ
“สิ่งนี้มันเรียกว่าตาชั่งสปริงครับ เครื่องชั่งนี้จะมีการยืดหดตัวลงไปตามน้ำหนักของสิ่งที่ชั่งครับ (กฎของฮุค) ส่วนการเปลี่ยนของหน้าปัดยาวๆ ที่หมุนไปมานั้นมีไว้เพื่ออ่านค่าน้ำหนักของคนชั่งครับ ผมทำแบบนี้เพื่อกะปริมาณยาที่จะใช้กับเธอให้ได้อย่างถูกต้องครับ”
ฟาร์มาอธิบายอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับบันทึกข้อมูลที่ได้ไปด้วย ปีแอร์นั้นยังไม่อาจจะทำใจให้เชื่อในคำพูดของเด็กได้ แม้จะมีความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับยาที่เด็กคนนั้นจ่ายมาให้ แต่เมื่อเด็กคนนั้นได้รับการศึกษาชั้นสูงมาจากเหล่าชนชั้นสูง ยิ่งกว่านั้นเด็กคนนี้ยังเป็นแพทย์โอสถที่ได้รับความเชื่อถือจากเหล่าเพื่อนบ้านด้วยดังนั้นปีแอร์จึงได้ตัดสินใจถาม
“คะーเครื่องมือนี้ท่านเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเองเหรอ?”
ในฐานะแพทย์โอสถขั้นสาม ปีแอร์รู้สึกอายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าเขาจะตระหนักถึงความต่างระหว่างการศึกษาของพวกแพทย์โอสถขั้นสามกับแพทย์โอสถหลวง เพราะเป็นเรื่องปกติของแพทย์โอสถขั้นสาม การให้ยากับเด็กนั้นจะให้ในปริมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่เพียงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น
“ผมสร้างมันขึ้นมาได้ครับ แต่ผมไม่ใช่ผู้คิดค้นหรอก ส่วนรายละเอียดโครงสร้างนั้นถูกส่งไปยังกระทรวงเทคโนโลยีเรียบร้อยแล้วครับถ้าสนใจก็เชิญไปอ่านได้ ณ ที่นั่นเลยครับ”
ฟาร์มายิ้มออกมา ตัวเขานั้นได้เขียนพิมพ์เขียวและส่งมันไปยังกระทรวงเทคโนโลยีของเมืองหลวง ส่วนการออกแบบเครื่องชั่งน้ำหนักนั้นตัวฟาร์มาไม่ได้เป็นผู้คิดค้นขึ้นแต่เป็นสิ่งที่คนบนโลกก่อนของเขาคิดมันขึ้นมา “เอาล่ะ งั้นมาเริ่มตรวจกันต่อเลยดีกว่า”
ฟาร์มาดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทั้งการเคาะ ตรวจสอบม่านตา คลำบริเวณตัว และสุดท้ายก็วางนิ้วของตนเองไว้ที่ตาข้างซ้ายของตัวเอง ในในขณะที่จ้องมองไปยังลูกสาวของตัวเองปีแอร์ก็เห็นฟาร์มากำลังพึมพำอะไรบางอย่างเหมือนกับจะร้องเพลงอีกทั้งบริเวณดวงตาของฟาร์มานั้นส่องแสงสีขาวอมฟ้าออกมาและมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเล็กน้อย เขารู้จักแพทย์โอสถที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ แต่มนต์ที่เด็กชายคนนี้ใช้ในตอนแรกมันเรียกว่าศาสตร์แห่งเทพจริงๆ งั้นหรือ? ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดแต่ปีแอร์ก็รู้สึกประทับใจกับมันอย่างสุดซึ้ง
การวินิจฉัยนั้นเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่สิบวินาที
“อาการไข้หนักมากเลยครับ”
“เอ๋!?”
หลังจากที่ฟาร์มาพูดแบบนั้น ปีแอร์รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยนั้นเพราะนั่นไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดาอยู่แล้ว
“ไข้ของเธอสูงแถมไม่มีท่าว่าจะลดเลยนะ! จะบอกว่าแค่ไข้หวัดงั้นเหรอ!? ดูน้ำลายที่ฟูมออกมาจากปากเธอแล้วก็อาการชักนั่นสิ! ท่านไม่คิดเลยหรือไงว่าเธออาจจะถูกสิงสู่จากพวกปีศาจ!?”
เมื่อเขาพูดแบบนั้นออกไป ฟาร์มาก็บอกกลับมาประมาณว่า
“ผมสงสัยจังว่าที่นี่มันมีชื่อเรียกหรือเปล่านะ?”
“อ้างั้นเหรอ ก็ลองว่ามาสิ”
ดูท่าเขากำลังจะนึกถึงชื่อโรคที่เหมาะสมอยู่
“งั้นเรามาให้ชื่อพิเศษกับมันดีไหมครับ? ถ้าอย่างงั้นเอาเป็นกริปป์ (คำเรียกไข้หวัดใหญ่ในสมัยก่อน) แล้วกันครับ”
นั่นเป็นชื่อที่ปีแอร์ไม่เคยได้ยินมาก่อน บนโลกใบนี้นั้นทั้งไข้หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่จะถูกเรียกรวมกันไปเลยว่า ไข้หวัด เนื่องจากไม่สามารถแยกถึงความต่างของมันได้ นี่เป็นชื่อใหม่สำหรับโรคนี้งั้นหรือ? ปีแอร์กลืนข้อสงสัยของเขาลงไป
ฟาร์มาเดินไปยังห้องผสมที่อยู่ชั้นหนึ่งก่อนจะนำยาที่ผสมเสร็จแล้วกลับมาด้วย
“ผมจะเริ่มอธิบายการรักษาแล้วก็ตัวยานะครับ”
เขาเริ่มอธิบายด้วยความตั้งใจ
ปีแอร์เผลอยืดหลังตรงโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกของเขานั้นได้รับผลกระทบจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นร่างกายของเธอเลยอุณหภูมิสูงขึ้นเพื่อต่อสู้และกำจัดสิ่งนั้นออกไป
ส่วนวิธีการรักษาไข้หวัดใหญ่นี้คือ ลานินามิเวียร์ (Laninamivir) โดยตัวยานั้นจะทำงานแม้ว่าจะผ่านช่วงวันไปแล้ว เมื่อมีอาการปรากฏขึ้นมาควรใช้สิ่งนี้เป็นสิ่งแรก เขาบอกว่ามันจะสามารถลดอาการและช่วงเวลาของไข้หวัดนั้นลงได้เมื่อตัวยานั้นเริ่มทำงาน นั่นคือทั้งหมดที่ฟาร์มาบอก
“เป็นผงยาที่ต้องสูดมันเข้าไปทางปากงั้นเหรอ? ทำไมถึงไม่ทำมาเป็นยาที่สามารถดื่มได้ล่ะ?”
มันเป็นวิธีการป้อนยาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน บนโลกใบนี้นั้นมีเพียงสองวิธีการในการรักษาเท่านั้นคือ ใช้ยาในจุดที่มีอาการกับการกินมันเข้าไปทางปาก
“ยาตัวนี้จะไม่ถูกดูดซึมจากร่างกายหากดื่มเข้าไปครับ เราเลยจำเป็นต้องสูดมันเข้าไปแทนเพื่อให้มันไปเกาะติดกับพวกเส้นบริเวณหลอดลมของระบบทางเดินหายใจจะสามารถทำให้มันทำงานได้ครับ”
ฟาร์มากล่าวว่ายาตัวนี้จะช่วยให้ลูกสาวของเขาสามารถต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่อยู่ในร่างกายของเธอได้ เป็นยาต้านไวรัสที่ยังสามารถใช้กับเด็กทารกได้ด้วยซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการป้องกันเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งจะแพร่กระจายออกไปทั่วร่างกาย
“มาลองให้เธอสูดดูกันครับ สำหรับเด็กอายุเพียงสิบปีหรือน้อยกว่านั้นก็สามารถทำได้ครับถึงแม้จะเป็นเรื่องยากนิดหน่อยก็เถอะ”
หลังจากฟาร์มาบอกวิธีการส่งยาให้กับลูกสาวของเขาไป หลังจากการพยายามหลายครั้งด้วยกันในที่สุดผงยานั้นก็ถูกดูดเข้าไป
“ผมคิดว่าตอนนี้ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วครับ ครั้งต่อไปอาการไข้ก็จะไม่เลวร้ายขนาดนี้แล้วครับ และถ้าหากไข้ยังสูงขึ้น มีอาการอ่อนแรง ให้ใช้ยาตัวนี้ด้วยนะครับ มันสามารถช่วยลดไข้ได้เล็กน้อย จากนี้ก็ไปก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อให้ไข้นั้นลดลงไป ขอให้พักผ่อนให้มากๆ นะครับ”
ฟาร์มากล่าวบอกกับปีแอร์โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนี้ก็กรุณาเปิดก้นของลูกสาวคุณแล้วหันมาทางผมได้เลยครับ ตะแคงข้างเอาก็ได้นะครับ”
“อะไรนะ? หะ, หา!?”
ขากรรไกรของปีแอร์เกือบจะหลุดออกมา
ในโลกใบนี้การอธิษฐานขอพรเพื่อรับการรักษาเป็นเรื่องทั่วไป บางครั้งพวกเขาก็คิดท่าทางแปลกๆ ขึ้นมาขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น….ถึงอย่างนั้น
ปีแอร์ก็ยังอยู่ในช่วงอายุที่เรียกว่าคนหนุ่มได้อยู่และเขาก็มีลูกสาวตัวน้อยแสนน่ารักอายุเจ็ดปี แต่จะมาเปิดก้นให้หมอดูเนี่ยนะแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สื่อไปทางเพศอะไรนั่นอยู่แล้ว แต่มันเป็นเหมือนการดูถูกชัดๆ
“ท่านช่วยบอกได้หรือเปล่า! ว่านั่นมันเป็นการรักษาจริงๆ งั้นเหรอ!?”
ลูกสาวของเขากำลังทุกข์ทรมานกับไข้ด้วยความเจ็บปวด เขาได้จ้องมองไปยังเด็กชายซึ่งแสดงสายตาที่เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเธอโดยไม่ได้แฝงด้วยเจตนาร้ายใดๆ เลย
“ผมจะทำการใช้ยาเพื่อลดไข้ผ่านทางทวารหนักของเธอครับ เพราะเธอแทบจะไม่มีสติในการทานยาแล้วด้วย ยาเหน็บจึงเป็นตัวเลือกที่ดีครับ ที่จริงคงจะดีกว่าถ้าให้คุณพ่อเป็นคนทำเองนะครับแต่มันต้องอาศัยเทคนิคนิดหน่อย”
ยาเหน็บที่ว่านั้นคืออะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) เนื่องจากเด็กผู้หญิงคนนี้เพิ่งอายุได้เพียงเจ็ดปีเขาจึงได้ทำให้ตัวยานั้นมีขนาดเล็กลงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และยังสะดวกต่อตัวเธอเองด้วย
“นี่มันการรักษาแบบไหนกันเนี่ย!? ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย! ที่จริงไม่ใช่ว่ามันต้องทานผ่านปากหรือไง?”
การรักษาแบบอุกอาจเช่นนี้อาจจะทำให้ลูกสาวของเขาเสียพรหมจรรย์ไปก็ได้
ปีแอร์เริ่มรู้สึกเสียใจกับการที่ปล่อยให้ฟาร์มาดูแลลูกสาวเขา
“หลังจากที่ตัวยาเข้าสู่หลอดเลือดมันจะถูกดูดซึมผ่านผนังของหลอดเลือดไปครับ ที่จริงจะให้ผมส่งให้เธอผ่านทางปากก็ได้ แต่นั่นจะทำให้เธอมีอาการวิงเวียนศีรษะและอาจจะหมดสติไปครับ”
การอธิบายของเขาดูเป็นเหตุเป็นผลและดูท่าทางของเขาก็ไม่ได้ล้อเล่นเสียด้วย
“หืมมม…เป็นอย่างงี้สินะ”
เมื่อปีแอร์เปิดก้นของลูกสาวเขาได้ให้ฟาร์มาโดยไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ก่อนที่เขาจะใส่ยาขนาดเล็กเข้าไปในรูทวารของเธออย่างช่ำชอง
“อ๊ะ!?”
ลูกสาวของเขาส่งเสียงออกมาในขณะที่เธอประหลาดใจกับความรู้สึกที่ไม่เคยพบเจอนี้
“อ้า… พ่อจะทำยังไงดี พ่อจะบอกลูกยังไงดีว่าเธอเป็นเจ้าสาวไม่ได้แล้ว……”
เขาวางลูกสาวของเขาลงที่เตียงเพื่อให้พักผ่อน แล้วลูกสาวของเขาก็หายใจเหมือนกับคนนอนหลับไป
ในเวลาเดียวกันฟาร์มาได้เทของเหลวบางอยู่ใส่ในแก้วและนำมันเข้ามา
“ระหว่างที่มีอาการไข้ ร่างกายจะสูญเสียเหงื่อเป็นจำนวนมาก เครื่องดื่มนี้จะช่วยบรรเทาอาการตรงส่วนนั้นได้ ได้โปรดนำให้เธอดื่มในภายหลังด้วยนะครับ”
วิธีการสร้างน้ำสะอาดของฟาร์มานั้นเขายังคงใช้ศาสตร์แห่งเทพเพื่อสร้างมันขึ้นมา แต่ในกรณีของการใช้ในการรักษานั้นเขาจะใช้น้ำธรรมดาที่ผ่านการกรองและกลั่นแทน เนื่องจากความรุนแรงของยาที่ผสมเข้ากับน้ำที่เขาสร้างขึ้นมานั้นมันเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เกิดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ไม่ทราบสาเหตุได้
“เอาละครับ ผมยังมีงานที่ต้องไปทำอยู่ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าลังเลที่จะเรียกผมนะครับ”
ฟาร์มาเอากระดิ่งมาให้เขาและออกจากห้องไป
หลังจากนั้นไม่นานนักอาการไข้ของเธอก็ทุเลาลงและเธอเริ่มจะสามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกจากพ่อของเธอได้บ้างแล้ว
“นี่มันได้ผลทันทีเลยนี่นา…”
ยาที่ใส่เข้าไปในก้นนั้นดูเหมือนจะทำให้ไข้ลดลง
ช่วงเวลาตลอดทั้งวันฟาร์มาก็ได้กลับมาดูแลพวกเขาอยู่หลายครั้ง
และเขาได้นำน้ำและอาหารมาให้กับปีแอร์และลูกของเขา อีกทั้งยังคอยช่วยเชียร์ให้ลูกสาวเขาระหว่างทานข้าว ก่อนจะกลับลงไปที่ชั้นล่าง ในช่วงเย็นเขาได้กลับมาพร้อมกับกระเป๋าใส่ยา
“ตอนนี้ผมคิดว่าคุณสามารถพาเธอกลับไปที่บ้านได้แล้วนะครับและถ้าบังเอิญว่าอาการของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันช่วยบอกกับเหล่าอัศวินที่เฝ้าอยู่หน้าร้านผมได้เลยนะครับ พวกเขาจะนำทางให้คุณมาที่บ้านของผมแม้จะเป็นกลางดึกก็ไม่ต้องกังวลนะครับเชิญเรียกผมได้เลย แล้วก็รับยาลดไข้นี้ไปด้วยนะครับ ให้ใช้มันตามความจำเป็นได้เลย”
ปีแอร์นั้นรู้สึกกังวลว่าพวกเขาจะถูกทอดทิ้งไหมเพราะมันเป็นช่วงเย็นและร้านจะปิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาลหรือร้านขายยาก็มักจะไม่ค่อยรับการตรวจอาการในช่วงเย็นนัก
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่าสามัญชนหลายคนเสียชีวิตในช่วงเย็น สำหรับปีแอร์แล้วการบริการระดับนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ
“ขอบพระคุณมากจริงๆ แล้วผมจะต้องจ่ายให้ท่านเท่าไหร่ครับ? เพราะถ้าเกิดไม่มีพอจ่ายขึ้นมาจะได้ไปยืมจากญาติๆ ของผมมาได้”
เพราะตัวพวกเขาเองนั้นยอมรับการรักษานี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องถามค่ารักษา ปีแอร์เชื่อว่าสุดยอดยาจากร้านแห่งนี้ที่ทำให้ยอดขายของทางร้านเขาลดลงเพราะถูกขโมยลูกค้าไปนั้น อาจจะทำให้ตัวเขาไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้จากราคาที่แพงมหาศาล
“ราคาเทียบเท่ากับหนึ่งขนมปังก็พอแล้วครับ”
“ไอ้แบบนี้มันถูกเกินไปแล้ว!”
หลังจากจ่ายเงินเสร็จ เขาก็กลับมาถามอีกครั้งว่าดีจริงๆ เหรอ แต่ฟาร์มาก็ทำเพียงพยักหน้า
“เรตราคาของเด็กจะถูกกว่าผู้ใหญ่ครับ”
ในตอนแรกนั้นเขาตั้งใจจะรักษาให้กับเด็กฟรีแต่จักรพรรดินีบอกว่าควรจะมีค่าบริการซักเล็กน้อยสำหรับการตรวจและค่ายา
“หวังว่าเธอจะอาการดีขึ้นในเร็ววันนะครับ”
ฟาร์มาบอกกับพวกเขาพร้อมกับจ้องมองมาที่พวกเขา
ยาที่มีประสิทธิภาพสูง เจ้าของร้านสุภาพนอบน้อมและร้านที่สะอาดสะอ้าน
“อ้า…เราไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมถึงถูกแย่งลูกค้าไป”
“หือ?”
“โอ้ อย่าไปใส่ใจเลย ผมขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”
ปีแอร์นั้นได้รับรู้ถึงรสชาติแห่งความพ่ายแพ้
แต่เขากลับรู้สึกสดชื่นกับประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอในวันนี้
ปีแอร์ออกจากร้านไปพร้อมกับลูกของเขา และแผ่นหลังของเขาก็หายไปในฝูงชน
__________________________
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ณ สำนักงานใหญ่ของกิลด์แพทย์โอสถ ณ จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟได้รวบรวมเจ้าหน้าที่ทางด้านการแพทย์หลายสิบคนมาที่ห้องประชุมซึ่งถูกจัดขึ้นในทุกๆ เดือน
“ร้านทุกร้านมียอดขายลดลงหมดเลยงั้นเหรอ?”
หัวหน้ากิลด์เวรอน กำลังสอบถามเกี่ยวกับผลการดำเนินกิจการที่ลดลงไปจากร้านในเครือของสมาคมนี่ไม่ใช่เรื่องตลก
“มันเป็นความผิดของไอ้ร้านบ้านั่น”
“น่ารำคาญจริงๆ เว้ย! ก็คิดว่าเป็นแค่งานอดิเรกของพวกชนชั้นสูงมัน ที่ไหนได้มันจะทำให้ข้าเป็นบ้าอยู่แล้วเนี่ย”
ร้านขายยาต่างโลก (ร้านขายยาแดนศักดิ์สิทธิ์) ตอนแรกพวกเขาคิดว่าร้านขายยานั้นจะถูกจำกัดไว้แค่ในกลุ่มของพวกชนชั้นสูงซึ่งดูจากชื่อร้านก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นทางกิลด์เลยทำเพียงแค่รอดูท่าทีไปก่อน แต่ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามนั้นกลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาที่ไม่เคยมีมาก่อน
แม้ว่าร้านนี้จะถูกเรียกกันอย่างเป็นทางการว่าร้านของหลวง แต่ก็ใช่จะไม่มีลูกค้าที่เป็นสามัญชน แถมยังมีคิวของลูกค้าที่ยืนต่อแถวกันบริเวณหน้าร้านและถือใบสั่งยากันไว้อยู่ พวกเขาไม่ได้บ่นกันแต่อย่างใดและทำการพูดคุยกันตอนอยู่ในระหว่างแถวเท่านั้น อีกทั้งยังมีกันสาดและเก้าอี้สำหรับผู้ป่วยตั้งไว้อยู่บริเวณหน้าร้านด้วย สุดท้ายคือพวกเขาได้รับน้ำและขนมระหว่างรอคิวอยู่ด้วยนั่นเอง
ในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปีก็มีร้านที่สองโผล่ออกจากซึ่งเป็นร้านที่ขายเครื่องสำอางและพวกครีมดูแลผิวเมดีก ได้เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว มีเรื่องเล่ากันว่าร้านที่สามซึ่งจะเป็นร้านที่เกี่ยวข้องทานด้านทันตกรรมโดยเฉพาะจะเปิดขึ้นในเร็วๆ นี้อีกด้วยและสิ่งที่น่าอับอายที่สุดนั่นคือภรรยาของเวรอนนั้นก็ได้แอบซื้อเครื่องสำอางเมดีกโดยที่เขาไม่รู้ด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ผิวของเธอนั้นได้ขาวเป็นประกายขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เขาจึงได้ทำลายมันและโยนพวกมันทิ้งไป
“การกลับมาเปิดร้านใหม่ของพวกมันก็เร็วเกินไปแล้ว”
“ข้าสงสัยว่ามันน่าจะได้การสนับสนุนทางด้านเงินมาจากท่านแกรนดยุก เพราะคนที่หนุนหลังร้านนั้นอยู่ก็เป็นถึงแพทย์โอสถหลวงชื่อดังเลยนี่”
“ทางจักรพรรดินีเองก็ด้วย ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นพวกทหารหลวงก็เดินตรวจตรากันให้ควักเลย”
จากสิ่งที่เห็นนั้นคือเพียงแค่สองวันหลังจากการทำลายล้างขนาดนั้น เนื่องจากเกวียนที่พุ่งไปชนร้านนั้นบรรทุกขยะและทรายสิ่งสกปรกต่างๆ เอาไว้มาก ร้านที่ถูกชนไปนั้นจะต้องปิดปรับปรุงอย่างน้อยก็หนึ่งเดือนกันเลยทีเดียวแต่ดูเหมือนพวกเขาจะมองโลกกันแน่แง่ดีเกินไป แน่นอนว่าตัวเวรอนนั้นคือผู้อยู่เบื้องหลังและทำการจ้างพวกองค์กรใต้ดินในการทำลายร้านนี้
ไม่ว่าจะรู้หรือไม่ก็ตาม แต่ร้านขายยาของเวรอนนั้นมีคำสั่งให้ระงับการเปิดกิจการเป็นเวลาสามสัปดาห์เนื่องจากทางร้านของเขานั้นถูกตรวจพบสารตะกั่วภายในตัวยาซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามตามที่ถูกระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดินี
ไม่เพียงแค่นั้นไม่รู้ด้วยเหตุใดทางศาสนจักรถึงขยันเดินตรวจตราตามเมืองด้วยเช่นกัน ทางหัวหน้านักบวชของโบสถ์เมืองหลวงก็มักจะเห็นเขาอยู่แถวๆ ร้านขายยาต่างโลกนั่นด้วย ด้วยเหตุนี้ตัวเขาจึงไม่อาจจะเข้าไปคุกคามโดยตรงกับร้านแห่งนั้นได้อีกแล้ว
ในกรณีนี้ตั้งแต่ที่ร้านขายยาต่างโลกมาเปิดสินค้าที่กิลด์แพทย์โอสถขายได้มีปริมาณลดลงไปมากเหล่าลูกค้ากว่าสี่สิบเปอร์เซนของพวกเขานั้นหายไปและกลายไปเป็นลูกค้าประจำของทางร้านนั้นแทน
สุดท้ายคือสินค้าของพวกเขานั้นถูกห้ามในการวางขายเนื่องจากมีส่วนผสมของปรอทและสารตะกั่วอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาเลยทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้เลยเพราะเป็นคำสั่งของทางราชสำนัก
“ฝ่าบาทถูกไอ้ร้านบ้านั่นล้างสมองไปแล้ว”
เวรอนกล่าวออกมาอย่างขมขื่น เหล่าสมาชิกคนอื่นก็เห็นด้วย
“แล้วคุณคิดยังไงหรือคุณปีแอร์แห่งร้านแสงแดดผ่านแมกไม้”
ในหมู่แพทย์โอสถที่ไม่ทัศนคติต่อร้านขายยาต่างโลกไม่ดีนักนั้น เขาได้ถามไปยังแพทย์โอสถผู้ยากจนอย่างปีแอร์ซึ่งยังคงนั่งเงียบและไม่กล่าวความคิดเห็นใดๆ ออกมา ร้านของปีแอร์นั้นถือว่าเป็นร้านแรกๆ ที่ประสบกับปัญหายอดขายที่ลดลงเนื่องจากร้านของเขานั้นอยู่ใกล้ร้านขายยาต่างโลกมากที่สุด
ปีแอร์ที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลานั้นย่อมต้องเป็นที่สนใจจากผู้อื่นเป็นธรรมดา
“คุณคิดเห็นอย่างไรบ้าง? ไม่ใช่ว่าร้านของคุณได้รับผลกระทบหนักเลยรึ?”
ปีแอร์จึงพูดตัดขึ้นมาทันที
“ใครในหมู่พวกเราเคยไปที่ร้านแห่งนั้นมาบ้าง?”
“ข้าไม่กล้าไปหรอกก็เพราะเป็นร้านคู่แข่งนี่นา”
แพทย์โอสถคนหนึ่งกล่าว
“เจ้าควรจะลองไปดูสักครั้งนะ เพราะมันเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เลย”
ปีแอร์ยืนขึ้นอย่างแรงจากที่นั่งของเขา
“เมื่อเจ้าได้เข้าไปในร้านนั้น เจ้าจะเข้าใจเองว่าทำไมเหล่าลูกค้าของพวกเราถึงได้หายไปกันหมด”
“อย่าบอกนะว่า ปีแอร์… เจ้าไปที่ร้านนั้นมางั้นเหรอ?”
คำสั่งที่กล่าวไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปใกล้สถานที่แห่งนั้น การฝ่าฝืนคำสั่งนั้นถือว่าขัดต่อนโยบายของกิลด์…การประชุมจึงเกิดความสับสนวุ่นวาย
“ใช่ ข้ายอมรับว่าข้าไปที่ร้านนั้นมา”
ปีแอร์กล่าวอย่างกระปรี้กระเปร่า
การรักษาจากเจ้าของร้านขายยาต่างโลกเป็นยังไงงั้นเหรอ? บอกได้เลยว่าหลังจากที่ลูกสาวของปีแอร์นั้นฟื้นตัว เขาได้ตัดสินใจกลับไปยังร้านแห่งนั้นอีกครั้ง เขามองไปยังทุกรายการสินค้าที่ขายภายในร้านและซื้อลูกอมกลับมาเป็นจำนวนมาก เขาได้ฟังเรื่องราวจากผู้ป่วยที่อยู่ในร้านนั้นโดยตรง จากนั้นเจ้าของร้านขายยานั้นก็ออกมาทักทายเขาแล้วถามเขาว่า “ลูกสาวของคุณหายดีแล้วหรือยังครับ?” และพวกเขาก็คุยกันอีกสักพักหนึ่ง
ยิ่งปีแอร์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับร้านนี้มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกได้เลยว่าร้านขายยาแห่งนี้นั้นไม่ควรจะถูกข่มเหงจากพวกเขาเลย แม้เขาจะคิดว่าไม่ดีนักที่ราคาของยานั้นถูกมาก แต่เนื่องจากจำนวนของลูกค้าที่เข้ามานั้นสามารถฟันกำไรได้อย่างงายดายเลย แพทย์โอสถนั้นควรเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนและร้านแห่งนั้นก็ยังได้สอนเขาเกี่ยวกับเรื่องของการรักษาและยาที่จำหนายอยู่ภายในนั้น
“ในทางกลับกันพวกเรานั้นไม่สามารถวินิจฉัยโรคอะไรได้ถูกต้องเลย และก็ไม่รู้วิธีการรักษาด้วย การใช้คำพูดของพวกเราก็ไม่ได้ดีนัก ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าผู้ป่วยป่วยเป็นอะไรแต่ก็ยังพยายามขายยารักษาที่มีราคาแพงให้เหมือนกับการฉ้อโกงดีๆ นี่เอง”
“นี่เจ้าพูดอะไรออกมา?”
เวรอนจ้องไปที่เขา
“ถึงแม้ว่าเราจะช่วยเยียวยาได้บางส่วนแต่นั่นมันก็แค่ความบังเอิญ พวกเราได้ทำคนหลายคนเสียชีวิตไป เพราะพวกเราไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ พวกเราก็เลยมุ่งเน้นกับการขายยาทั่วไปแทนแต่ที่มันขายกันอยู่นั้นก็มีแต่ยาพิษที่จะทำให้อาการแย่ลงหากใช้ไม่ถูกต้อง”
ปีแอร์ยกระดับเสียงของเขาขึ้น
“ทุกสิ่งที่อยู่ภายในร้านนั้นต่างจากของพวกเราอย่างสิ้นเชิง! มีความน่าเชื่อถือ ทันสมัย และที่สำคัญยังให้ความสำคัญอย่างมากกับผู้ป่วย”
“โว้ยยーพอแล้ว ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าอยากจะพูดแล้ว เชิญไสหัวไปจากกิลด์ได้เลย”
เวรอนบอกกับเขา ปีแอร์ได้ถูกไล่ออกมาจากสำนักงานใหญ่ของกิลด์
ในวันเดียวกันนั้นใบอนุญาตประกอบการของร้านเขาก็ถูกริบไป ทั้งสมุนไพรและยาของเขาก็ถูกนำออกไปด้วยทั้งหมดโดยกิลด์ ธุรกิจของเขาได้พังทลายลงแล้ว บริเวณหน้าร้านที่ทรุดโทรมของปีแอร์ได้นั่งอยู่ในขณะที่น้ำตาของลูกผู้ชายค่อยๆ ไหลออกมา ในขณะนั้นเองได้มีเด็กชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำซึ่งเดินมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงผมสีชมพูถือถุงขนมปังอยู่เดินผ่านเขาไป
“ฮิๆๆ ฉันซื้อขนมปังลูกเกดมาได้เยอะเลยค่ะท่านฟาร์มา!”
“ได้แค่คนละสามชิ้นนะเพราะผมสัญญากับผู้ป่วยคนหนึ่งว่าจะแบ่งให้เขาชิ้นหนึ่ง”
“เข้าใจแล้วค่ะ! คนละสามชิ้น”
นั่นคือเจ้าของและพนักงานของร้านขายยาต่างโลก ทั้งสองคนกำลังเดินทางกลับจากการซื้อของที่ร้านเบเกอรี่ยอดนิยมอย่างสนุกสนาน
“โอ๊ะ? เกิดอะไรขึ้นกับคุณเหรอครับ?”
ฟาร์มาสังเกตเห็นปีแอร์ ที่เพิ่งจะเข้ามาที่ร้านเขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทรุดตัวลงอยู่บนพื้นและเรียกเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาสังเกตุเห็นได้ทันทีว่าป้ายใบอนุญาตประกอบการ
จากกิลด์แพทย์โอสถหายไป ฟาร์มาเดาว่าเขาคงไม่สามารถจะดำเนินกิจการของตนได้อีกหากไม่มีใบอนุญาตประกอบการจากการมองร้านที่กำลังจะปิดตัว เขาคิดว่าสาเหตุนั้นอาจจะมาจากการที่เขาเข้ารับการรักษาที่ร้านขายยาต่างโลก
ปีแอร์นั้นรู้สึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนขี้ขลาดแม้กระทั่งจะเผชิญหน้ากับฟาร์มายังทำไม่ได้เลย
“ถ้าไม่มีใบอนุญาตผมก็เปิดร้านต่อไม่ได้หรอก ท่านอยากจะฟังเรื่องนี้ดูไหมล่ะ?”
ปีแอร์บอกเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาและสรุปว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นในกิลด์แพทย์โอสถ ทั้งเรื่องที่เขาบอกแพทย์โอสถคนอื่นๆ ถึงยาที่ขายอยู่ในร้านขายยาต่างโลกและการเปลี่ยนแนวทางมาใช้การรักษารูปแบบใหม่จะส่งผลดีต่อทางนั้นแค่ไหน
“อย่างนี้นี่เอง…”
“ผมคงจะต้องออกจากประเทศนี้ไปแล้วไปเปิดร้านที่อื่นโดยไม่มีใบอนุญาตแบบนี้แหละนะ”
นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะสามารถทำได้ และประเภทยาที่เขาขายได้นั้นก็มีอยู่จำกัดด้วย
“คุณสามารถกลับมาเป็นกิจการถ้าหากเข้าร่วมกับกิลด์อื่นใช่ไหมครับ?”
ฟาร์มาถาม
“แต่มีเพียงกิลด์แพทย์โอสถเท่านั้นที่ขายยาได้ ถ้าผมเข้ากิลด์นี้ไม่ได้ถ้าก็คงขายยาต่อไม่ได้แล้วล่ะ”
และปีแอร์ก็ไหล่ตกลงไป และราวกำลังรอคำพูดนี้ ฟาร์มาได้ยื่นข้อเสนอของเขาอย่างร่าเริง
“เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้มีกิลด์เกี่ยวกับแพทย์โอสถถูกจากตั้งขึ้นมาใหม่ด้วยนะครับ”
เขาได้รับอนุญาตจากจักรพรรดินีให้จัดตั้งกิลด์ขึ้นมาได้ โดยความร่วมมือจากร้านขายยาต่างโลกพวกเขาจะฝึกอบรมผู้ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับยาและวิธีการใช้ต่างๆ อีกทั้งยังสามารถนำสิ่งที่ได้ไปเปิดร้านของตนเองได้อีกด้วย คุณอยากจะเข้าร่วมกิลด์ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ที่ไม่ใช่กิลด์แพทย์โอสถหรือเปล่าครับ? นั่นคือข้อเสนอที่ฟาร์มายื่นให้กับปีแอร์
“ไม่ใช่ว่าแบบนั้นต้องมีค่าสมัครเป็นสมาชิกที่ราคาสูงมากเลยเหรอ?”
“มันสามารถสมัครได้ฟรีครับ แล้วคุณสามารถจะออกไปตอนไหนก็ได้ตามที่คุณต้องการ”
“ช่วงเวลาการฝึกฝนและอบรมต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ล่ะ?”
“คุณจะได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลาสองเดือนครับ คุณสามารถจะดูสูตรยาและวิธีการทำได้หลังจากนั้นอีกทีครับ สำหรับเรื่องอื่นนั้นผมจะคอยไปตรวจสอบและให้คำแนะนำกับเรื่องพวกนี้ที่ร้านของพวกคุณเป็นประจำให้เองครับ”
การสร้างยาขึ้นมาในปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องยากและเป็นอันตรายมากทั้งพวกสารเคมี ซึ่งจะทำเล่นๆ ไม่ได้เด็ดขาดและยังเป็นเภสัชศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาบนโลกใบนี้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามแม้พวกเขาจะไม่ใช่แพทย์โอสถ แต่พวกเขาก็ยังสามารถขายยาได้อยู่ดี ในญี่ปุ่นจะเรียกยาประเภทนี้ว่า OTC (ยาที่ไม่จำเป็นต้องสั่งโดยแพทย์) ผู้ขายที่ลงทะเบียนไว้เช่นร้านสะดวกซื้อนั้นก็สามารถจะขายได้ ถ้าหากพวกเขาเข้าใจวิธีการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ส่วนทางเหล่าร้านขายยานั้นก็มีระบบมาคอยรองรับและช่วยเหลือเอาไว้ด้วยจนสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง แน่นอนว่าประสิทธิภาพของยานั้นย่อมสูงกว่ายาที่กิลด์แพทย์โอสถมี นอกจากนั้นยังประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บอีกด้วย
“ตะー แต่ว่า…”
ปีแอร์แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เขาได้ยินจนไหล่ถึงกับสั่น
“แล้วแน่นอนครับว่าคุณจะได้รับการคุ้มครองในระหว่างการดำเนินกิจการด้วย”
“ผะ ผะ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย…!”
และในตอนนั้นสมาชิกคนแรกของกิล์ร้านขายและจ่ายยาก็ถือกำเนิดขึ้น
_____________________________________
Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913