ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 45
นที่ 45 การพักฟื้นและการพัฒนาความร่วมมือทางการแพทย์
ณ ห้องชั้นสองของบ้านเดอ เมดิซิส
“หืมมม…ตัวฉันนี่มันดูดีจริงๆเลยนะไม่ว่าจะทำอะไร ขนาดว่าหัวโล้นก็ยังหล่อได้ขนาดนี้ อาจจะกลายเป็นความผิดทางอาญาเลยก็ได้นะเนี่ยที่เกิดมางดงาม
ฮ่าๆๆ!”
ปาลเล่ยืนโพสต์อยู่ที่หน้ากระจกขณะสวมวิกผมสีบลอนด์ที่เงางามจนไร้ที่ติของ
บลานช์ ซึ่งเขาก็ดูพอใจเป็นอย่างมากและตัดสินใจให้มันเป็นผมทรงใหม่ของเขาไปเลย
“ผมของท่านพี่ใหญ่เหมือนกับของบลานช์เลย”
บลานช์ดึงผมที่สั้นของเธอนั้นลงมาด้วยมือทั้งสองเพื่อให้เน้นว่าสีดังกล่าวคล้ายกัน
“ฮ่าๆๆ แน่นอนสิ เหมือนกันเลยๆ! อย่างกับเป็นผมของน้องเลย! นั่นสิน้า ฮ่าๆๆ!”
ปาลเล่ได้เลียนแบบท่าของบลานช์และดึงเส้นผมจากวิกให้ลอยขึ้นมาทั้งสองข้างบ้าง
“โถ่หยุดเถอะครับ หัวเราะแบบนั้นไม่ดีนะครับท่านพี่”
ฟาร์มาได้มองไปยังเส้นผมที่ไม่ได้ติดอยู่ที่หัวของปาลเล่อย่างเงียบๆ ขณะที่ปาลเล่กำลังระเบิดเสียงหัวเราะออกมา วันนี้เขาก็ยังคงร่าเริงเช่นเคย
ก่อนหน้านี้ปาลเล่นั้นเป็นหนุ่มรูปงามมาพร้อมกับผมสีเงินให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่หลังจากได้เปลี่ยนไปใส่วิกผมสีบลอนด์ เขาก็กลายเป็นหนุ่มหวานขึ้นมา
แม้หลังจากรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะเป็นที่เจ็บปวดที่ต้องโกนผมจนล้านแต่ปาลเล่ก็ได้เตรียมใจไว้แล้วและไม่เคยมองโลกในแง่ร้าย กลับกันมักจะมองบวกอยู่เสมอ ฟาร์มาคิดว่าอาจจะด้วยนิสัยเช่นนี้เลยทำให้พี่ชายของตนรอดมาได้
“ท่านพี่นี่เป็นแบบนี้เสมอเลยนะครับ จะมุทะลุเกินไปแล้ว”
ไม่อยากจะเป็นแบบเขาเลยจริงๆ ฟาร์มาคิด
“แล้วไหงนายถึงมาทำตัวเหงาหงอยแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวจะไม่เป็นที่นิยมเอานะ”
ฟาร์มารู้สึกรำคาญที่ปาลเล่มาเป่าหูเขาว่าพวกผู้หญิงนั้นชอบผู้ชายที่มีความกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมมากว่า
“อื่อออ หนูรู้มานะคะ ท่านแม่บอกกับหนูมาว่าพี่ฟาร์มาเป็นที่นิยมมากเลย”
“ได้ยินเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ว่าต่อซิ”
ปาลเล่อยากจะได้ยินเรื่องของฟาร์มามากกว่าเดิม
“อะ-หยุดนะครับ!”
ฟาร์มาแกล้งทำเป็นไล่จับบลานช์ที่วิ่งหัวเราะคิกคักหนีออกห้องไป
“หมายความว่า…” แล้วปาลเล่ก็พูดออกมาด้วยท่าทีที่จริงจังขณะกำลังสวมวิกกลับ ก่อนเขาจะถามกับฟาร์มา
“ถึงจะบอกว่ารักษาเสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ยังมีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวอยู่ใช่ไหม?”
“แน่นอนครับ ตอนนี้ท่านพี่อยู่ในช่วงของการฟื้นฟูส่วนของโลหิตวิทยาซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราแทบจะไม่พบเซลล์มะเร็งที่สังเกตเห็นได้เมื่อใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องแล้วครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวประมาณ 1 พันล้านเซลล์ในร่างกายของท่านพี่อยู่ดี”
ฟาร์มาวาดกราฟเพื่ออธิบายให้ปาลเล่ฟัง
“ง่ะ-จะไม่เยอะไปหน่อยเหรอ!”
ปาลเล่ไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลย แต่เขากลับรู้สึกตระหนกยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ บลานช์ที่กำลังเดินเล่นกลับมาจากทางเดินนั้นพอได้ยินว่ามีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวประมาณ 1 พันล้านเซลล์เหลืออยู่ก็ถึงกับอ้าปากค้าง
“ถ้าท่านพี่หยุดคิดเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว จำให้ได้ว่าเซลล์ดังกล่าวมันลดลงมาจาก 1 ล้านล้านเซลล์แล้วจะดีกว่านะครับ”
“อืม…ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดีแฺฮะ ไม่อยากเสียเวลาแล้วสิแบบนี้ แล้วพี่ควรทำยังไงต่อดีล่ะ?”
ปาลเล่แสดงออกมาอย่างเชื่อฟัง เพราะเขาต้องการให้ฟาร์มาเร่งการรักษามากยิ่งขึ้น
“หลังจากที่ไม่สามารถมองเห็นเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้อีกต่อไปโดยใช้กล้องจุลทรรศน์แล้ว ก็มาเริ่มการรักษาระดับโมเลกุลสมบูรณ์โดยเล็งไปที่กำจัดเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้เหลือเพียง 100 ล้านเซลล์กันดีกว่าครับ”
“แล้วนายจะใช้ยาตัวเดิมหรือเปล่า?”
ปาลเล่กังวลขึ้นมา
“ครับ ที่ผมจะใช้ก็มีอยู่3 ตัวที่เป็นของเดิม นั่นคือ ATRA กับยาต้านมะเร็งตัวอื่น หากไม่มีอาการดังกล่าวเกิดซ้ำอีกใน 3 ปีอาจจะเป็นเรื่องปกติครับ แต่หาก 5 ปีผ่านไปแล้วไม่มีอะไรก็ถือว่าหายขาด”
ถึงนั่นจะไม่ทำให้เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวกลายเป็นศูนย์ แต่ก็พูดได้ว่าการรักษาเสร็จสิ้นจนหายขาดแล้ว
“หนทางยังอีกยาวไกลสินะ แล้วเราจะเริ่มขั้นต่อไปเมื่อไหร่ล่ะ?”
หากเราสามารถก้าวข้ามมันและเอาชนะบททดสอบแสนยากลำบากจากเทพโอสถนี้ได้ เราก็จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ปาลเล่
มองโลกในแง่ดีเช่นนั้น
“ช่วงนี้เราคงต้องหยุดพักให้ เซลล์ปกติภายในไขกระดูกฟื้นฟูอย่างเต็มที่ก่อนครับ”
หากเป็นที่โรงพยาบาลแล้วอาการในตอนนี้คงจะสามารถส่งตัวกลับบ้านไปพักได้แล้ว
แต่เมื่อปาลเล่ก็อยู่ที่บ้านอยู่แล้ว หลังจากนี้จึงเป็นช่วงพัก
“โอเค…”
แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ปาลเล่ก็ยังคงร่าเริงและแสดงออกมาว่าตนนั้นสบายดี
“เย้ ท่านพี่ใหญ่! สูงอีก!”
ปาลเล่ได้ยกบลานช์ขึ้นลงไปมาภายในห้อง
“แล้วพี่จะออกไปข้างนอกได้เมื่อไหร่กัน?”
“จะออกไปเลยก็ได้นะครับ แต่ผมจะตามท่านพี่ไปด้วย”
ปาลเล่ได้เตะชุดนอนของเขาออก ราวกับว่าไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้วและเปลี่ยนเสื้อผ้า ฟาร์มาที่ห่วงเรื่องอาการติดเชื้อของเขาจึงได้ตามไปด้วย พร้อมกับบลานช์ที่วันนี้ว่าง
ด้วยเหตุนี้สามพี่น้องจึงได้มาเดินกันรอบๆเมืองหลวง
ปาลเล่ได้สูดอากาศของเมืองหลวงที่ได้ไม่สัมผัสมานาน เพราะช่วงระยะเวลารักษาของเขานั้นเกือบจะหนึ่งเดือน ดังนั้นมันจึงใกล้จะเข้าเดือนกุมภาพันธ์แล้ว
“ฮ่าาาาา…อากาศในเมืองนี้สุดยอดไปเลยจริง”
“แล้วท่านพี่ใหญ่อยากจะไปที่ไหนเหรอคะ?”
“อ้อ ที่นั่นไงล่ะ”
เมื่อบลานช์ถามแบบนั้น ปาลเล่ก็บอกไปว่าเขาอยากจะมุ่งไปยังโบสถ์
“เอ๋ อีกแล้วเหรอคะ? เราไปหาอะไรอร่อยๆทานกันดีกว่านะคะ”
เมื่อปาลเล่เข้ามาในโบสถ์เขาก็ได้ไปคุกเข่ายังหน้ารูปปั้นเทพโอสถและเริ่มภาวนาอีกครั้ง บลานช์ก็ได้เดินไปยังรูปปั้นของเทพวารีอย่างเกียจคร้านเช่นกัน
“ขอขอบพระคุณท่านจริงๆ ที่ทำให้ผมสามารถเอาชนะความท้าทายครั้งนี้ได้”
ปาลเล่บอกกับเทพผู้พิทักษ์ของเขาด้วยความจริงจัง ฟาร์มาก็อยากแกล้งทำเป็นเทพโอสถก็กล่าวกับเขาว่า “ทำได้ดี” แต่ครั้งนี้เขาตัดสินใจว่าจะไม่ไปหลอกพี่ชายอีก นอกจากนั้นหัวหน้านักบวชก็ได้โผล่ออกมาจากเงามืดของหลังเสานั่นอีกด้วย
“ขอขอบพระคุณท่านมากจริงๆ ที่ช่วยตัวผมไว้ผ่านมือของน้องชายผม”
ในตอนนั้นเอง สิ่งนั้น ก็ได้เกิดขึ้น
(หัวของท่านพี่กำลังตกอยู่ในอันตราย!)
เพราะปาลเล่กำลังจะก้มหมอบลงไป วิกของเขาก็เริ่มจะหลุดออก จนฟาร์มาอยากจะวิ่งเข้าไปแก้ให้ทันที
“ตัวผมที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครนี้ในการเผชิญกับโรคร้าย ซึ่งมันคือการทดสอบจากพระองค์ เพื่อให้ผมได้เติบโตก้าวหน้าต่อไป”
แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมาจากนั้นวิกผมก็ได้หลุดออกไปทันที เขาได้มองไปรอบๆเพื่อดูว่าไม่มีใครเห็น ก่อนจะใส่วิกกลับไปเหมือนเดิม
ฟาร์มานั้นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“พี่ปาลเล่ พี่ฟาร์มา หนูภาวนาเสร็จแล้วค่ะ”
“เสร็จแล้วงั้นเหรอ บลานช์เธอจะหย่อนยานเรื่องพวกนี้เกินไปแล้วนะ! แล้วฟาร์มานายได้สวดภาวนาต่อเทพโอสถแล้วหรือยัง?”
“เอ๋? อ่า เอ่ออออ…”
ดีที่ปาลเล่ไม่ทันได้สังเกตว่าพื้นของโบสถ์รอบๆตัวฟาร์มานั้นกำลังส่องแสงอยู่
หลังจากเดินเล่นรอบเมืองกันพร้อมกับพูดคุยกับผู้คนรอบๆปาลเล่และบลานช์ก็กลับบ้านไปด้วยกันโดยทิ้งฟาร์มาไว้ และในที่สุดเขาก็ได้กลับไปยังร้านขายยาต่างโลกที่ห่างเหินไปนาน
“คิดถึงที่นี่จริงๆ”
เหล่าพนักงานกำลังอยู่ในช่วงพักกลางวัน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ที่ชั้นสอง ฟาร์มาจึงเข้าจากทางประตูหลัง
เมื่อฟาร์มาเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนก็เงยหน้าขึ้นมามองทันที
“อ๊ะ ท่านฟาร์มา! ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งเลยนะคะ!”
ลอตเต้วิ่งเข้ามาหา
“กลับมาแล้วครับ! นี่ครับผมมีชามาฝากด้วย มาดื่มด้วยกันเถอะครับ”
เมื่อฟาร์มาเอากระป๋องใส่ชาให้เธอ เธอก็แสดงอาการดีใจและกอดมันไว้
“เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมขนมหวานมาทานพร้อมกับชานะคะ!”
“ยินดีต้อนรับกลับนะ ฟาร์มาคุง”
เอเลนรู้สึกโล่งใจที่ได้พบฟาร์มาเสียที
“ขอบพระคุณสำหรับสิ่งที่พวกคุณทำมาโดยตลอดนะครับ เอเลน ลอตเต้ คุณเซดริก แล้วก็ขออภัยด้วยที่ทิ้งงานไว้ให้แบบนี้”
“จ้าา พอไม่มีนายอยู่แล้วก็รู้สึกเหงาๆ อยู่นะ มันออกจะแปลกไปบ้างที่ผู้จัดการร้านเป็นแค่เด็กแต่ยังไงก็ขาดนายไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ”
เอเลนต้อนรับฟาร์มา ในขณะที่กำลังเช็ดแว่นอยู่
ช่วงที่ฟาร์มาไม่อยู่นั้นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งจะเป็นคนรับหน้าที่ในการจ่ายยาแทน แต่ก็มีเพียงเอเลนเท่านั้นที่สามารถวินิจฉัยโรคแทนได้ ซึ่งงานดังกล่าวนั้นมันกดดันมากเพราะต้องการความละเอียดในการทำอย่างสูงโดยผู้ป่วยทุกคนที่มายังร้านก็ต้องการหาทางออกให้กับปัญหาตนและเอเลนจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง อีกทั้งยังไม่อยากให้ทุกคนมองว่าพอขาดฟาร์มาไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“เอเลน ช่วงนี้ดูผอมๆไปนะ”
“ฉันก็ผอมเป็นปกติอยู่แล้วย่ะ! แค่ช่วงนี้รู้สึกปวดท้องบ่อยๆเท่านั้นเอง”
สาเหตุคงจะมาจากความเครียด “เราทำเรื่องไม่ดีไปซะแล้วสิ” ฟาร์มารู้สึกผิด
“ได้ทานยาแก้ปวดท้องหรือยัง?”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก”
“ผมเชื่อใจคุณนะเอเลน เพราะแบบนั้นถึงได้ฝากฝังร้านไว้กับคุณ”
“ประเมินกันสูงเกินไปแล้วนะ ฉันก็แค่ทำสิ่งที่ตัวเองทำได้แค่นั้นเอง ฟาร์มาคุง”
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เอเลนก็เคยร่วมงานกับฟาร์มามาแล้วหลายเคส ยกเว้นเคสที่ยากเป็นพิเศษ โดยทั่วไปเธอก็สามารถวินิจฉัยได้ทั้งสิ้น นอกจากนั้นฟาร์มายังทำผังการวินิจฉัยโรคให้เธอไว้อีกด้วยเพื่อดูแลผู้ป่วย
“ลอตเต้จังก็ช่วยฉันได้เยอะเลย รวมทั้งคุณเซดริกก็ด้วย”
“ท่านฟาร์มากับท่านปาลเล่ก็กำลังพยายามกันอย่างหนักนี่คะ ทางท่านเอเลโอนอร์ก็เลยไม่ยอมแพ้เหมือนกัน”
ตอนที่ฟาร์มาไม่อยู่นั้นลอตเต่ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการประสานงานระหว่างเอเลนกับฟาร์มา โดยการเดินทางไปกลับยังคฤหาสน์และร้านขายยา
“นี่ค่ะทุกคน! กาเร็ตผลไม้เสร็จแล้วค่ะ เอามันมาทานกับชาคุณภาพดีที่ท่านฟาร์มาซื้อมากันเถอะค่ะ”
ลอตเต้ได้อบเครปที่เรียกว่ากาเร็ตและยัดไส้ในด้วยผลไม้หลากหลายชนิด ซึ่งเสิร์ฟพร้อมกับชาที่ฟาร์มานำมา ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มพัฒนาการขึ้นมาอีกขั้นโดยการทำขนมหวานเป็นงานอดิเรก
“ถือว่านี่เป็นปาร์ตี้ต้อนรับท่านฟาร์มากลับมาเลยก็ได้สินะคะ! อ๊าาาา~กลิ่นหอมจังเลยค่ะ”
ลอตเต้รินชาใส่แก้ว
“ขอบคุณมาก แล้วก็ตั้งแต่วันนี้ผมจะเริ่มกลับมาทำงานที่ร้านแล้วนะ”
ถึงตัวเขาจริงๆจะชอบอยู่ที่ร้านขายยานี้ แต่ด้วยสถานการณ์หลายๆอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยจำเป็นต้องห่างไปสักพัก
“งั้นแปลว่าหมอนั่น ไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือเปล่า?”
“ตอนนี้ก็ยังบอกไม่ได้ แต่ผมคิดว่าคงไม่ได้อาการครึ่งเป็นครึ่งตายแบบครั้งก่อนแล้ว”
เอเลนถึงกับตกใจกับคำที่ใช้อธิบายอาการ
“เอ๋? เอาจริงดิ ทำไมนายพูดเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยล่ะ?”
“ก็เพราะเราผ่านประตูแห่งความตายนั้นมาได้แล้วไง”
เมื่อเธอได้รู้ว่าความจริงนั้นมันเลวร้ายเกินที่เธอจินตนาการเอาไว้มากจึงรู้สึกสับสน
“ให้ตายสิ หมอนั่นไม่เห็นจะต้องแกล้งทำเป็นแข็งแรงเลย ถ้าเกิดนายไม่ดีขึ้นมาการแข่งขันของเรามันจะมีผลอะไรกัน”
เอเลนเปล่งเสียงภายในความคิดของเธอออกมา
“แล้วหมอนั่นทำอะไรอยู่ที่บ้านกันล่ะ พักผ่อนเหรอ?”
“เขากำลังพิสูจน์อักษรตำราที่ผมเขียนขึ้นมาแล้วก็แก้ไขคำผิดหรือข้อผิดพลาดอื่นๆ รวมไปถึงเพิ่มส่วนที่ไม่สมบูรณ์ด้วย”
ตำราแพทย์ที่ฟาร์มาเขียนนั้นใช้คำศัพท์ทางการแพทย์และเภสัชกรรมจากโลกเดิมของเขา ดังนั้นปาลเล่จึงได้พยายามเปลี่ยนคำเหล่านั้นให้เป็นศัพท์ของโลกใบนี้
ฟาร์มานั้นถือว่ามีความรู้ทางด้านภาษาของโลกนี้พอสมควร แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นด้วยความแตกต่างของภาษาจึงทำให้การอธิบาย หรือศัพท์ทางการแพทย์ในบางครั้งนั้นจะแตกต่างจากทางโลกนี้มากกว่าบทสนทนาธรรมดาซึ่งอาจจะแปลได้ไม่ดีนัก แต่ทางด้านนี้ปาลเล่เหมือนจะเข้าใจได้
เขาจึงได้แก้ไขและแปลงเนื้อหาในหนังสือออกมาอย่างมืออาชีพและสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งฟาร์มาก็ต้องขอขอบคุณเขาได้ส่วนนี้และพยายามกระตุ้นให้ปาลเล่ทำมันต่อไป
“เอ๋? นายจะบอกว่าหมอนั่นเขียนหนังสือขึ้นมาขณะพักงั้นเหรอ คนแบบนั้นรู้จักการเขียนหนังสือเรียนด้วยเหรอเนี่ย?”
เอเลนรู้สึกตกใจที่ปาลเล่สามารถนำความรู้ด้านศาสตร์โอสถที่เรียนมาจากฟาร์มาจนเขียนเป็นหนังสือเองได้
“เขาเป็นคนเขียนในขณะที่ผมทำการตรวจสอบไปด้วยครับ”
จากการสอนของฟาร์มาที่มอบให้กับปาลเล่จนสามารถเขียนหนังสือออกมาได้นั้น หลังจากที่เขาทำการตรวจดูปาลเล่ถือว่าเขียนออกมาได้ดีเลยทีเดียว
เพราะสำหรับฟาร์มานั้นเขาสามารถเขียนอะไรออกมาได้เกือบทุกอย่างแต่ก็มีกำแพงทางด้านภาษาวิชาการกั้นอยู่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นปาลเล่ที่ได้เรียนจบมาจากโนวารูตมาแล้วเมื่อฟาร์มาสอนสูตรทางเคมีให้กับเขาจึงทำให้เขาเข้าใจได้ไม่ยาก การเขียนนั้นจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
นั่นจึงทำให้งานของฟาร์มาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ปาลเล่ก็ตะโกนออกมาอย่างมีความสุข ” ว่ะฮ่าๆๆ ความรู้เหล่านี้มันอะไรกันนี่คือการค้นพบครั้งใหม่!” ขณะที่เขากำลังตัดกระดาษไปทำใส่เครื่องอัดสำเนา
“สองพี่น้องเดอเมดิซิสนี่สุดยอดไปเลยจริงๆนะคะ”
ลอตเต้กล่าวชื่นชมทั้งสอง
“… แน่นอนว่าคุณท่านก็ด้วยนะคะ ทั้งสามท่านถือว่าเป็นสุดยอดของตระกูลเดอเมดิซิสเลยค่ะ อย่างที่คิดจริงๆช่างเป็นแพทย์โอสถชั้นสูงที่ยอดเยี่ยม ว่าแต่หนังสือเรียนพวกนี้จะเอาไปใช้ที่วิทยาลัยด้วยสินะคะ?”
“ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ เพราะผมต้องจัดการมันขณะดูแลท่านพี่อยู่ด้วย สาขาแพทย์โอสถที่จะเปิดขึ้นมาใหม่นี้ คงต้องเอาพวกการเก็บตัวอย่างเลือดแล้วก็การรักษาแบบอื่นเข้าไปในคลาสด้วยแล้วสินะ เพราะอย่างพวกโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแค่กินยาเสร็จก็ใช่จะหายซะด้วยสิ”
“แต่ส่วนที่เหลือนั้นไม่ใช่ว่าฟาร์มาคุงต้องยกให้แพทย์ดูแลแทนงั้นเหรอ?”
“แน่นอนครับว่าแพทย์โอสถอย่างพวกเรานั้นเหมาะกับการใช้ยา เพราะแบบนั้นเราก็คงจะละเลยพวกแพทย์ไปไม่ได้รวมไปถึงการฝึกฝนพวกช่างเทคนิคก็มีส่วนสำคัญอีกด้วยครับ เพื่อการจะสร้างแผนกตรวจโรคให้ครบวงจรได้”
สิ่งที่ฟาร์มาหวังนั้นไม่ใช่เพียงแค่การมอบความรู้ให้แก่เหล่าแพทย์โอสถแต่รวมไปถึงแพทย์และช่างเทคนิคด้วยเพราะหากมีเพียงแค่เภสัชศาสตร์ที่พัฒนาแต่วงการแพทย์นั้นยังย่ำอยู่กับที่คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
“ก็นะ..จะว่าไงดีล่ะถึงเราจะมีวิทยาลัยแพทย์อยู่ที่เมืองหลวงแบบนี้แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักนักด้วยสิ”
วิทยาลัยแพทย์ซาเลโนตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของจักรววรดิ แต่สืบเนื่องมาจากมาตรฐานของวิทยาลัยนั้นอยู่ในจุดที่ค่อนข้างต่ำจึงไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ด้วยเหตุนี้เหล่านักเรียนผู้มากความสามารถทั้งหลายจึงไหลกันไปยังโนวารูตแทน และด้วยความบังเอิญวิทยาลัยยาจักรวรรดิ กับ วิทยาลัยแพทย์ซาเลโนนั้นอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน
“งั้นเอาแบบนี้เป็น ฟาร์มาคุงลองไปขอให้พ่อของนายมาสอนแผนกใหม่ของแพทย์โอสถไหม? ไหนๆนายก็เป็นคณบดีอยู่แล้วอำนาจการตัดสินใจส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับนายใช่ไหมล่ะ?”
เอเลนกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ
“แต่แพทย์โอสถอย่างเราจะไปเจาะหรือผ่าคนไข้อะไรแบบนั้นก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ?”
“ถึงในทางปฏิบัติเรามักจะทำแบบนั้นกัน แต่ในทางกฎหมายแล้วก็ไม่ควรแหละนะ”
“ก็นั่นสินะครับ!”
ฟาร์มารู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลย
และค่ำคืนนั้นที่โต๊ะอาหารเย็น ฟาร์มาได้พูดคุยกับบรูโน
“แน่นอนว่าหลายๆ ครั้งด้วยกฎของทางวิทยาลัยยาแล้วมันก็น่าปวดหัวแหละนะ”
“ในเรื่องการรักษาด้วยยานั้นมันมีข้อจำกัดอยู่นะครับ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องพัฒนาแพทย์ขึ้นมาเพื่อทำการรักษาผู้ป่วยโดยสามารถใช้การฉีดยาหรือใช้สายน้ำเกลือ และการปฏิบัติอื่นๆเข้ามาด้วย”
บรูโนขยับเคราด้วยความเคร่งเครียดเพราะเขาเข้าใจดีว่าการรักษาแบบใหม่นี้จำเป็นต้องปรับโครงสร้างอะไรหลายๆอย่าง
(เพราะในจุดนี้การที่จะสอนภาควิชา เภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ และ เทคนิคการแพทย์ในคลาสเดียวที่ชื่อว่าเภสัชวิทยานั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมากในการจำแนก)
ปาลเล่ทำหน้าเหมือนเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้แต่บรูโนนั้นได้ให้ความสนใจกับไอเดียของฟาร์มา
“งั้นเราเรียกประชุมคณบดีโดยด่วนเลยน่าจะดีกว่า”
หลังจากได้มีการประชุมกันและมีการตกลงกับทางวิทยาลัยแพทย์เซลาโน ทางนั้นก็ให้ความร่วมมือกับทางวิทยาลัยยาจักรวรรดิเป็นอย่างดีและรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
จึงได้ผลออกมาเป็นเช่นนี้
ภาควิชาแพทยศาสตร์→จะใช้พื้นที่ของทางวิทยาลัยแพทย์ซาเลโนก่อนหน้านี้
ภาควิชาโอสถวิทยา→จะใช้ส่วนของทางคณะวิจัยศาสตร์แห่งเทพและสมุนไพรดั้งเดิม
ภาควิชาวิจัยยา→ซึ่งฟาร์มาเป็นผู้รับผิดชอบนั้นจะมีหน้าที่ในการคิดค้นยาตัวใหม่ๆขึ้นมา
ภาควิชาแนวทางการปฏิบัติการและให้บริการทางการแพทย์นั้น→ จะมีส่วนในการพัฒนาฝึกฝนช่างเทคนิค (ซึ่งพวกเขามีหน้าที่ในการตรวจสอบพวกจุลินทรีย์และผลเลือดรวมไปถึงการตรวจสอบทางพยาธิวิทยาอีกด้วย)
รวมทั้งหมดเป็น 4 ภาควิชา
ฟาร์มาที่รับผิดชอบหลักสูตรทั้งสองปีอยู่แต่แรกนั้นก็ถือว่าไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระแต่อย่างใด ส่วนที่จะเปลี่ยนไปนั้นก็คือนักเรียนของภาควิชาวิจัยยานั้นจะต้องทำการบรรยายที่โถงประชุมแทน
โดยหลังจากนักเรียนทุกคนได้รับการสอนพื้นฐานทางด้านการแพทย์เสร็จสิ้นแล้วพวกเขาก็จะได้ลงไปเรียนโดยมุ่งนั้นหลักสูตรเฉพาะตามสาขาหลักของตน โดยมีพื้นฐานการแพทย์และการวินิจฉัยรวมไปถึงการเลือกยารักษาที่เหมาะสมแล้ว เพื่อต่อต้านกับสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้
เป็นเรื่องที่ดีเมื่อได้ลองทำอะไรหลายๆสิ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก
“นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กว่าที่ฉันคาดไว้อีกนะเนี่ย”
เอเลนได้รู้สึกตะลึงไม่แพ้ฟาร์มาที่ถึงกับเหวอไป
ในเวลานี้อาจจะเป็นไปได้ที่พวกเราจะสามารถยกระดับนักเรียนและเหล่าแพทย์ทั้งหลายให้อยู่ในระดับเดียวกับโลกยุคใหม่ จากนั้นทั้งทวีปหรืออาจจะทั้งโลกก็จะสามารถได้รับเทคนิคและความรู้เฉกเช่นเดียวกับเมืองหลวงของจักรวรรดิในตอนนี้ก็เป็นได้
นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาหวังไว้
“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป มาพยายามกันเถอะครับ”
และหลังจากนั้นสองปีวิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟที่เคยสอนเพียงหลักสูตรของการปรุงยาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยการแพทย์แซงต์เฟลิฟซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ โดยมีหลักสูตรสอนทั้งแพทยศาสตร์และโอสถศาสตร์นั่นเอง
—-
Note 1 : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913
Note 2 : ขอบคุณสำหรับผู้ที่ช่วยเตือนนะครับ แปลๆไปเบลอๆ สองตอนติดเลย