ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 26
นที่ 26 แอคติโนมัยซีทฉายแสงและปฎิหาริย์แห่งหมู่บ้านเอสทาร์ก
——
นี่เป็นช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่ฟาร์มาและเอเลนจะพบผู้ป่วยกาฬมรณะคนแรกบริเวณเขตกักกันทางทะเล
บรูโน เดอ เมดิซิสกำลังนั่งอยู่ในห้องผู้อำนวยการของวิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟ
เขากำลังเขียนจดหมายคู่มือในการตรวจสอบและกักกันผู้ป่วยกาฬมรณะแล้วส่งมันไปยังส่วนต่างๆของจักรวรรดิและมหาวิทยาลัยทั่วโลกในชั่วข้ามคืน เขาได้เปลี่ยนเนื้อหาของส่วนต่างๆในจดหมายไปตามสถานการณ์ของสถานที่ต่างๆเช่นการพิจารณาจากลักษณะภูมิประเทศของที่นั้นๆ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ประเพณี ศาสนาและอื่นๆ ซึ่งใช้คำพูดที่ได้ฟังมาจากฟาร์มาเป็นฐานในการเขียนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากหากเกิดการระบาดของโรคขึ้นมา ผู้คนจะต้องรู้เกี่ยวกับการแยกผู้ป่วย วิธีการรักษา วิธีการระบุอาการของโรคซึ่งในบางกรณีหากพวกเขามีกล้องจุลทรรศน์อยู่ด้วยก็จะสามารถทำมันได้ง่ายยิ่งขึ้น วิธีการจัดการกับศพ ฯลฯ
การเขียนหนังสือแนะนำของบรูโนที่จะส่งไปนี้จากตำแหน่งของเขาย่อมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับผู้คน โรงพยาบาล สถานีวิจัยและสถาบันที่เกี่ยวข้องต่างๆ ให้สามารถเตรียมการรับมือกับมันได้
แม้ฟาร์มาจะบอกว่าตัวเขานั้นมียารักษา แต่ขีดจำกัดของเขาก็คงจะสามารถช่วยเหลือได้แค่ในส่วนของเมืองหลวงเท่านั้น การที่เขาจะผลิตยารักษาแล้วกระจายมันไปทั่วโลกนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
และนั่นคือเหตุผลที่ประเทศอื่นนอกจากจักรวรรดิต้องหาทางป้องกันโรคโดยไม่ใช่ยารักษา
「ถึงฟาร์มาจะบอกแบบนั้น แต่โรคนั้นมันก็เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 210 ปีก่อนแล้วนะมันจะเป็นไปได้อยู่งั้นเหรอ?」
แม้ตัวเขาจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่หากลางสังหรณ์ของฟาร์มาบอกเช่นนั้น บรูโนก็ตัดสินใจที่จะเชื่อในตัวของฟาร์มา
เขารู้ดีว่าตอนนี้ฟาร์มา เอเลน และเหล่าผู้ช่วยของเขานั้นกำลังอยู่ในบริเวณเขตกักกันของ
เมืองมาเชลและเขาก็ต้องการจะช่วยเหลือให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แต่ด้วยหน้าที่ของหัวแพทย์โอสถหลวงแล้วทำให้เขาจำเป็นจะต้องอยู่แต่ภายในเมืองหลวงเท่านั้นเผื่อเวลาเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นภายในเขาจะต้องเป็นผู้ยับยั้งมันก่อนที่จะสายเกินไป บรูโนจึงไม่สามารถไปช่วยพวกฟาร์มายังเมืองมาเชลได้
「ผู้อำนวยการครับศาสตราจารย์แคสเปอร์ต้องการเข้าพบครับ」
เลขาของบรูโนที่อยู่ข้างนอกห้องผู้อำนวยการเข้ามาบอกเขา
「อืม อนุญาตให้เข้ามาได้」
บรูโนเรียกให้หญิงชราท่าทางแปลกๆที่เป็นถึงศาสตราจารย์เข้ามาในห้องผู้อำนวยการ
เธอผู้นั้นคือศาสตราจารย์แคสเปอร์ หลุยส์ผู้เป็นนักวิจัยเกี่ยวกับเชื้อราและสปอร์ อีกทั้งเธอยังเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุลมอีกด้วย การแต่งตัวของเธอนั้นสวมชุดคลุมสีดำที่จรดไปถึงหัวราวกับแม่มด ซึ่งบางคนก็กล่าวถึงเธอว่าเธอนั้นเป็นพวกชอบวิจัยในเรื่องไร้สาระและไม่เคยมีความสำเร็จอะไรเหมือนคนอื่นเลย เธอจึงได้รับเงินทุนวิจัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากทางวิทยาลัย เธอที่ไร้ซึ่งผลลัพธ์ของงานวิจัยใดๆเป็นชิ้นเป็นอันและกำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณในปีหน้าด้วย
งานวิจัยของตัวเธอนั้นคือการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคสนามและอนุกรมวิธานเชื้อรา อย่างไรก็ตามเพราะงานวิจัยของเธอต้องใช้ห้องปฏิบัติการซึ่งเป็นงานวิจัยทางพันธุกรรมที่ดูซับซ้อนมากกว่าของทางโนวารูตและมีนักเรียนเพียงจำนวนน้อยนิด แถมยังโดนปฏิบัติราวกับเป็นสาขางานวิจัยที่ไม่มีอนาคต จนถึงตอนนี้เธอจึงมีนักเรียนในชั้นเพียงสองคนเท่านั้น
มีหลายคนที่ไม่อยากให้เธอใช้พื้นที่ในส่วนของห้องวิจัยเปลืองและอยากให้เธอปิดงานวิจัยของเธอไปซะโดยการลดเงินทุนวิจัย แต่จนถึงบัดนี้ที่เธอยังสามารถทำการวิจัยของตนมาได้นั้นเพราะมีผู้สนับสนุนอย่างบรูโนนั่นเอง
มันเป็นงานวิจัยที่ไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆก็จริง แต่ตัวบรูโนนั้นเชื่อว่ามันจะต้องสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงแน่นอน
「ท่านผู้อำนวยการคะ ฉันจะถูกไล่ออกอย่างงั้นเหรอคะ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างน้อยขอเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้นนะคะ ให้ฉันได้ดูแลจากวิจัยนี้ต่อไปอีกสักนิด」
เธอกลัวอย่างมากหากจะต้องถูกไล่ออกและหมดสิทธิ์ในการแตะต้องงานวิจัยของเธอในทันที น้ำตาของเธอนั้นเริ่มไหลรินลงมาจากดวงตา เธอใช้แขนทั้งสองข้างนั้นซับมันออก และตัวสั่นราวกับรอคำพิพากษา
「ไม่ใช่แบบที่เธอคิดหรอก ฉันอยากจะให้เธอรับหน้าที่อันแสนสำคัญอย่างหนึ่ง」
「ฉันเหรอคะ……เริ่มงานตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ?」
หญิงชรากำลังจัดการกับแว่นตาของตนที่ไหลลงมา บุคคลที่คอยช่วยเหลือเธอโดยตลอดมากำลังจะมอบหน้าที่อันแสนสำคัญให้กับเธอ แสดงให้เห็นได้เลยว่าตัวเขานั้นสนับสนุนเธอมากขนาดไหน
「เป็นภารกิจที่สำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยโลกใบนี้และมีเฉพาะเธอคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ในจักรวรรดินี้!」
「โอ้ โอ้ววว……นั่นมันคือ」
เธอตกใจกับคำว่า โลก สำหรับบรูโนนั้นอาจจะมีงานที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับความเป็นไปของโลกอยู่หลายครั้งเป็นเรื่องธรรมดา แต่กับตัวเธอนั้นที่มุ่งเน้นแต่การวิจัยและจดจ่ออยู่กับพวกเชื้อราภายในจักรวรรดิเพียงเท่านั้นต่างกันออกไป
「ฉันอยากให้เธอค้นหาจุลินทรีย์ตัวใหม่และเพาะเลี้ยงเพิ่มปริมาณพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และทำการแยกส่วนประกอบทางยาของพวกมันด้วย」
จุลินทรีย์ที่ฟาร์มากำลังพยายามค้นหาแต่ยังไม่คืบหน้านักซึ่งตัวมันนั้นสามารถผลิตเป็นยาที่ต้านเชื้อแบคทีเรียได้
แอคติโนมัยซีท (Actinomycetes)
เติบโตเหมือนกับเชื้อรา ขยายตัวราวกับแสงรังสี นั่นคือเหตุผลที่ทำให้มันถูกตั้งชื่อเช่นนั้น
บรูโนเรียกตัวเธอมานั้นเพื่อให้เธอแสดงให้เขาเห็นถึงความทะเยอทะยานและความรู้ที่เธอมี
「สิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษนั่นแหละ ที่จะกลายมาเป็นยารักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาอย่างกาฬมรณะและโรคระบาดอื่นๆ」
「เอ๋?」
「ลองอ่านสิ่งนี้ดูสิ」
เขาแสดงภาพลักษณะของแอคติโนมัยซีทที่ฟาร์มาเขียนทิ้งเอาไว้ให้ และวิธีการมองมันผ่านกล้องจุลทรรศน์ ข้อมูลที่ฟาร์มาทิ้งไว้ให้นี้สร้างความกระจ่างให้กับบรูโนในหลายๆส่วนมาก
「นักวิจัยที่ยิ่งใหญ่คนไหนทำมันขึ้นมากัน……? บะ-บางสิ่งในนี้จะกลายเป็นส่วนผสมสำคัญของยารักษาในภายภาคหน้าสินะ……」
ศาสตราจารย์แคสเปอร์ค่อยๆดูภาพสเกตและบันทึกย่อของฟาร์มาอย่างระมัดระวัง เธอปรับแว่นตาของเธอขึ้นลงเพื่อให้มันกระชับอยู่หลายครั้ง ราวกับจะเทียบมันกับความรู้ที่เธอสั่งสมมาตลอดทั้งปี
และท้ายที่สุดเธอก็กลืนน้ำลายลงและตอบกลับมาด้วยเสียงที่สั่น
「ถะ-ถะ-ถะ-ถ้าหากเป็นเชื้อราตัวนี้ นะ-ในห้องวิจะ-จัยของฉันค้นพบมันมาเมื่อหลายปีกะ-ก่อนแล้วค่ะ ฉะ-ฉันเก็บมันไว้ใน……ขะ-ขวดค่ะ」
ศาสตราจารย์ผู้เข้าใกล้วัยเกษียณได้กลายเป็นผู้กอบกู้ที่แท้จริงมาตั้งแต่อดีตแล้ว
「เธอทำได้ดีมาก ศาสตราจารย์แคสเปอร์!」
นับตั้งแต่วันที่เธอนั้นได้ทำการทดสอบการผลิตยาปฏิชีวนะและนำผลงานดังกล่าวนั้นไปใช้ในการรักษา
โดยทางวิทยาลัยเองก็มีการตัดสินใจอนุมัติให้นำเหล่าจุลินทรีย์ที่ทดสอบได้นั้นไปสร้างเป็นยาตัวใหม่จริงๆ
ห้องปฏิบัติการวิจัยของเธอนั้นได้รับเงินทุนจากวิทยาลัยอยากล้นหลามรวมไปถึงห้องวิจัยที่สามารถใช้ได้นั้นเพิ่มขึ้นมาอีก3ห้องและภายในนั้นมีอุปกรณ์สังเคราะห์สารอินทรีย์ต่างๆสำหรับศาสตราจารย์แคสเปอร์และนักวิจัยเล่นแร่แปรธาตุกับวิศวกรอีกเป็นจำนวนมาก
「ศาสตราจารย์แคสเปอร์แค่นี้ผลงานทิ้งท้ายก่อนเกษียณของคุณอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆแล้วก็เป็นได้」
บรูโนกล่าวให้กำลังใจกับเธอ
「มันจะต้องเป็นเช่นนั้นค่ะ ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เลยค่ะ」
หากการเอาชนะกับกาฬมรณะเป็นที่ประสบผลสำเร็จความจริงที่เธอนั้นจะได้รับการยอมรับจากแวดวงวิชาการที่เธอใฝ่ฝันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริงอีกแล้ว
นี่มันคือโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ศาสตราจารย์แคสเปอร์ตัดสินใจว่าตนนั้นจะต้องคำสิ่งที่สามารถตอบรับคำขอของบรูโนมาให้จงได้
แม้ว่าการเริ่มต้นเพาะเลี้ยงนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในทันที
อย่างไรก็ตามหากเธอไม่ได้เริ่มวิจัยในเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก สิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บไว้ภายในนั้นคงจะถูกละเลยและเลือนหายไปตามกาลเวลา
และเวลานั้นก็มาถึงบรูโนได้รับข่าวจากนกพิราบสื่อสารว่า กาฬมรณะนั้นถูกพบแล้วยังบริเวณเมืองมาเชล
_________________________________________________________________
ฟาร์มาได้นำ เครื่องมือแพทย์ ยา ผ้าปิดปากใส่ไว้ภายในกระเป๋าของเขาก่อนจะแบกมันขึ้นไปบนไหล่ และเริ่มทำการลอยตัวในระดับที่สูงมากๆ ไปยังหมู่บ้านเอสทาร์กที่อยู่ทางตะวันตกของท่าเรือมาร์เซย์
เพราะการสร้างพลังขับเคลื่อนให้กับคทาแห่งเทพและการควบคุมทิศทางในขณะลอยตัวนั้นต้องใช้ทั้งพลังแห่งเทพและสติของฟาร์มาเป็นอย่างมาก จนบางครั้งตัวเขานั้นเกือบจะพุ่งลงไปชนเข้ากับนกและต้นไม้อยู่หลายครั้ง
เหล่าผู้คนที่อยู่บนพื้นก็ต่างตกใจกับสิ่งที่ตนได้เห็น วัตถุลึกลับที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าด้วยความเร็วสูงและส่งเสียงกรีดร้องออกมา คทาแห่งเทพของฟาร์มานั้นได้ปล่อยแสงสว่างใส่ออกมาขณะบินจึงทำให้ผู้คนที่อยู่บนพื้นไม่สามารถเห็นตัวไม้ได้และเห็นเพียงคนเปล่าๆลอยอยู่เท่านั้น
“สงสัยจริงๆเลยว่าเจ้าของคนเก่าเป็นใครกัน?” ฟาร์มารู้สึกสงสัย
คนที่ลอยอยู่บนฟ้าแบบนี้อาจจะถูกรายงานต่อทางศาสนจักรว่าเป็นพวกนอกรีตก็ได้ แต่เพราะเขาสวมชุดคลุมสีขาวเอาไว้จึงไม่น่าจะมีใครรู้ว่าเป็นใคร ส่วนรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนั้นค่อยไปจัดการทีหลังก็แล้วกัน
ณ น่านฟ้าของหมู่บ้านประมงเอสทาร์กของเมืองมาเชล
ฟาร์มายังคงลอยอยู่บนอากาศในระดับความสูงที่สูงพอสมควร ก่อนจะมองไปยังทะเลที่มีเพียงเรือยอชต์และเรือประมงขนาดเล็กเท่านั้น เรือขนาดใหญ่ที่ลักลอบนำเข้าสินค้านั้นไม่ได้อยู่บริเวณนอกชายฝั่ง บางทีพวกเขาอาจจะซ่อนตัวอยู่แถวๆโขดหินไม่ก็กลับไปยังเนเดลแล้ว
มันคงจะแย่มากแน่ๆหากพวกเขากลับประเทศไปแล้ว
แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันที่ลูกเรืออาจจะเสียชีวิตและเรืออับปางไปแล้ว
(ให้ตายสิ! เรืออยู่ไหนกันนะ เราต้องรีบไปกำจัดเชื้อที่เรือแล้วก็รีบรักษาลูกเรือในนั้นด้วยสิ)
「ถ้ากางอาณาเขตไว้จะเป็นยังไงนะ อืมมม……」
จากที่ฟาร์มาถามหัวหน้านักบวชซาโลมอนเพื่อแปลคู่มือวิธีใช้คทาแห่งเทพโอสถจากจดหมายโบราณ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดึงความสามารถของคทาออกมาได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาและง่ายต่อการใช้งานหนึ่งในนั้นคือการสร้างอาณาเขตพิทักษ์
เขาใส่พลังแห่งเทพลงไปยังคทาและเริ่มเหวี่ยงมันไปรอบๆราวกับค้อน ด้วยการทำเช่นนี้มันสามารถสร้างอาณาเขตพิทักษ์ที่สามารถป้องกันศาสตร์แห่งเทพจากผู้อื่นได้รวมทั้งการขยายอาณาเขตให้กว้างขึ้นได้อีกด้วย
เมื่อฟาร์มาใช้เปิดใช้งานแดนศักดิ์สิทธิ์ คลื่นแสงสีน้ำเงินแผ่กระจายไปยังอากาศและขยายออกไปราวกับระเบิด
「แดนศักดิ์สิทธิ์ก็สะดวกจริงๆนั่นแหละ」
สิ่งที่ฟาร์มาใช้นั้นคือ 「แดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาด」 ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะของคทาแห่งเทพโอสถ มนตร์บทนี้ เทคนิคระดับนี้ มันถูกเรียกกันว่า ศาสตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้า ตัวของฟาร์มานั้นสามารถใช้มันได้โดยไม่มีความรู้สึกแปลกๆใดๆเลย แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังต้องใช้เวลาร่ายนานพอสมควรเพื่อให้มันทำงาน
ภายในอาณาเขตพิทักษ์ชำระล้างเชื้อโรคจะทำให้เชื้อนั้นไม่สามารถลอยไปมาในอากาศได้และการกระจายของมันก็จะถูกหยุดไปซึ่งทำให้การเพิ่มผู้ติดเชื้อนั้นเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้ อาณาเขตพิทักษ์ชำระล้างเชื้อของฟาร์มานั้นได้ปกคลุมทั่วหมู่บ้านเอสทาร์กเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากคทาซึ่งลดจอดบริเวณพื้นของหมู่บ้านด้วยความรวดเร็ว
「อะ-อะไรกัน……?!!」
เด็กหนุ่มผู้สวมชุดคลุมสีขาวได้ตกลงมาจากฟากฟ้าพร้อมแสงสว่างได้ขโมยสายตาของเหล่าชาวบ้านบริเวณนั้นไปหมดแล้ว
ในหมู่บ้านเอสทารืก ผู้ป่วยที่มีอาการหนักนั้นจะถูกรวบรวมเอาไว้ที่คลินิก และชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นกำลังจะหนีออกไปจากหมู่บ้านเพราะกลัวโรค โดยทิ้งผู้ป่วยไว้ข้างหลัง
「กรุณารอก่อนครับ!」
ฟาร์มายืนอยู่บริเวณทางเข้าของหมู่บ้านและปิดกั้นทางของพวกชาวบ้านเอาไว้
จากนั้นเขาก็ได้ร่ายมนตร์สร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาล้อมรอบหมู่บ้านเอาไว้ด้วยกำแพงน้ำแข็งหนา
พลังแห่งเทพระดับนี้ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่ชาวบ้านในชนบทจะได้เห็น
「ว๊ากกกกーー! นี่มันกำแพงน้ำแข็งนี่! เจ้าเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่เนี่ย?!」
「มะ-มันบนลงมาจากท้องฟ้า! มันต้องเป็นสัตว์ประหลาดแน่ๆ!!」
「พวกเราติดอยู่ในกำแพงน้ำแข็งแบบนี้ก็ออกไปข้างนอกไม่ได้แล้วน่ะสิ!!」
เหล่าชาวบ้านเริ่มเข้าใจว่าเขานั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่จะเข้ามาสังหารหมู่คนในหมู่บ้าน จนตอนนี้ชาวบ้านต่างตกอยู่ในความตื่นตระหนกกันหมดแล้ว
(ถ้าเป็นเราแล้วเห็นคนพุ่งลงมาจากฟ้าแบบนั้นก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ คงต้องเปิดหน้าให้เห็นแล้วสิ)
เขาต้องการจะปกปิดตัวตนไว้ตอนบินอยู่บนฟ้า แต่ตอนนี้มันกลับดูน่าสงสัยเป็นอย่างมาก ฟาร์มาได้ถอดผ้าปิดปากของเขาออกและถอดผ้าคลุมหัวออก แล้วเรียกพวกชาวบ้าน
「ผมเป็นแพทย์โอสถหลวงของทางเมืองหลวงครับ ผมมาที่นี่เพื่อช่วยพวกคุณ」
「เป็นมนุษย์งั้นหรอกเหรอ?」
「ตะ-แต่ก็ยังเป็นแค่เด็กนะ」
「ชะ-ช่วยบอกพวกเราทีเถอะ ว่าตอนนี้หมู่บ้านเราป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่?!!」
「มันคือกาฬมรณะครับ」
ฟาร์มาตอบกลับทันที เพราะอย่างแรกเขาต้องการให้พวกเขาตกอยู่ในความกังวลในระดับที่สูงที่สุดเสียก่อน
「ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราได้ตายกันหมดแน่! หมู่บ้านนี้จบสิ้นกันแล้ว!」
เมื่อคนในหมู่บ้านรู้เรื่องเกี่ยวกับฝันร้ายเมื่อ 210 ปีก่อน พวกเขาต่างตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกอีกครั้ง ก่อนฟาร์มาจะพูดกับพวกเขาด้วยเสียงที่ดังก้อง
「ถ้าหากพวกคุณยังต้องการมีชีวิตรอดอยู่ กรุณาฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ด้วยนะครับ!」
ในขณะที่สายตาชาวบ้านกำลังจับจ้องฟาร์มาก็พูดต่อด้วยเสียงที่ชัดเจน
「กาฬมรณะนั้นมันเกิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าครับ ถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนของผู้เสียชีวิตขึ้นครับ แม้ว่าพวกคุณจะหนีไปจากที่นี่ แต่กาฬมรณะก็จะคอยตามมันไปคร่าชีวิตพวกคุณอยู่ดีครับ เพราะว่ายังมีทั้งพวกหมัดภายในหมู่บ้านที่สามารถจะทำให้พวกคุณติดเชื้อกันได้ครับ」
「แล้วจะให้พวกเราทำยังไงกันล่ะ?! ถ้าหากเราจะหนีไปที่ไหนยังไงก็ตายอยู่ดีแล้วจะมาล้อมพวกเราไว้อีกทำไมกัน?!!」
นายพรานหนุ่มที่ดูท่าทางกำลังโกรธ ได้ชี้มีดมายังฟาร์มา
「ที่ผมกำลังพยายามจะบอกพวกคุณคือ ผมมียารักษาโรคนี้ครับ」
「ยารักษากาฬมรณะมันมีอยู่จริงหรือ……?」
แพทย์โอสถขั้นสามซึ่งเป็นคนแรกที่จะพยายามจะหนีในตอนแรกนั้นเริ่มทำท่าเหมือนไม่เชื่อในคำพูดนั้น
「ผมก็สัญญาไม่ได้หรอกครับว่าทุกคนจะปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องพยายามลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้น้อยที่สุดครับ เหตุผลที่ผมต้องกางกำแพงน้ำแข็งแบบนี้ไว้ก็เพื่อช่วยในการประหยัดเวลา เพราะทุกคนคงหนีไปพอรู้ว่าเป็นโรคร้ายแรงขนาดนี้ ดังนั้นได้โปรดอย่าหนีไปและเข้ารับการรักษากันด้วยนะครับ」
ฟาร์มาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ภายในหมู่บ้านเพื่อนับจำนวนประเภทของผู้คนภายในหมู่บ้าน
จำนวนประชากรภายในหมู่บ้านเอสทาร์กนั้นมีทั้งหมด 524 คน
มี 93 คนที่ถูกนำตัวส่งไปยังคลินิกของหมู่บ้าน
15 คนเสียชีวิตแล้ว
8 คนได้หนีออกไปจากหมู่บ้านก่อนหน้านี้แล้ว
18 คนตอนเกิดเรื่องนั้นไม่ได้อยู่ภายในหมู่บ้านแต่แรกแล้ว
ปัจจุบันจึงมีชาวบ้านอยู่ที่นี่ 390 คนที่ยังไม่แสดงอาการ
ฟาร์มาได้แบ่งกำแพงน้ำแข็งที่ปกคลุมในหมู่บ้านนี้ออกเป็นสามส่วน และเอาส่วนหนึ่งของกำแพงน้ำแข็งสร้างทางเข้าเล็กๆเอาไว้ด้วย
「จากนี้เราจะทำการแบ่งแยกผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อกับผู้ติดเชื้อออกจากกันนะครับ โดยจะแบ่งออกเป็นสามประเภทคือ ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อใดๆ ผู้ติดเชื้อ และสุดท้ายคือผู้ป่วยที่มีอาการหนักมากแล้วนะครับ」
ด้วยการแยกสัดส่วนนั้นเขาได้ใช้ดวงตาวินิจฉัยส่องไปยังชาวบ้านทั้ง 390 คน และแบ่งพวกชาวบ้านไปตามส่วนของอาการ จากนั้นจึงมอบผ้าปิดปากและบอกให้พวกเขาล้างมือด้วยน้ำสะอาดที่ฟาร์มาสร้างขึ้น
คนที่ถูกคัดมาทางส่วนของคนปกติต่างแสดงสีหน้าออกมาด้วยความยินดี ส่วนทางผู้ที่ถูกแยกไปทางผู้ติดเชื้อนั้นต่างไหล่ตกกันถ้วนหน้า
「ที่เราต้องแบ่งแยกเป็นสัดส่วนแบบนี้ก็เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อครับ แล้วผมจะมอบยาให้กับทุกคนได้สะดวกด้วย」
ฟาร์มาได้มอบสปาร์ฟลอกซาซินที่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วให้กับชาวบ้านโดยได้ด้วยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่และแพทย์โอสถภายในหมู่บ้านก่อนจะเริ่มสอนพวกเขาถึงวิธีใช้ยาตามคู่มือที่ฟาร์มามอบให้
「ผู้หญิงมีครรภ์ เด็ก แล้วก็ทารกโปรดตามมาทางนี้เลยครับ」
ฟาร์มารวบรวมชาวบ้านในกลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษไว้เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาดและเงื่อนไขให้ตรงกับตัวคนใช้อย่างเหมาะสม
เมื่อมีการจ่ายยากันเกิดขึ้น ก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันทีจนเลยเถิดไปถึงขั้นมีคนใช้มีดเข้ามาข่มขู่เพื่อลัดคิวรับยา
「ไอ้เจ้าโง่ ท่านแพทย์โอสถก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอไงว่ายาน่ะได้กันทุกคน อย่าทำให้มันวุ่นวายนักจะได้ไหม! หรือถ้าใครอยากจะตายตอนนี้เลยก็เข้ามา!!」
เจ้าหน้าที่ในหมู่บ้านคนหนึ่งได้ชักดาบออกมาเพื่อทำให้สถานการณ์สงบลง
「ได้โปรดใจเย็นๆกันก่อนนะครับ ยาที่ผมเตรียมมาเพียงพอสำหรับทุกคนครับ แล้วผมจะมอบยาให้กับทางผู้ที่ไม่ติดเชื้อเหมือนกันครับไม่ต้องเป็นห่วง」
ฟาร์มาบอกกับพวกเขาแบบนั้นและนั่นทำให้พวกเขาเริ่มสงบลง
หลังจากมอบยาให้กับทุกคนเสร็จแล้ว ชาวบ้านก็ต่างรู้สึกมีชีวิตชีวากันขึ้นมาอีกครั้งจากน้ำดื่มที่ถูกสร้างขึ้นมาจากศาสตร์แห่งเทพของฟาร์มาและเขายังได้มอบน้ำเหล่านี้ให้เก็บไปใส่ไว้ในถังเพื่อให้พวกชาวบ้านนำไปใช้เช็ดตามร่างกาย จากนั้นก็ได้มีการเผาเสื้อผ้าที่ติดเชื้อและชาวบ้านก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าๆภายในตู้ที่ยังไม่มีเชื้ออะไร
ต่อจากนั้นฟาร์มาก็เดินตรงไปยังคลินิกที่มีผู้ป่วยหนักและเริ่มทำการตรวจสอบ เตียงนั้นถูกเรียงยาวไว้ในแนวเดียวกัน ทั้งบนพื้นก็มีผู้ป่วยถูกวางอยู่เอาไว้ด้วย แม้แต่ชั้นบนก็ยังเต็มไปด้วยผู้ป่วย ทั้งเหล่าบาทหลวงและผู้เยียวยาที่อยู่ภายในนั้นก็ได้แต่นั่งภาวนาและช่วยเหลือผู้คนเท่าที่จะทำได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้กับผู้ป่วยที่มีอาการไข้สูงและมีอาการเลือดออก
พวกเขานั้นสวมหน้ากากรูปนกทรงประหลาดและถุงมือป้องกันหนาสีขาว ในปากของนกนั้นมีสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมอย่างรุนแรงเหมือนกับเป็นการขับไล่วิญญาณร้ายและส่วนดวงตาก็ถูกปกคลุมไปด้วยแก้ว ซึ่งกำลังดูแลผู้ป่วยโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงลักษณะนั้นคล้ายกับแพทย์รักษาโรคระบาดในช่วงยุคกลางทางฝั่งโลกเดิมของเขาเลย
ชุดของพวกเขานั้นแม้จะยังไม่ถือว่าป้องกันเชื้อได้อย่างสมบูรณ์นัก แต่ฟาร์มาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากแล้วกับการตอบโต้กับโรคระบาดนี้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงนั้นคือการที่พวกเขาจะใช้ชุดนี้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งมันไปหรือไม่
เมื่อเขาเข้าไปยังคลินิกแล้วฟาร์มาก็ถ่ายพลังลงไปในคทาแห่งเทพและเพิ่มพลังของแดนศักดิ์สิทธิ์ภายในนั้นเพื่อป้องกันเชื้อในอากาศ ทันใดนั้นเหล่านักบวชก็ต่างรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของแดนศักดิ์สิทธิ์
「นี่มันรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศเริ่มบริสุทธิ์ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ……」
「อ๊ะ!! นั่นมันท่านเทพโอสถนี่ครับ!」
หนึ่งในผู้ไต่สวนที่เคยต่อสู้กับเขาบริเวณเนินเขาของเมืองหลวงดูท่าจะถูกส่งไปมายังเมืองมาเชลแห่งนี้หลังจากการได้ยินถึงเรื่องโรคระบาดที่ปรากฏขึ้นมา
「เจ้าหนู เด็กอย่างเจ้าไม่ควรจะเข้ามาในที่แบบนี้นะ!」
「เจ้าคนอวดดี ท่านผู้นี้ไม่ใช่เด็กเสียหน่อย!」
ก็ต้องขอบคุณเขาอยู่เหมือนกันที่ทำให้สถานการณ์ต่างๆมันง่ายขึ้นเยอะ
หลังจากได้รับฟังคำอธิบายพวกเขาก็ทำตามที่ฟาร์มาสั่ง ก่อนจะมอบยารักษาให้กับผู้ป่วย โดยฟาร์มาจะปล่อยให้ผู้ป่วยทานยาเองแต่หากพวกเขาไม่สามารถกลืนยาได้เขาก็จะสร้างน้ำขึ้นมาให้ผู้ป่วยดื่มตามเพื่อความสะดวก ทันทีที่รักษาผู้ป่วยหนักเสร็จฟาร์มาก็ยังต้องคิดเกี่ยวกับมาตรการอีกหลายๆอย่างในการใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ไหนจะเรื่องสมุนไพรที่ต้องทำอีกเป็นจำนวนมากและการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายที่ตายไปแล้วของผู้ป่วยในส่วนต่างๆก็ต้องได้รับการจัดการเช่นกัน
เหล่าผู้ป่วยที่เหลือภายในคลินิกนั้นเริ่มมีอาการทางจิตแทรกซ้อนขึ้นมามาจากทนต่อความเจ็บป่วยไม่ได้และเริ่มเสียสติ ได้กรีดร้องและส่งเสียงสะอื้นออกมา ทั่วไปทุกหนแห่ง
ภาพภายในคลินิกตอนนี้ราวกับนรกก็มิปาน แม้จะภายในแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตามแต่มันก็ยังถูกเติมเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ฟาร์มามองไปยังคนเหล่านั้นด้วยดวงตาวินิจฉัยซึ่งอย่างที่คาดไว้ว่ามีแสงสีฟ้าปกคลุมร่างกายของพวกเขาอยู่
ฟาร์มาได้สร้างน้ำขึ้นมาเพื่อจะใช้ร่วมกันกับยาเพื่อจะใช้มันกับผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมาก น้ำที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นปราศจากเชื้อและยังสร้างยาขึ้นมาจากความสามารถสร้างสสารอีกด้วย แม้ปกตินั้นตัวฟาร์มาจะห้ามไม่ให้ตัวเองสร้างเข็มขึ้นมาฉีดยาให้กับผู้ป่วย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ว่าอะไรเขาก็จำเป็นจะต้องใช้มันทั้งหมด หากนึกถึงไปในปัจจุบันแล้วแม้ญี่ปุ่นจะมีอุปกรณ์ต่างๆที่ทันสมัยก็ตามแต่ก็ยังมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้ออย่างร้ายแรงอยู่ที่ 30 เปอร์เซ็นต์อยู่ดี
(ไม่……แบบนั้นเราช่วยทุกคนไม่ได้แน่!)
ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยใบสั่งยาและเภสัชกรเพียงแค่คนเดียว
ฟาร์มารู้ดีถึงขีดจำกัดของตนในฐานะเภสัชกร
แต่ตัวเขานั้นลืมอะไรบางอย่างไป
ตอนนี้ตัวเขานั้นมีคทาแห่งเทพโอสถอยู่และความสามารถที่เหนือมนุษย์ซึ่งสามารถใช้ได้แม้กระทั่งตัวคทาแห่งเทพโอสถ
(มีแต่ต้องทำแบบนั้นแล้วสินะ)
เขาชูคทาขึ้นก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างชี้ไปยังผู้ป่วย มันเป็นเทคนิคลับซึ่งเป็นหนึ่งในศาสตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้า
“บรรเทาเหตุ” ซึ่งซาโลมอนได้ช่วยแปลมันให้กับเขา มันเป็นหนึ่งในทักษะที่ดูโกงเอามากๆเพราะความสามารถของมันนั้นคือการยกระดับความสามารถของยาให้อยู่ในระดับที่สูงที่สุดและลบผลข้างเคียงของยาทิ้งไปด้วย แต่เขาไม่ทราบว่ามันจะช่วยเสริมในระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยด้วยหรือเปล่า ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาได้ยินมาว่ามันจะไม่ได้ผลหากไม่ใช่การรักษาครั้งแรกและมันจำเป็นจะต้องมียาในการประกอบการใช้พลังนี้ด้วย
ฟาร์มาคิดว่าผลของมันไม่น่าจะเป็นที่สงสัยอะไรมากนักจึงไม่เคยได้ทดสอบและไม่มีสถานการณ์ที่จำเป็นจะต้องใช้มันด้วย
แต่ในตอนนี้เขาจำเป็นที่จะต้องใช้เทคนิคลับนี้กับทุกคนผ่านคทาแห่งเทพโอสถแล้ว
เมื่อฟาร์มาศาสตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าไปยังผู้ป่วย แสงของพลังนั้นก็ได้ปรากฏอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยและร่างของผู้ป่วยก็เริ่มเปล่งปลั่งแสงออกมาราวกับว่ามันถูกปกป้องด้วยม่านมนต์สีขาว
(ศาสตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้านี่สุดยอดไปเลยแฮะ ว่าแต่มันได้ผลหรือเปล่านะ?)
เพราะยังไม่ได้ผลในทันทีเขาจึงบอกไม่ได้ว่ามันได้ผลหรือไม่ บางที่มันอาจจะเป็นเพียงแสงจากศาสตร์แห่งเทพเฉยๆก็ได้
(เราก็หวังว่ามันน่าจะได้ผลอะไรสักอย่างหนึ่งนะ)
ฟาร์มาเริ่มร้อนใจ เพราะในขณะที่เขากำลังรักษาผู้ป่วยอยู่ที่นี่นั้น พวกสินค้าและผู้คนที่ลักลอบขนมันเข้ามานั้นกำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิหรือไม่และแพร่โรคบริเวณนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ผ่านเข้าไปในเมืองหลวง แต่เชื้อนั้นก็อาจจะถูกแพร่ไปยังหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างทางรวมไปถึงภูเขาต่างๆที่เชื่อมต่อกันภายในจักรวรรดิ
ทั้งผู้คนและสัตว์อีกมากมายจะติดเชื้อ
เหล่านักบวชนั้นไม่อาจจะแสดงท่าที่ตอบสนองต่อสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาได้อย่างไร จนแข็งเป็นหินไปแล้ว
เหล่านักบวชที่ได้สัมผัสกับศาสตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ฟาร์มาใช้มันคือเทคนิคที่มนุษย์ทั่วไปนั้นไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ตอนพวกเขาต่างเชื่อในสิ่งที่อดีตผู้ไต่สวนคนนั้นพูดอย่างสุดใจและกล่าวกับฟาร์มาว่าเขานั้นคือเทพโอสถจริงๆ ก่อนที่ความศรัทธาจะเริ่มพุ่งสูงขึ้นเกินขีดจำกัด
「ท่านเทพโอสถครับ นอกเหนือจากนี้มีสิ่งใดที่พวกเราพอจะทำได้บ้างอีกหรือเปล่าครับ?」
พวกเขาเรียกร้องต่อฟาร์มา
「ขอบคุณครับ งั้นมีใครในพวกคุณสามารถใช้ศาสตร์แห่งไฟกับน้ำได้บ้างครับ」
「ผมครับ」
「ผมด้วยครับ ได้โปรดบอกกับพวกเราด้วยครับว่าต้องทำสิ่งใด」
นักบวชสองคนก้าวมาข้างหน้า พวกเขายังไม่ติดเชื้อ
「ผมอยากให้พวกคุณตามกลุ่มพวกที่ลับลอบขนสินค้าที่ติดเชื้อซึ่งกำลังจะเข้าไปยังเมืองหลวงจากนั้นช่วยจับกุมพวกเขาด้วยกำแพงน้ำแข็งก่อนจะใช้ไฟเผาสินค้าพวกนั้นให้หมดเลยนะครับ หลังจากนั้นก็ให้ยารักษากับพวกเขาด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบตามไปหลังจากจัดการที่นี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว」
แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้สัมผัสกับเชื้อแน่ๆ แต่พวกเขาก็สวมชุดป้องกันเอาไว้อยู่น่าจะช่วยได้พอสมควร
กลุ่มคน4กลุ่มได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยมีศูนย์กลางเป็นผู้ใช้ไฟกับน้ำเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม
ครึ่งวันผ่านไป
หนุ่มน้อยแพทย์โอสถได้ออกมาจากคลินิกพร้อมกับเหล่านักบวชด้วยอาการเหนื่อยล้าหลังจากผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ชาวบ้านได้เตรียมหลุมฝังศพขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่ศพที่ถูกนำออกมาจากคลินิกนั้นในมีเพียงแค่ 3 จาก 96คนเท่านั้น ที่เสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้นและรับยารักษาไม่ทัน พวกผู้ป่วยที่จุดเลือดได้จางหายไปแล้วพวกเขาก็ออกมาขออาหารกับน้ำ
ด้วยยาสมัยใหม่และศาสตร์แห่งพระผู้เจ้าของฟาร์มาที่ได้ผลเป็นอย่างมากส่งผลให้จำนวนของผู้เสียชีวิตนั้นมีจำนวนที่น้อยมาก
「แล้วผมจะกลับมานะครับ」
อย่าออกจากเขตน้ำแข็งนี้สักประมาณสองถึงสามวัน แล้วพอน้ำแข็งละลายเสร็จแล้วพวกคุณก็สามารถออกไปข้างนอกได้ตามสะดวก แต่ควรจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหนูและสัตว์เล็กให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนภายในหมู่บ้านนั้นควรเริ่มการกำจัดพวกหมัดกับหนูด้วย
และหลังจากที่เขาบอกเรื่องนี้กับชาวบ้านเสร็จเขาก็เอามือไปจับยังคทาและบินออกไปจากหมู่บ้านเพื่อไปช่วยเหลือเหล่าผู้คนที่รอคอยเขาอยู่ในจุดอื่นๆ เหล่าชาวบ้านต่างมองตามกันไปทางที่ฟาร์มานั้นจากไป
ทุกคนที่ถูกรักษาด้วยศาสตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าของฟาร์มานั้นต่างเริ่มแสดงอาการที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ จุดเลือดเริ่มยุบลงไป อาการป่วยที่สาหัสนั้นก็บรรเทาลง แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในสภาพกึ่งตายก็ยังสามารถกลับมามีชีวิตอยู่ได้
ชาวบ้านคนอื่นก็เริ่มกลับกันมาจากกำแพงน้ำแข็งข้างนอกผ่านทางช่องเล็กๆที่ฟาร์มาสร้างขึ้นก่อนหน้านี้
「ท่านเทพโอสถผู้จำแลงกายมาในร่างมนุษย์」
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานในเวลาต่อมา
____________________________________
Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913