ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 41
นที่ 41 การวินิจฉัยและขั้นตอนการรักษา
“ปล่อยให้ฟาร์มาที่ยังเป็นแค่เด็กนี่ไปเป็นเจ้าของร้านขายยางั้นเหรอ? นี่เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่เอเลโอนอร์?”
ปาลเล่ได้หยิบคทาแห่งเทพของเขาขึ้นมาอีกครั้งจากที่เคยปล่อยหลุดมือไปก่อนจะต่อว่าเอเลนขณะที่นำมันไปเสียบไว้ที่เอว
เอเลนถึงกับยืนงงในสิ่งที่เขากล่าวออกมาเพราะนั่นต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ
“ห๊ะ?”
ปาลเล่เชื่อว่าตัวของฟาร์มานั้นเป็นเพียงแค่แพทย์โอสถฝึกหัดซึ่งไม่มีคุณสมบัติใดๆ ในจุดนั้นเลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเอเลนผู้เป็นอาจารย์ของฟาร์มานั้น ตัดสินใจอนุญาตให้ตัวเขาทำตามใจอยากในเรื่องที่ตนยังมีความรับผิดชอบไม่ถึง ปาลเล่ได้ถอนหายใจออกมาหลังสรุปเช่นนั้น
“นายรู้หรือเปล่าว่าตัวเองยังไม่มีทั้งคุณสมบัติแล้วก็ประสบการณ์น่ะ การที่ได้เป็นเจ้าของร้านแบบนั้นถึงว่าจะแค่ลองเฉยๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ เพราะในฐานะของเจ้าของร้านแล้วนายจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่แสนยากลำบาก ไหนจะเรื่องขอผิดพลาดต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ระหว่างงานอีก”
ฟาร์มากับเอเลน ถึงกับหันมามองหน้ากัน
แล้วฉันควรทำไงดีล่ะ? หรือผมจะบอกความจริงพี่เรื่องนี้เลยดีนะ?
ฟาร์มาได้ตอบโต้กับเอเลนด้วยท่าทางผ่านสายตาของพวกเขา
“ผมเป็นคนบอกให้เอเลน อนุญาตให้ผมได้เปิดร้านขายเองแหละครับ ใช่หรือเปล่าเอเลน?”
ฟาร์มาจ้องไปที่เอเลน
“นี่ฟาร์มาคุง…ฉันคิดว่าพอเถอะ นายน่าจะบอกความจริงกับปาลเล่ไปเถอะ”
เอเลนเตือนฟาร์มา
เอเลนกังวลมาตลอดว่าความจริงนั้นอาจจะไม่สำคัญอะไรเลยกับปาลเล่หากแต่ฟาร์มายอมเปิดใจคุยแต่แรก
จากนั้นปาลเล่ก็พูดขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจเอเลน
“หากนายยังไม่ได้ศึกษาพวกโอสถวิทยาอย่างละเอียดและใช้ระยะเวลากับมันมากพอ อาจจะเป็นปัญหาเอาได้นะแบบนี้ ถึงจะไม่ใช่มหาวิทยาลัยแพทย์และยาโนวารูต แต่เป็นวิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟก็เถอะ แต่นั่นก็คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครูสอนส่วนตัวจริงๆ สินะแบบนี้”
ปาลเล่ดูเหมือนจะกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับอนาคตของฟาร์มา
“คือ ที่จริงผมก็คิดว่าจะไปเข้าเรียนที่วิทยาลัยยาของจักรวรรดิเหมือนกันครับ”
ฟาร์มากำลังดิ้นรนหาทางออกจากเหตุการณ์นี้
หากฟาร์มาได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟ ก็คงจะไม่ใช่ในฐานะนักเรียนแต่เป็นศาสตราจารย์ ซึ่งแน่นอนว่าพี่ของเขาคงไม่รู้เรื่องนี้ เอเลนจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา
“เอาเถอะครับ ยังไงก็ตามผมขอให้ท่านพี่รับการรักษาจากผมได้หรือเปล่าครับ? ไว้ผมจะอธิบายเกี่ยวกับโรคที่ท่านพี่เป็นหลังจากไปที่ร้านกันเถอะครับ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น พี่ควรถามนายไว้ก่อนเลยแล้วกัน โรคที่พี่เป็นเนี่ยมันคืออะไรกันล่ะ?
ปาลเล่ถามกับฟาร์มา แล้วเขาก็ตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล
“โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) ครับ”
ที่มาของชื่อโรคนั้นมาจากชื่อของผู้คนพบคนแรกซึ่งเป็นนักพยาธิวิทยาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 โดยพบจากเลือดของผู้ป่วยที่ทรมารจากอาการม้ามโตชนิดหนึ่งก่อนที่มันจะกลายเป็นสีขาวและผู้ป่วยก็สิ้นใจไปในที่สุด
“แล้วมีอะไรไปข้อยืนยันล่ะ ว่านายวินิจฉัยโรคของพี่ถูกจริงๆ?”
แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นปฏิกิริยาปกติของปาลเล่ที่ไม่เคยได้ยินชื่อโรคดังกล่าวมาก่อน จนเขาตกใจถึงขนาดคิดว่าน้องชายของตนฉลาดจนสร้างชื่อของโรคขึ้นมาเองได้
“ผมมีข้อพิสูจน์เกี่ยวกับอาการของโรคนี้แล้วครับ”
“แล้วนั่นนายจะทำอะไรน่ะ? ชื่อของโรคแต่ละโรคมันไม่ควรจะตั้งขึ้นมาเองโดยไม่ได้รับอนุญาตนะ มันต้องเกิดจากการวินิจฉัยที่เหมาะสมด้วย นี่นายตั้งใจจะเป็นเจ้าของร้านขายยาแบบนั้นจริงๆ หรือไง?”
ปาลเล่ต่อว่าฟาร์มา
“มันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกนะหากนายจะวินิจฉัยอาการไม่ได้ เพราะบนโลกใบนี้มันมีอีกหลายโรคนักที่เราไม่รู้ แต่สิ่งที่น่าอายยิ่งกว่าคือการที่เอายาอะไรก็ไม่รู้มาขายแล้วบอกว่ารักษาโรคนั้นได้นะ”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”
ฟาร์มาเห็นด้วยกับปาลเล่เป็นอย่างยิ่ง
เอเลนแทบจะทนไม่ไหวกับบทละครที่ฟาร์มากำลังแสดง เธอถึงกับต้องเอามือก่ายหน้าผาก แต่ถึงจะบอกแบบนั้นฟาร์มาก็ไม่ได้โกหกปาลเล่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเคารพในมุมมองของปาลเล่ที่เผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยอีกด้วย
รับฟังการวินิจฉัยโรคอย่างเป็นกลางและยอมรับในความตายของตนเพื่อความก้าวหน้าต่อไปในอนาคตของวงการแพทย์ ฟาร์มาคิดว่าเขาเป็นแพทย์โอสถที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งเลย ช่วงอายุขัยของเขาและความรู้ ประสบการณ์ที่เขามีนั้นควรจะยืดต่อไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในทางกลับกัน ฟาร์มาก็ได้ใช้ดวงตาวินิจฉัยตรวจสอบสภาพของปาลเล่ในปัจจุบันอีกครั้ง
“กลับไปที่ร้านกันแล้วค่อยคุยรายละเอียดกันมากกว่านี้ดีกว่าครับ หลังจากนั้นก็เริ่มการวินิจฉัยตามขั้นตอนกันต่อ เอเลน เดี๋ยวผมจะต้องไปเตรียมหลายๆ อย่างที่ร้านก่อน ช่วยกลับไปพร้อมกับพี่ผมด้วยรถม้าแล้วกันนะ เดี๋ยวเรื่องม้าของคุณผมจัดการให้เอง”
“แล้วไหงฉันต้องกลับกับปาลเล่ด้วยล่ะ? ฉันใช้ม้าของตัวเองก็ได้หรือเปล่า”
เอเลนถึงกับทำหน้ารังเกียจออกมาอย่างชัดเจน เธอคงไม่อยากจะรอรถม้าและขึ้นเดินทางไปกับปาลเล่สองต่อสอง
“เดี๋ยวนะ นี่นายจะไม่ถามความสมัครใจอะไรพี่เลยหรือไง? พี่บอกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าพี่ต้องกลับไปที่โนวารูต”
ฟาร์มาได้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเองโดยไม่ถามอะไรปาลเล่เลย และดูเหมือนเขาก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะฟังฟาร์มาแต่แรกแล้วด้วย
“ไม่ได้นะครับ ตอนนี้ท่านพี่มีความเสี่ยงเลือดตกในสมองได้ดังนั้นการขี่ม้าจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากครับ”
ฟาร์มาได้บอกกับที่ชายของเขา ก็จะขึ้นม้าตัวเล็กๆ กลับไปยังร้านขายยา
“แล้ว เอาไงดีล่ะน้องชายของนายว่าอย่างงั้นแล้ว”
เอเลนได้กุมบังเหียนของม้าและเรียกปาลเล่ แล้วม้าของทั้งสองก็ได้กลับไปยังบ้านของตน
“แล้วหมอนั่นจะทำอะไรกันน่ะ? ห้ามไม่ให้ฉันขี่ม้าเนี่ยนะ?”
“นายน่าจะฟังบ้างนะบางที”
“นี่เธอบ้าหรือเปล่าเนี่ย?”
ปาลเล่ไม่อาจจะยอมรับมันได้และพยายามจะเรียกม้ากลับมา
เอเลนได้หยุดเอาไว้
“อย่าเลย รถม้ากำลังมาแล้ว”
จากที่นี่จนถึงร้านขายยา หากเดินด้วยเท้าก็คงใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่ด้วยหิมะเช่นนี้ การรอรถม้าคงเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าเดินเท้า
“หืม…คงจะดีนะเนี่ยถ้าฉันเอาที่ลากเลื่อนมาติดให้ม้าด้วย”
เอเลนที่เล่นมุกตลกนั้นก็ถูกตอกกลับด้วยคำเทศนา
“นี่เธอรู้อะไรไหม ว่าทำไมเราต้องจัดการกับนิยายแฟนตาซีของฟาร์มาเสียตอนนี้ เธอน่ะเป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งใช่หรือเปล่า หากเธอยังสอนเขาด้วยมุมมองครึ่งกลางๆ อยู่แบบนี้ ฟาร์มาไม่มีทางจะเติบโตเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวได้หรอกะ ถึงจะเป็นบุตรชายคนที่สองแต่ท้ายที่สุดก็ต้องพยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเองในฐานะแพทย์โอสถนะ”
“ไว้ฉันจะบอกนายทีหลังละกัน ตอนนี้ก็รอรถม้าไปเถอะ”
“ให้ตายสิ”
สุดท้ายทั้งคู่ก็ลงเอยที่รอรถม้า ซึ่งมันก็ถูกจัดการส่งมาด้วยฟาร์มาอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางกลับนั้น ปาลเล่ก็ได้แต่รู้สึกเสียใจกับน้องชายของตน
“เจ้าน้องชายผู้โง่เง่า ถ้าเกิดฉันตายไป ตระกูลเมดิซิสจะเป็นยังไงกันนะ ถึงจะแย่ไปสักหน่อย แต่ดูเหมือนฉันจะยังตายไปทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ซะแล้วสิ”
อนาคตของตระกูลเมดิซิสที่ถูกกล่าวมาตลอดเส้นทางนั้นมีแต่ความมืดมน บลานช์ก็ไม่ใช่คนขยันเรียนอะไร ไหนจะฟาร์มาที่งี่เง่าชอบเอาแต่ฝันกลางวัน ปาลเล่ถึงกับต้องส่งเสียงครวญครางออกมาร่ำไป
“คิดงั้นเหรอ? ฉันว่านายโชคดีออกนะ”
เอเลนบอกกับปาลเล่เช่นนั้นพร้อมรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์
“น่ายินดีมากล่ะสินะที่ได้เห็นฉันตายแบบนี้?”
ปาลเล่ได้พยายามก่อกวนแต่เอเลนก็ไม่ได้สนใจอะไร
“นี่ปาลเล่ พวกสมองกล้ามอย่างนายนี่แปลกนะ ไม่เห็นจะเข้ากับเรื่องพวกเทพผู้พิทักษ์ได้เลยแท้”
ช่วงเวลาที่ปาลเล่รู้สึกกังวลอะไร ตัวเขาก็มักจะไปยังโบสถ์ทุกๆ วันไม่เคยขาด แม้จะอยู่ที่จักรวรรดินี้ก็ตาม
แม้จะไม่มีใครในครอบครัวไปกับเขา เขาก็ยังคงไปนมัสการคนเดียวทุกช่วงเช้า
ไม่ว่าฝนจะตกหรือหิมะถล่ม ตัวเขาก็ไม่เคยขาด
“ทำไมนายถึงไปนมัสการที่โบสถ์เทพผู้พิทักษ์ตลอดเลยล่ะ?”
“มันก็ต้องเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? พวกเราที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ ก็มาจากพลังที่พวกท่านได้มอบให้ กลับกันตัวเธอต่างหากล่ะที่ให้ความศรัทธาต่อเทพวารีน้อยเกินไป! เหล่าทวยเทพจะต้องลงโทษเธอและทำให้เธอใช้ศาสตร์แห่งเทพไม่ได้อีกต่อไปแน่!”
เทพผู้พิทักษ์ของเอเลนคือเทพวารี แต่เธอก็มักจะไปสักการะเพียงเดือนละครั้ง แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่เคร่งในศาสนาอะไรนัก แต่เธอก็คิดว่าพลังแห่งเทพของเธอมันคงไม่ได้เพิ่มขึ้นจากการที่เธอหรือเขาศรัทธามันอย่างจริงจังหรอก มันเป็นเรื่องทั่วไปอยู่แล้วที่ผู้คนควรจะสวดภาวนาต่อเหล่าทวยเทพ แต่หากเป็นทุกเช้าค่ำก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้
เพียงแค่ในจุดนี้ ปาลเล่ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความศรัทธามากจนเกินไปต่อเทพโอสถแล้ว
“ไม่เปลี่ยนเลยนะ”
เอเลนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“คงเป็นเพราะนายแสดงความศรัทธาออกมามากขนาดนั้น เลยทำให้เทพผู้พิทักษ์ของนายมองเห็นผ่านการภาวนานั้นสินะ”
“นี่เธอหมายความว่ายังไง?”
เทพโอสถเป็นเทพผู้พิทักษ์ของปาลเล่ เขาเกิดมาพร้อมกับคำสั่งจากสรวงสวรรค์ให้ตนนั้นเป็นแพทย์โอสถหลวง และปาลเล่ก็มีความภาคภูมิใจในตัวของเทพโอสถ ไม่ว่าเอเลนจะพยายามสักแค่ไหน ก็ไม่อาจจะก้าวข้ามพลังของเทพผู้พิทักษ์ของพวกตนได้
หากเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถแล้ว ปาลเล่คงสามารถเป็นแพทย์โอสถหลวงที่เอเลนไม่สามารถเป็นได้อย่างแน่นอน
คงจะเป็นการโกหกหากบอกว่าเอเลนไม่เคยอิจฉาปาลเล่เลยที่มีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถ
“ก็…ไม่มีอะไรหรอก”
เอเลนพูดอย่างขุ่นเคือง เพราะเธอคงไม่อาจจะปล่อยความอิจฉานี้ออกจากใจเธอได้
เพราะตัวเทพโอสถนั้นไม่ได้อยากจะเผยตัวให้ปาลเล่รู้ด้วย เอเลนจึงคิดว่าเป็นการดีกว่าหากเงียบเอาไว้
ปาลเล่และเอเลนได้กลับไปถึงร้านขายยา ซึ่งฟาร์มาก็ได้ยืนรอพวกเขาอยู่หน้าร้านแล้ว
“ยินดีต้อนรับกลับครับทั้งสองคน”
“พี่ก็กลับมาด้วยรถม้าตามที่นายบอกละนะ พอใจหรือยังล่ะ?”
ฟาร์มารับเสื้อคลุมมาจากพี่ของเขาและได้เตรียมรองเท้าไว้ให้ทั้งคู่
และดูเหมือนว่าบลานช์จะกลับคฤหาสน์ไปก่อนหน้าที่พี่เขาจะกลับมาแล้ว
“ยินดีต้อนรับสู่ร้านขายยาต่างโลกครับท่านพี่ เชิญเข้ามาข้างในเถอะครับ”
“โห่ะ โห”
ปาลเล่ได้สวมรองเท้าและเดินเข้าไปภายในร้าน
“นี่มัน…ร้านขายยาจริงๆ งั้นเหรอ?”
ร้านขายยาดังกล่าวนี้ ได้พลิกแนวคิดดั้งเดิมของร้านขายยาไปเลย ปาลเล่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากกับของต่างๆ มากมายภายในร้านที่เขาไม่รู้แม้กระทั่งวิธีใช้ ไหนจะวิธีการเก็บรักษายาที่แตกต่างจากปัจจุบัน ตรงชั้นวางนั้นก็มีสมุนไพรอยู่สองสามขวดและของใช้ทั่วไป เมื่อเขาเห็นการจัดวางภายในร้านและแผนผังของร้าน รวมไปถึงจุดจ่ายยาชั้นหนึ่งของร้านก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจ
เขาเข้าใจได้ทันทีเลยว่านั่นไม่ได้มาจากการชี้นำของเอเลนเลยแม้แต่น้อย
“เชิญทางนี้เลยครับ”
ฟาร์มานั่งลงที่จุดตรวจบริเวณชั้นหนึ่งพร้อมกับเอเลนและปาลเล่
ตรงหน้าของพวกเขานั้นมีเอกสาร เครื่องดื่มและของหวานวางไว้อยู่
“อื้อ เยี่ยม นี่แหละที่กำลังต้องการ”
“งั้นผมจะเริ่มอธิบายอาการของท่านพี่อีกครั้งนะครับ”
ฟาร์มาได้นั่งตรงข้ามกับพวกเขา
“แล้วทำไมนายต้องทำเหมือนให้คำปรึกษาพี่ด้วยเนี่ย?”
ปาลเล่เริ่มไม่พอใจ
“อย่างน้อยก็รับฟังเรื่องที่ผมจะพูดนี้จนจบด้วยเถอะครับ ถ้าหากหลังจากนั้นท่านพี่ยังไม่ต้องการจะทำการรักษาผมก็ไม่ว่าอะไรครับ”
“โห นี่นายกำลังโน้มน้าวพี่อยู่งั้นเหรอ เอาสิพี่จะลองรับฟังดู”
นั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากคอของปาลเล่ ซึ่งเป็นนักเรียนดีเด่นของมหาวิทยาลัยแพทย์และยาโนวารูต ถึงจะไร้สาระก็ตามแต่จะลองฟังดู จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมจากใบชาเข้ามาที่จมูก แล้วเขาก็กลืนมันลงไปเพื่อล้างลำคอให้ชุ่ม
“ก่อนอื่นก็วางแขนลงตรงนี้ก่อนนะครับ”
ฟาร์มาได้นำชุดตัวอย่างเก็บเลือดออกมาจากหลอดแก้ว รวมไปถึงหลอดทดลอง สายรัดและอื่นๆ อีกหลายอย่าง
“นี่นายกำลังทำอะไรเหรอฟาร์มาคุง?”
เอเลนที่เห็นเข็มถูกเอาออกมา ก็นำมือของเธอไปวางไว้ที่บนโต๊ะ
“นี่มันเรียกว่าการเจาะเลือดน่ะ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนั้นจะเป็นการสอดเข็มเข้ามาที่แขนเพื่อทำการเจาะเอาเลือดจากบริเวณหลอดเลือดออกมา แต่หากคุณรู้สึกกลัวจะปิดตาไว้ก็ได้นะ’ ’
“เดี๋ยวนะ ที่ฉันต้องโดนด้วยงั้นเหรอ?!”
เอเลนถามกับฟาร์มาแต่ฟาร์มาบอกกับเธอว่าเขาต้องการความร่วมมือจากคนที่มีสภาพร่างกายปกติด้วย เพราะโลกเดิมของเขานั้นการตรวจผลเลือดถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก โดยการนำเลือดจากส่วนแขนออกมาตรวจสอบ เอเลนถึงกับรู้สึกสั่นที่ต้องมาร่วมทำด้วยกันกับปาลเล่ ซึ่งเขาก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก
“หลังจากนี้จะลองใช้เลือดผมด้วยก็ได้นะครับ แต่เพราะผมไม่สามารถจะเจาะเลือดตัวเองได้ ดังนั้นให้ความร่วมมือด้วยนะครับ”
“ฟาร์มาแล้วนี่นายมีประสบการณ์กับความสามารถพอเหรอ?”
“ครับ สบายใจได้เลย”
มันเป็นเรื่องที่ดีมากจากการที่มีความรู้จากชีวิตก่อน แต่ถ้าเกิดไปเล่าประสบการณ์การเก็บเลือดอีกมันก็จะนอกเรื่องไป
ฟาร์มาทำการหุ้มสายรัดบริเวณต้นแขนของปาลเล่ แล้วก็ปล่อยให้เส้นเลือดมันลอยขึ้นมา ก่อนจะแทงเข็มลงไปจุดนั้นด้วยความรวดเร็ว แต่หากมันยากที่จะมองเห็นฟาร์มาก็จะเช็ดผิวหนังบริเวณนั้นด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ หลังจากเช็ดเสร็จเส้นเลือดก็จะมองเห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น
“ถึงจะบอกแบบนั้น แต่ที่ผมเคยเจาะก็มีแต่พวกสัตว์ทดลองเท่านั้นแหละครับ อย่างคนนี่ไม่เลยสักกะครั้ง”
ฟาร์มาเผลอกระซิบออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฟาร์มารู้ตัวดีว่าในฐานะเภสัชกรแล้วไม่ควรจะไปเก็บตัวอย่างเลือดจากมนุษย์เอง แต่ตอนนี้สภาพปาลเล่อาจจะแย่ลงกว่าเดิมและอาการเลือดออกในสมองอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนั้นก็มีแต่ต้องทำเท่านั้น
“เดี๋ยวหยุดก่อนนะ! อย่าเอาพี่ไปเป็นหนูทดลองของนายสิเห้ย!”
เมื่อปาลเล่ได้ยินแบบนั้นเขาก็สะดุ้งขึ้นมาทันทีและพยายามจะยืนขึ้น แต่ฟาร์มาไม่ปล่อยโอกาสนั้นไปเขาได้สกัดเลือดแล้วดึงเข็มออกด้วยความรวดเร็ว
“เสร็จแล้วครับ รู้สึกชาบ้างไหมครับ?”
มันเป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้นที่ฟาร์มาได้ทำการเอาตัวอย่างเลือดไปใส่ที่หลอดทดลองซึ่งผสมสารกันเลือดแข็งไว้ เอลลนที่เห็นอาการของปาลเล่แบบนั้นก็แทบอยากจะรีบปฏิเสธความร่วมมือนี้
ฟาร์มาได้ใช้เลือดหนึ่งหยดฉีดลงไปยังแก้วทดลอง และกดมันให้กระจายด้วยแผนแก้วบางๆ แทนที่จะเป็นแก้วครอบ ก่อนจะแกว่งมันไปมาให้ของเหลวภายในแก้วนั้นแห้ง ซึ่งสิ่งที่ถูกผสมอยู่ในภาชนะแก้วดังกล่าวนั้นคือแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า เมทานอล
“แล้วเราทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน?”
“เป็นการติดและทำให้ยึดส่วนประกอบของเซลล์เม็ดเลือดเข้าด้วยกันกับแผ่นแก้วนั้น อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้มันเสื่อมสภาพลงครับ”
เลือดของเอเลนก็ได้ไปติดอยู่ในแผ่นแก้วทดลองนั้นในลักษณะเดียวกัน
“งั้นมาเริ่มสังเกตการณ์กันตรงนี้เลยครับ ท่านพี่รบกวนช่วยตรวจผลเลือดตัวเองดูหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”
“ได้สิ ใช้กล้องจุลทรรศน์สินะ”
ปาลเล่พยายามตามให้ทันอย่างเร็วที่สุด เพราะความภูมิใจในฐานะพี่ชายและเด็กจบจากโนวารูตกำลังสั่นคลอน
“ยอดเยี่ยมครับ แล้วหลังจากนั้นท่านพี่ก็ควรสังเกตของลักษณะอนุภาคต่างๆ ภายในนั้นนะครับ”
ถ้าไม่ใช่เพราะกล้องจุลทรรศน์เลนส์เดียวที่ฟาร์มาทำขึ้น ปาลเล่คงจะไม่เชื่อว่าเลือดนั้นเป็นอนุภาคที่ถูกเรียกกันว่าเซลล์ แต่ตอนนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะเขาเห็นมันด้วยตาตนเอง
“ฉันเห็นบางอย่างที่ต่างออกไปจากตัวอย่างอื่นที่เห็นมาเมื่อก่อนด้วย”
“ลองเปิดเอกสารไปที่หน้า 10 ดูสิครับ เป็นแบบนั้นใช่หรือเปล่าครับ?”
หน้า 10 นั้นได้มีการวาดภาพประกอบจำนวนหลายอนุภาค ซึ่งเอกสารบนมือของปาลเล่และเอเลนนั้นเป็นชิ้นที่เหมือนกัน มันเป็นสิ่งพิมพ์ที่ถูกเขียนขึ้นมาด้วยมือ แต่ภาพดังกล่าวนั้นก็มีความแม่นยำทางด้านโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากจนปาลเล่รู้สึกประทับใจ อันที่จริงภาพวาดภายในนั้นมันก็ดูเหมือนกับสิ่งที่เขาเห็นในกล้องจุลทรรศน์เลย
เพื่อจะสร้างคณะโอสถศาสตร์ของวิทยาลัยยาจักรวรรดิให้ดี การเตรียมการที่มีประสิทธิภาพอีกอย่างหนึ่งก็คือการทำหนังสือเรียนขึ้นมาและคัดลอกมันด้วยเครื่องอัดสำเนา
“เดี๋ยวนะ ทำไมนายถึงได้เห็นโครงสร้างที่ละเอียดของมันได้ขนาดนี้กัน?”
“ถ้าหากเราใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงมากพอก็จะสามารถเห็นมันได้ชัดเจนเลยครับ”
ฟาร์มาได้นำกล้องจุลทรรศน์ออกมาจากกล่องไปวางตรงหน้าของปาลเล่และเอเลน ซึ่งมันเป็นกล้องจุลทรรศน์ออปติคอลคู่ที่ทำมาจากทองเหลืองมีกำลังขยายถึง 500 เท่ามาพร้อมกับเลนส์คุณภาพที่สร้างโดยเมโลดี้
มีกระจกถูกตั้งไว้ใต้ฐานรอง (เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้วางแก้วทดลอง) และยังมีฟังก์ชันเก็บแสงไว้อีกด้วย
“แล้วนี่มันอะไรกัน?”
“มันเป็นการผสมกันของกล้องจุลทรรศน์เลนส์เดียวที่ทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและมีกำลังขยายที่ใหญ่ขึ้นครับ”
“แล้วทำไมนายถึงมีของแบบนี้ได้กันล่ะ?! ท่านพ่อเป็นคนซื้อให้งั้นเหรอ?”
ปาลเล่เชื่ออย่างสุดใจเลยว่า ฟาร์มาได้สั่งอุปกรณ์ชั้นยอดนี้มาจากพ่อของเขาบรูโน–ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของวิทยาลัยยาของจักรวรรดิ
“ก็นะครับพอดีมันมีเรื่องอะไรหลายๆ อย่าง”
ความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้มันถูกสร้างขึ้นมาจากพิมพ์เขียวของฟาร์มาเอง แต่เขาจะเก็บเรื่องนี้ไปทั้งแบบนี้ก่อนเพราะเดี๋ยวงานจะไม่คืบหน้า
“ต่อไปนี้เป็นคำถามครับ ท่านพี่คิดว่าเลือดของคนเราขนอะไรระหว่างไหลไปทั่วร่างกายครับ?”
“สารอาหาร”
ปาลเล่คิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา ตามทฤษฎีของร่างกายแล้วจะมีสี่ของเหลวด้วยกันที่ไหลเวียนอยู่นั่นก็คือ เลือด,เสมหะ,น้ำดีเหลือง,น้ำดีดำ ซึ่งนั่นก็ถูกสอนกันที่โนวารูต เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อทำการแยกตะกอนของเลือดออกจะได้ เลือด ตะกอนสีดำและแดง ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าเลือดสามารถถูกชำระให้บริสุทธิ์ได้โดยม้าม และสิ่งที่ทำลายสมดุลของร่างกายนั้นคือพวกวิญญาณชั่วร้าย ในท้ายที่สุดก็จะทำให้คนๆ นั้นป่วย
“ถูกต้องครับ สารอาหาร นอกจากนั้นยังมีออกซิเจนที่ร่างกายเราหายใจเอาเข้าไปด้วยนะครับ”
ปาลเล่ก็รู้จักธาตุที่เรียกว่าออกซิเจนเช่นเดียวกัน
“ส่วนประกอบภายในเลือดส่วนใหญ่นั้นจะมี เซลล์เม็ดเลือด ส่วนประกอบของพลาสมาและอื่นๆ อีกบางส่วนครับ โดยเซลล์เม็ดเลือดแดงนั้นจะเป็นตัวการทำให้เลือดดูเป็นสีแดงขึ้นมา…และนั่นยังเป็นอนุภาคที่นำพาออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยครับ ส่วนทางด้านของเซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นจะไม่มีสี ส่วนตรงนี้จะมีหน้าที่ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือส่วนที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันครับ อ่ะ..ส่วนเรื่องภูมิคุ้มกันเดี๋ยวไว้โอกาสหน้าอีกทีนะครับ แล้วก็ยังมีส่วนของเกล็ดเลือดที่เป็นอนุภาคในการจับเลือดให้เป็นกลุ่มและมีหน้าที่หยุดเลือดครับ”
เอเลนพยักหน้าขณะอ่านเอกสาร หลักอ่านจบเธอก็รู้สึกประทับใจกับผลลัพธ์ของความพยายามของฟาร์มา
“อ๊ะ! จริงด้วยค่ะ ดูเหมือนของเหลวสีแดงนี้จะน่าทึ่งไปเลยนะคะ!”
ลอตเต้หาโอกาสเสียบได้ถูกจังหวะ
เซดริกกับลอตเต้นั้นต่างก็เป็นผู้ฟังการบรรยายนี้ไปด้วยพร้อมกับเอกสารภายในมืออย่างห่างๆ
“อนุภาคทั้งหลายเหล่านี้เราจะเรียกมันว่าเซลล์ครับ แต่ไม่ใช่แค่เลือดเท่านั้นนะครับ ทุกๆ โครงสร้างของสิ่งมีชีวิตก็มีเซลล์เป็นส่วนประกอบครับ”
“อย่างนี้นี่เอง”
จากการสังเกตด้วยกล้องจุลทรรศน์ทำให้ปาลเล่ได้รู้ว่าทุกๆ เนื้อเยื่อของคนจะมีโครงสร้างที่เป็นรูปแบบชัดเจน ไม่ว่าจะพืชหรือสัตว์ก็จะมีการจับกลุ่มก้อนกันเหมือนห้องเล็กๆ ตามที่ฟาร์มาอธิบาย ด้วยความรู้นี้เขายังได้พิจารณาถึงการทดลองทำวิทยานิพนธ์ส่วนตัวของเขาด้วย
หากจะพูดว่าสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตถูกสร้างขึ้นมาจากเซลล์ ก็สามารถเชื่อได้
“แต่ต้นกำเนิดของเลือดที่มีส่วนประกอบเข้ามาปนเปหลายชนิดนี้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นนะครับ”
ฟาร์มาได้ชี้จุดไปยังภาพวาดตั้งแต่ช่วงต้นไล่ลำดับองค์ประกอบลงมาจนถึงด้านล่าง
“สิ่งนั้นเราเรียกมันว่าสเต็มเซลล์ของเม็ดเลือด ซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตเลือด ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดแล้วก็เลือดประเภทอื่นๆ ครับ”
“หืมมมม”
ปาลเล่ฟังแล้วก็คิดไปด้วยว่าคงจะเอาเรื่องที่ฟาร์มาพูดมานั้นไปแต่งนิยายได้ดีเลยทีเดียว
“พอฟังมาถึงจุดนี้ ท่านพี่คิดว่าอะไรเป็นเหตุผลทำให้เลือดของท่านพี่หยุดไหลได้ยากกันครับ?”
ฟาร์มาถามไปยังปาลเล่
ปาลเล่จึงได้ตัดสินใจตามน้ำฟาร์มาไป ทั้งสาเหตุของเลือดที่ไหลออกมาพร้อมเหงื่อ เลือดที่หยุดไหลยาก และการเกิดรอยช้ำได้ง่าย
“มาจากเกล็ดเลือด เพราะอนุภาคดังกล่าวนั้นที่ควรจะหยุดเลือดไว้มันไม่ทำงานใช่หรือเปล่า?
“ถูกต้องครับ”
ฟาร์มาพยักหน้าให้ ดูเหมือนว่าพี่ชายของเขาจะรับสารได้ดีเลยทีเดียว
“ความผิดปกติดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมาจากขั้นตอนการเกิดของสเต็มเซลล์ที่ส่งไปยังองค์ประกอบของเลือดต่างๆ ครับ ส่วนในกรณีของท่านพี่นั้นคือร่างกายสร้าง
นิวโทรฟิลขึ้นมา (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) มีความผิดปกติครับ ”
“จุดนี้ไม่ค่อยจะเข้าใจแฮะ”
ปาลเล่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างงั้น ทำไมอนุภาคดังกล่าวถึงได้ลดลงกันล่ะ? สาเหตุมันมาจากการที่ต้นกำเนิดของมันผิดปกติงั้นเหรอ? แล้วถ้าเป็นแบบนี้มันจะส่งผลกระทบต่อการสร้างของเกล็ดเลือด กับ เซลล์เม็ดเลือดแดง แล้วก็เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่น ๆ ด้วยสินะ? ” (ในที่นี้หมายถึงไขกระดูก)
เขาช่างเป็นพี่ชายที่ยอดเยี่ยม สามารถดูดซับความรู้อันซับซ้อนและหาจุดที่ขัดแย้งได้อย่างรวดเร็ว
“การเกิดเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นมันจะเพิ่มจำนวนขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนครับ พวกมันถูกสร้างขึ้นในจุดที่เรียกกันว่าไขกระดูก และพอไขกระดูกนั้นประกอบไปด้วยเซลล์ดังกล่าวมากจนเกินไป มันก็จะไม่สามารถผลิตเซลล์อื่นๆ ขึ้นมาได้มากนัก ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดแดงที่ต่ำลงทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง แล้วออกซิเจนก็จะไม่สามารถไหลเวียนไปทั่วร่างได้สะดวก จนเกิดอาการหายใจไม่ออก พอเม็ดเลือดขาวลดลงก็จะทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย พอเกล็ดเลือดลดลงเลือดที่ไหลออกมาก็ยากที่จะหยุดครับ”
“…!”
ทฤษฎีทั้งหมดที่กล่าวมานั้นสมบูรณ์แบบและสมเหตุสมผล ปาลเล่ถึงกับสับสนเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“งั้นมาลองตรวจเลือดของท่านพี่กับของเอเลนกันเถอะครับ แล้วมาดูกันว่าเรื่องที่ผมบอกไปเป็นเรื่องจริงไหม แต่มันก็มีปัญหาตรงที่ว่าการสังเกตส่วนประกอบของเซลล์เม็ดเลือดนั้นมองเห็นได้ยากในสภาวะโปร่งใส ดังนั้นเราจึงต้องระบายสีเข้าไปที่เซลล์ ซึ่งกระบวนการนี้จะเรียกว่า การย้อมครับ แต่มันต้องใช้เวลาสักพัก ดังนั้นระหว่างนั้นเราก็ไปทานอาหารกลางวันก็แล้วกันนะครับ”
ฟาร์มาได้พาปาลเล่ไปยังห้องพักพนักงานที่ชั้นสาม
อาหารกลางวันถูกเตรียมโดยลอตเต้และเซดริก
ทั้งห้าคนได้นั่งรอบโต๊ะเพื่อคุยกัน ส่วนทางด้านของฟาร์มานั้นได้ไปทำการย้อมสีที่ห้องปฏิบัติการชั้นสี่ เอเลนถึงกับตกใจที่ปาลเล่สามารถพูดคุยแบบปกติกับคนอื่นได้แบบนี้ ซึ่งตอนนี้หัวเขาก็อยู่ในอารมณ์ที่เย็นขึ้นแล้ว
“ซุปกราแตงหอมหัวใหญ่ (soupe à l’ oignon gratiné) นี่มันทำให้ร่างกายอบอุ่นจริงๆ เลยนะ ลอตเต้จังฝีมือไม่เบาเลยนะเนี่ย”
“อ้อ ฉันขอให้คุณเซดริกช่วยน่ะค่ะ! ยังเหลือตรงนี้อีก 8 จานนะคะ!”
ลอตเต้ที่ได้รับคำชมถึงกับเขิน ดูเหมือนว่าเร็วๆ นี้เธอจะติดมาทำข้าวกลางวันให้ที่ร้านเสียแล้ว พอเสร็จมื้ออาหาร ปาลเล่กับเอลเลนก็ได้นั่งรอฟาร์มา
ในที่สุดฟาร์มาก็ลงมาจากชั้นบนพร้อมกับแผ่นทดลองแล้วเริ่มอธิบายผลลัพธ์
“ตอนนี้ก็ย้อมเสร็จแล้วครับ เซลล์เม็ดเลือดแดงจะเป็นสีแดง เกล็ดเลือดจะเป็นสีน้ำเงิน ทางด้านเซลล์เม็ดเลือดขาวจะมี นิวโทรฟิล, เรดอายลิท, อิโอซิโนฟิลส์ และ เบโซฟิลที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำเงิน-ม่วงนะครับ ทางด้านนี้เป็นเลือดของเอเลนนะครับ งั้นขั้นต่อไปก็มาดูเลือดของตัวเองกันเถอะครับ”
“ขั้นตอนอย่างพวกการย้อมสีนี่มันยุ่งยากหรือเปล่า?”
ปาลเล่ที่รู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมาแล้วครึ่งหนึ่งหลังจากได้ดูกล้องจุลทรรศน์ก็เริ่มใช้ศัพท์ที่ตนเรียนรู้มาถาม
อันที่จริงแล้วเรื่องการย้อมสีของเซลล์นั้นไม่ได้ถูกกำหนดมาอย่างตายตัวว่าชนิดไหนต้องสีอะไร ดังนั้นจึงมีแตกต่างกันได้เป็นเรื่องปกติ
“แล้วท่านพี่รู้หรือเปล่าครับว่าความแตกต่างระหว่างเลือดของเอเลนกับท่านพี่คืออะไร ท่านพี่สามารถเห็นมันได้จากโครงสร้างที่เหมือนรูเข็มข้างในเซลล์เม็ดเลือดสีม่วงนี้ เพราะนั่นมันคือโครงสร้างของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งมันไม่ปรากฏอยู่ในเลือดของเอเลนครับ”
“… โห แบบนี้นี่เอง เข้าใจละ”
น้ำเสียงของปาลเล่มีอาการแหบแห้ง
“นั่นเป็นเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่กำเนิดมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวสินะ”
แล้วปาลเล่ยังสังเกตอีกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงกับเกล็ดเลือดนั้นมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับของเอเลน ภาพขยายของเลือดนั้นทำให้แววตาของเขาลุกโชนขึ้นมาเมื่อเห็นถึงหลักฐานยืนยันนั้น
“ในขณะที่พวกคุณทานข้าวกันอยู่นั้น ผมก็ได้คำนวณเซลล์เม็ดเลือดของท่านพี่ทั้งหมดไว้แล้วครับ สรุปได้ว่าทั้ง เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดต่างก็ลดลงกันหมด แล้วลักษณะของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวก็เด่นชัดมากบริเวณกระดูกไขสันหลังของท่านพี่ก็น่าจะเริ่มไม่ไหวแล้ว เนื่องจากเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวก็เริ่มไปปะปนอยู่รอบๆ เม็ดเลือดอื่นๆแล้ว พอเอามารวมกันเลยได้ผลลัพธ์ที่ว่า….”
มือกับเท้าของปาลเล่ค่อยๆ เย็นลงเมื่อฟาร์มาพูดถึงทฤษฎีที่ไม่เว้นช่องว่างให้เขาได้หลบหนีจากมันเลย
“ผมจึงวินิจฉัยได้ว่ามันเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันครับ”
“…….”
เอเลนถึงกับพูดไม่ออก เมื่อฟาร์มาวินิจฉัยผู้ป่วย เขาก็มักจะใช้ดวงตาวินิจฉัยกับผู้ป่วยแล้วนั่นจะทำให้การรักษาง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาทำนั้นมันทำให้พิสูจน์ได้ว่าแม้ตัวเขาจะไม่มีพลังอันศักดิ์สิทธิ์ติดอยู่กับตัวแล้วก็ตาม เอเลนก็มั่นใจได้ว่ายังไงฟาร์มาก็ยังคงสามารถวินิจฉัยโรคให้กับผู้ป่วยได้เหมือนเดิมอยู่ดี
“ท่านพี่จะตายในอีกไม่กี่เดือนหากไม่รักษาอาการดังกล่าวนี้ครับ”
แล้วฟาร์มาก็วางมือบนไหล่ของปาลเล่ ตัวเขาในตอนนี้อ่อนแอจนแทบไม่มีแรงยืนและล้มลงไป ตัวของปาลเล่เองก็ไม่ได้อยากจะเชื่อผลการตรวจของฟาร์มาเลยจริงๆ
ดูเหมือนว่าปาลเล่ในตอนนี้จะพยายามทำความเข้าใจว่าความรู้ของพระเจ้าดังกล่าวมันเกินกว่าที่มนุษยชาติจะเข้าใจได้ นั่นจึงทำให้เขาไม่อยากจะต่อปากต่อคำออกไปอีกแล้ว
“ผมจะเริ่มอธิบายแนวทางการรักษาต่อจากนี้นะครับ แต่ผมก็ไม่ยืนยันว่าจะได้ผลนะครับ และมันก็คงจะเจ็บปวดมากด้วย แต่ผมก็อยากจะให้ท่านพี่เชื่อในสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้และมั่นใจกับสิ่งนั้นนะครับ……”
ไม่เหลือร่องรอยของพี่ชายที่แสนน่าภูมิใจอีกแล้ว
ปาลเล่ในตอนนี้รู้สึกราวกับฟาร์มากลายเป็นใครอีกคนที่แตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
“ดังนั้นได้โปรดให้ผมได้รักษาท่านพี่เถอะนะครับ”
———–
Note 1 : หนึ่งในตอนที่ดูดพลังวิญญาณการแปลเป็นอย่างมาก
Note 2 : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913