ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 64
นที่ 64 เจ็ดวันแห่งเทพอัคคีและหญ้าตีนไก่
ปีจักรวรรดิที่ 1147 เดือน มิถุนายน หลังจากฟาร์มาได้ทำการทดลองเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของตนด้วยความสนใจส่วนตัว พอผ่านไปหนึ่งเดือนเขาก็ลืมแล้วสิ้นเกี่ยวกับการบ้านที่จักรพรรดินีได้มอบไว้ให้จากงานที่เข้ามารุมเร้า
ฟาร์มาในวัย 12 ปีอดีตเภสัชกรของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีปัญหากับการต้องหาคู่แต่งงานก็น่าชวนปวดหัวพอแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องต้องมีลูกอีก
ยังดีที่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นฟาร์มาไม่ได้ถูกจับส่งทหารหรือต้องโทษแต่อย่างใดจากการกระทำอันประเจิดประเจ้อให้ลอตเต้ได้เห็น ท่าทางลอตเต้ตอนนี้เหมือนจะไม่ติดใจอะไรแล้วและพยายามจะลืมเรื่องราวนั้นให้มันผ่านๆ ไปหลังจากนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ได้ ถือว่าฟาร์มาได้นิสัยส่วนนี้ของเธอช่วยได้มากเลยทีเดียว
ในวันหยุดที่อากาศกำลังดีแบบนี้ ฟาร์มากับลอตเต้ไม่ได้ใช้รถม้าในการเดินทางแต่เปลี่ยนเป็นการเดินเท้าแทน โดยทั้งสองได้ออกมาเดินเล่นไปตามชายฝั่งริมแม่น้ำ โดยมีภาพรอบๆ เป็นเหล่าผู้คนที่มานั่งและนอนเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ ของดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำ
(เพราะที่จักรวรรดิไม่มีฤดูฝนด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กับภูมิอากาศที่ใกล้เคียงกับแถบยุโรป)
โดยปกติแล้วจักรวรรดิมีสภาพอากาศที่ความชื้นต่ำและมีอากาศที่อบอุ่นทำให้รู้สึกสดชื่นเกือบตลอดทั้งปี ฟาร์มาที่ไม่ค่อยถูกกับสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงจึงรู้สึกสบายตัวกับมันเป็นอย่างมาก
“ว้าว ดอกไม้ตรงนั้นสวยจังเลยค่ะ เราไปเด็ดมันมาสักหน่อยจะได้ไหมคะ”
ลอตเต้นำดอกไม้ป่าที่เด็ดมาทำเป็นช่อดอกไม้อย่างชำนาญ ก่อนจะยื่นมันให้กับฟาร์มาด้วยรอยยิ้ม
“เอามันมาตกแต่งบริเวณแผนกต้อนรับผู้ป่วยของร้านน่าจะดีนะคะ เพราะคงทำให้บรรยากาศที่นั่นดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลย”
“เอาสิ ทั้งภาพวาดของลอตเต้ก็ดี ช่วยทำให้ร้านของเรามีสีสันมากขึ้นจริงๆ”
ภาพวาดของลอตเต้บางส่วนถูกจัดแสดงในร้านขายยาโดยฟาร์มา ซึ่งสีสันของมันช่วยให้ผู้ป่วยที่มาผ่อนคลายสบายตายิ่งขึ้น
“วันนี้เดี๋ยวฉันจะต้องเข้าไปที่ห้องศิลป์ของวังหน่อยนะคะ พอดีมีงานที่ต้องจัดการกับสีที่ต้องเอากลับคฤหาสน์ด้วยค่ะ”
ลอตเต้นั้นเป็นจิตรกรหลวงโดยผลงานของเธอที่ผลิตออกมาในช่วงที่ผ่านมานั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งเธอยังได้วางแผนที่จะจัดนิทรรศการร่วมกับเมโลดี้อีกด้วย เธอจะทำการวาดภาพอยู่ภายในห้องของตัวเองที่
คฤหาสน์เดอ เมดิซิสหลังกลับจากการทำงานที่ร้านขายยา พอเสร็จจากการเดินเล่นกับฟาร์มาที่กลับมาจากวิทยาลัย เธอก็ตั้งใจจะเดินทางไปยังห้องศิลป์ของวังหลวง
“อ่ะ ถ้าคุณจะไปที่วังแล้ว เดี๋ยวผมตามไปด้วยเลยละกัน”
“จริงเหรอคะ!? งั้นก็ไปด้วยกันเลยค่ะ”
ลอตเต้เดินตามฟาร์มาไปยังวังหลวงในระยะที่ใกล้มากจนแทบจะตัวชนกัน
(จะใกล้ไปหน่อยไหมนะ)
โดยปกติแล้วลอตเต้มักจะเดินตามหลังเขาอยู่ประมาณสามก้าวแต่ตอนนี้ฟาร์มารู้สึกว่าระยะห่างของเขากับเธอจะลดน้อยลงไปมาก
ฟาร์มากำลังมุ่งหน้าไปยังพระราชวังพร้อมกับลอตเต้จนได้พบกับซาโลม่อนที่ได้รับหน้าที่สอนเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพระดับสูงและยังเป็นที่ปรึกษาด้านพิธีกรรมซึ่งกำลังเสร็จจากบรรยายภายในห้องประชุม
“พอร่างเป็นแบบนี้แล้ว หากได้อยู่กลางแดดผมคงจะล่องหนได้เลยแน่ๆ ฮ่ะๆๆ ล้อเล่นนะครับ แต่ก็อย่างที่เห็นครับร่างของผมเหมือนจะมองทะลุไปได้เลย…”
“นี่เป็นปัญหาใหญ่เลยนะครับ เห็นที่ต้องรีบแก้โดยด่วนเลย”
ในอดีตฟาร์มานั้นสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องที่เขาไม่มีเงาได้จากเครื่องรางที่รับมาจากซาโลม่อนเพื่อลดพลังแห่งเทพของเขาลงซึ่งตอนนี้เขาก็ยังคงพกพามันไว้ในกระเป๋าตรงหน้าอก ซึ่งมันสามารถแก้ปัญหาการไม่มีเงาของเขาได้เป็นอย่างดี แต่ในแง่ของการป้องกันร่างของเขาไม่ให้โปร่งใสนั้นเป็นศูนย์
“เครื่องรางที่ผมได้รับมาในครั้งก่อน จากสภาพของผมตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่สามารถช่วยแก้ในเรื่องนี้ได้เลยครับ”
“ตรงจุดนั้นมันเกินจะรับมือไปมากแล้วครับ หากไม่ใช่เทคนิคผนึกเทพแล้วคงจะไม่มีทางอื่นที่ผมจะสามารถช่วยท่านฟาร์มาได้อีกแล้ว…”
“ผนึกเทพ นี่มันคืออะไรเหรอครับ?”
เพื่อตอบคำถามของฟาร์มา ซาโลม่อนจึงรีบอธิบายกลับด้วยความกระตือรือร้น
“มันเป็นเทคนิคต้องห้ามที่สามารถผนึกเทพผู้พิทักษ์เอาไว้ได้ ซึ่งมันอาจจะให้ผลที่น่ากลัวกับท่านฟาร์มาก็เป็นได้….!!”
“นั่นก็ดีเลยไม่ใช่เหรอครับ แล้วคุณสามารถใช้มันได้หรือเปล่าครับ?”
ฟาร์มายินดีเป็นอย่างมากที่ได้สนทนากับซาโลม่อนในเรื่องนี้ก่อนที่ตัวของซาโลม่อนจะถอยกลับไปเล็กน้อย
“นี่ท่านฟาร์มาอยากจะให้ผมผนึกพลังแห่งเทพของท่านงั้นหรือ
ท่านเอาจริงเหรอครับ??”
“แน่นอนสิครับ มันยากเกินไปหรือเปล่าครับ?”
พอเขารู้ว่าฟาร์มาเอาจริง ซาโลม่อนจึงรีบตอบกลับไปทันที
“มะ-มะ-มะ-ไม่มีวันที่ผมจะทำเช่นนั้นได้หรอกครับ นั่นมันตรงข้ามกับความเชื่อของผมเลยนะครับ หากเป็นพวกวิญญาณร้ายแล้วผมคงไม่ลังเลที่จะทำมันหรอกครับ แต่กับท่านฟาร์มา…กับเทพผู้พิทักษ์เช่นนี้…คงไม่ไหวครับ!”
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เพราะร่างที่โปร่งใสแบบนี้มันทำให้ผมทรมานมากกว่าเสียอีกทั้งคนทั่วไปและเหล่าผู้ป่วยที่มายังร้านจะกังวลเอาหนักด้วย เพราะฉะนั้นช่วยผมด้วยเถอะนะครับ”
“เอ่อ….เพราะเป็นคำขอของท่านฟาร์มาผมจึงปฏิเสธไม่ได้…แต่จะดีจริงๆ เหรอครับ?”
ซาโลม่อนพูดออกมาขณะยังรู้สึกลังเล ก่อนที่เขาจะเขียนบทมนตร์ต้องห้ามนั้นให้กับฟาร์มา
“นำมันวางลงที่ผิวของท่าน หากจะให้ได้ผลที่สุดท่านควรจะแปะมันไว้บริเวณตราสัญลักษณ์ของเทพโอสถผลของมันคือจะทำการผนึกพลังแห่งเทพของท่านทำให้พลังของท่านลดลงเป็นอย่างมาก ในกรณีที่ท่านรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว อย่าลังเลที่จะดึงมันออกนะครับ เพราะอย่างที่ว่าไปมันคือมนตร์ต้องห้ามที่จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมากและทำให้เทพผู้พิทักษ์อ่อนแอลง โอ้…เหล่าองค์เทพ…ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะมอบสิ่งนี้ให้กับท่านฟาร์มา”
“ขอบคุณมากเลยนะครับ!”
ความง่ายๆ สบายๆ นั่นแหละเป็นหนึ่งในความน่ากลัวของฟาร์มาที่ทำให้ซาโลม่อนตัวสั่น เขาพลิกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นก่อนจะติดแผ่นคาถานั้นไว้เหนือตราของเทพโอสถพร้อมกันทั้งสองข้างก่อนจะพันมันด้วยผ้าพันแผล
“อึก! พร้อมกันทั้งสองข้างเลยเหรอครับ!”
ซาโลม่อนสะดุ้งโหยงพร้อมกับกรีดร้องออกมา
“อ่ะ…ก็รู้สึกเจ็บอยู่นะครับแต่ ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว”
ซาโลม่อนตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่ฟาร์มารู้สึกยินดีกับความเจ็บปวด
“มันควรจะเจ็บปวดมากเลยแท้ๆ …”
“ของแบบนี้เทียบกับไฟฟ้าของโซฟีไม่ได้หรอกครับ”
เหมือนฟาร์มาจะผ่านสมรภูมิมาหลากหลายเลยทีเดียว
“ยังไงก็ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ”
พลังแห่งเทพของฟาร์มานั้นลดลงเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็ทำให้ร่างของเขาไม่โปร่งใสอีกแล้ว ความเปลี่ยนแปลงด้านพลังแห่งเทพของฟาร์มานั้นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจริงๆ ในมุมมองของซาโลม่อนที่สังเกตเห็น
“บางทีถึงจะเป็นเทคนิคการผนึกเทพของมหาวิหาร ผมเกรงว่าก็คงจะเอาท่านฟาร์มาไม่อยู่แล้วก็เป็นได้นะครับ”
ถึงตัวฟาร์มาจะไม่รู้ถึงพลังของทางมหาวิหารดีนัก แต่หากมันเป็นในมุมมองของซาโลม่อนแล้วเขาก็ควรจะเชื่อคำพูดนั้น
“ขอบคุณมากนะครับ คุณซาโลม่อน ผมได้คุณช่วยอยู่ตลอดเลยจริงๆ”
“โถ่ ด้วยความยินดีเลยครับ ยังไงก็รบกวนตรวจสอบการทำงานของผนึกเทพให้ดีด้วยนะครับหลังจากนี้ว่ามันส่งผลกับศาสตร์แห่งเทพของท่านมากน้อยเพียงใด”
“ไว้เดี๋ยวผมจะมาบอกนะครับว่าเป็นอย่างไร”
(คงจะแย่แน่ๆ หากสิ่งนี้มันช่วงชิงการใช้พลังสร้างและสลายสสารของเราออกไป…ไม่สิเราอย่าพึ่งรีบกังวลจะดีกว่า)
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็เดินทางไปยังห้องศิลป์ของวังหลวงเพื่อรับลอตเต้ ซึ่งลอตเต้ในขณะนั้นก็กำลังก้มตัวลงระหว่างจัดการงานภาพแล้วสูดน้ำมูกตัวเอง
“ลอตเต้กลับบ้านด้วยกันไหม หรือจะให้ผมกลับไปก่อนเลย?”
“อ้า เดี๋ยวฉันขอกลับด้วยค่ะ…แค่ตอนนี้รู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย”
เธอมีอาการหายใจลำบากและจมูกของเธอก็กลายเป็นสีแดง
“น้ำมูกของฉันไหลไม่หยุดเลยค่ะ บางทีคงจะเป็นหวัดเอาซะแล้วสิคะ”
แม้แต่ตอนที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ น้ำมูกของเธอก็ไม่หยุดไหลเลย ว่าแล้วเธอก็หันหลังให้เขาพร้อมกับสูดน้ำมูก
“งั้นวันนี้ก็รีบกลับบ้านแล้วไปพักผ่อนเลยน่าจะดีนะ”
ฟาร์มาเข้าไปให้คำแนะนำลอตเต้ อาการของเธอก็ไม่เลวร้ายนัก ทางที่ดีแค่ให้พักผ่อนเฉยๆ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“ค่ะ ขอบพระคุณมากเลยนะคะ พอมาคิดดูแล้วฝ่าบาทก็เหมือนจะเป็นหวัดด้วยเหมือนกันนะคะ”
“เอ๋?”
พอฟาร์มากลับมาถึงคฤหาสน์เขาก็ทำการตรวจสอบความสามารถของตัวเองตามคำแนะนำของซาโลม่อน ดูเหมือนความสามารถในการสร้างและสลายสสารของเขาจะยังทำงานได้เหมือนก่อน
(ปัญหาเรื่องที่ผนึกเทพจะไปผนึกการทำงานของศาสตร์แห่งเทพของเราเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ โล่งอกไปที)
ฟาร์มาโล่งใจ
* * *
“หะ-หวัดงั้นเหรอ? รีเบคก้าก็ด้วยเหรอ?”
วันต่อมาลอตเต้ก็ยังเข้ามาทำงานที่ร้านอยู่ดีและดูเหมือนว่าสัญญาณของโรคจะไม่เบาบางลงไปเลย
“รีเบคก้าก็เป็นหวัดเหรอครับ ทางที่ดีวันนี้คุณกลับไปผ่อนก่อนเถอะครับ”
ฟาร์มาแสดงความห่วงใยต่อพวกเขา
“ฉันยังไหวอยู่นะคะ คุณเจ้าของร้าน!”
รีเบคก้าพูดออกมาด้วยความเขินอาย
“พอมาลองคิดดู ก็หายากนะเนี่ยที่ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนก็เป็นคนใกล้ชิดกับฟาร์มาคุงแท้ๆ แต่ก็ดันติดหวัดเอาซะได้”
เพราะร้านขายยานี่ก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือไงกัน เอเลนกระซิบกับฟาร์มา ความลับที่ว่าร้านขายยานี้ก็เป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์มีเพียงพนักงานร้านอย่างเอเลนกับเซดริกเท่านั้นทราบ
“นั่นสินะ…แปลกจริงๆ”
เอเลนไม่ได้ติดหวัด แน่นอนว่าเซดริกก็เช่นกัน คุณแม่ลูกติดอย่างเซเลส หรือ แพทย์โอสถหนุ่มโรเจอร์ก็ไม่เห็นจะมีอาการใดๆ แดนศักดิ์สิทธิ์ของตัวฟาร์มานั้นก็เหมือนกับความสามารถติดตัวที่ทำให้พื้นที่ระยะหลายกิโลรอบตัวฟาร์มากลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนที่อยู่ภายในระยะนั้นจะมีโอกาสน้อยมากที่จะป่วย ดังนั้นฟาร์มาจึงกลับมาคิดว่าพลังของเขามันได้ผลจริงๆ หรือเปล่า
(แต่นี่สองคนเลยเหรอที่เป็นหวัด?)
ฟาร์มาถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อในพลังของเขาว่าสามารถทำทุกอย่างได้ แต่มันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่ดีที่ทั้งสองนั้นป่วยหลังจากที่ไม่เคยมีอาการเจ็บป่วยใดๆ มาก่อนเลยเป็นเวลานานแล้ว
(หรือจะเป็นเพราะผนึกเทพที่เราใช้ตอนนี้ ส่งผลให้ความสามารถของแดนศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอลงนะ? ก็ไม่น่าจะใช่เพราะที่เราใช้ผนึกไปก็เมื่อวานนี้เองนี่)
ฟาร์มารู้สึกกังวลเล็กน้อย ก่อนจะใช้ดวงตาวินิจฉัย เพื่อเดาชื่อโรคที่พวกเธอเป็น
“เชื้อจากแบคทีเรีย”
“เชื้อจากไวรัส”
ฟาร์มามองดูลอตเต้ที่กำลังจามออกมาอย่างน่ารัก “คุ-ชิ้ววว” ขณะวินิจฉัยโรค ถึงจะมีอาการจามออกมาซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของโรคหวัดแต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงโรคหวัดเท่านั้นที่ส่งผลดังกล่าว มันอาจจะเป็นอาการเฉพาะซึ่งเกิดจากโรคชนิดอื่นด้วยก็ได้
(ได้ตัวสักที)
แล้วฟาร์มาก็บรรลุถึงเป้าหมายการวินิจฉัย
“โรคจมูกอักเสบจากอาการแพ้ตามฤดูกาล”
แสงสีฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีขาว มันคือโรคจมูกอักเสบจากอาการแพ้ตามฤดูกาลหรือไข้ละอองฟาง หากเป็นแบบนี้เขาก็จำเป็นต้องระบุที่มาของอาการแพ้ทันที
“ถ้าพูดถึงพืชที่กำลังโตรอบๆ เมืองหลวงจักรวรรดิตอนนี้ก็…”
เป็นที่ทราบกันดีว่าสาเหตุใหญ่ๆ ของไข้ละอองฟางในโลกของเขานั้นมีด้วยกันสามอย่างคือ ต้นซีดาร์ ต้นข้าว และต้นแร็กวีด จากมุมของฟาร์มาแล้วเมืองหลวงนั้นต้นไซเปรสอาจจะเป็นพันธุ์ใกล้เคียงกับต้นซีดาร์แต่ก็มีจำนวนที่น้อยมากๆ จึงไม่น่าจะใช่
“ต้นเบิร์ช ต้นโอ๊ก ต้นเฮเซล…”
หากใครได้สัมผัสกับพืชหนึ่งในชื่อนั้น พวกเขาอาจจะมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงต่อพืชชนิดดังกล่าว พอเขาเริ่มระบุพืชที่ดูจะเข้าข่ายมากที่สุด แสงสีขาวก็เริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ
“หญ้าสวนผลไม้…ไม่ก็พวกหญ้าตีนไก่สินะ??”
(จะว่าไปแถวๆ ริมตลิ่งก็เริ่มเห็นมันโตขึ้นมากันบ้างแล้วนี่นา)
ฟาร์มานึกขึ้นได้จากที่เขาเห็นเมื่อวันก่อน
“คุณทั้งคู่มีอาการน้ำมูกไหลหรือเปล่าครับ?” “มีค่ะ”
“อาการจามล่ะ?” “มีค่ะ”
“อาการคัดจมูกล่ะ?” “มีค่ะ!”
คำถามของฟาร์มาถูกตอบโดยทั้งสองสาวอย่างแข็งขัน
“ฉันมีอาการคันที่ตาด้วยค่ะ”
เหมือนทางลอตเต้จะมีอาการรุนแรงกว่า
“ถ้างั้นผมอยากจะถามหน่อยนะครับ ว่าคุณทั้งสองกำลังเคยมีอาการทั้งหมดที่ว่ามาเป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ อย่างฉันเองช่วงนี้ของทุกๆ ปี…..ก็ประมาณนี้แหละค่ะ”
รีเบคก้ายกมือตอบอย่างเขินอาย
(ไม่ใช่เพราะแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรา……งั้นแบบนี้ก็หมายความว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของเราไม่ป้องกันอาการแพ้สินะ)
ฟาร์มาลูบอกอย่างโล่งใจ เพราะตอนนี้เขายังจำเป็นต้องใช้ตัวสะกดพลังของเขาเอาไว้เพื่อแก้ไขปัญหาร่างโปร่งแสง แต่ถ้าหากมันทำให้ผู้คนเจ็บป่วยมากขึ้นก็นับว่าเป็นความล้มเหลวของเขาเช่นเดียวกัน
“มันเรียกว่าไข้ละอองฟางครับ”
“ไข้ละอองฟางเหรอคะ?”
ลอตเต้ทวนคำที่ได้ยิน
“ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือร่างกายของคุณเข้าใจผิดว่าละอองเกสรเป็นเชื้อโรค แล้วพยายามสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาเพื่อกำจัดพวกมันออกจากร่างน่ะ”
“กำจัดเหรอคะ?”
“วิธีการกำจัดละอองดังกล่าวก็คือ การจามมันออกมาโดยใช้ทั้งน้ำตาและน้ำมูก อีกทั้งยังพยายามป้องกันไม่ให้มันเข้ามาบุกรุกเข้ามาในร่างได้อีกโดยการกระตุ้นหลอดเลือดบริเวณจมูกซึ่งส่งผลให้พวกคุณมีอาการคัดจมูกกันน่ะ พอคิดแบบนี้แล้วทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลใช่ไหมล่ะ?”
“พวกเธอคงจะรู้ได้ไม่ยากนะว่าอาการแพ้มีลักษณะยังไงถ้าอ่านตำราของฟาร์มาคุง ส่วนรีเบคก้าจังยังพยายามไม่พอนะ”
เอเลนยืนยิ้มอยู่ข้างหลังลอตเต้ขณะเสริมคำอธิบายของฟาร์มา
“ไม่มีข้อโต้แย้งค่ะ ขออภัยจริงๆ นะคะ เรื่องตำรานั้นเหมือนฉันจะยังอ่านไม่ถึงไหนเลย”
รีเบคก้าตอบกลับไป
“แล้วฉันจะทำยังไงดีคะ? ทั้งอาการคัดจมูก สูดน้ำมูกจนเจ็บจมูกไปหมดแล้วค่ะ”
ลอตเต้ปิดจมูกของตัวเองด้วยมือทั้งสองข้าง เพราะอายที่มันกลายเป็นสีแดงไปหมดแล้ว
“ต้องขอโทษด้วยนะ แต่ต่อให้จะพยายามรักษาแค่ไหน แต่ก็คงจะเลี่ยงที่จะมีอาการแบบนี้ในทุกๆ ปีไม่ได้อยู่ดี”
คำพูดที่ไร้ความปรานีของฟาร์มา ทำให้ลอตเต้ถึงกับล้มลงไป
“ทุกปีเลยเหรอคะ! ไม่จริงน่า”
“แต่มันก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของละอองที่กระจายออกมานะ หากหลีกเลี่ยงหรืออาศัยอยู่บริเวณที่ไม่มีต้นพวกนี้เติบโตอยู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เอาเถอะเดี๋ยวผมจัดยาให้ก็แล้วกัน”
ฟาร์มานำเวชระเบียนของทั้งสองคนออกมา เพื่อเพิ่มข้อมูลใหม่เข้าไป นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่เขาจัดการกับมันไปในตอนล่าสุด
” ว้าว นี่ฉันจะได้รับยาจากท่านฟาร์มาแล้วเหรอคะ!”
ลอตเต้เผลอดีใจออกมา เพราะนี่มันก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่ฟาร์มามอบยาให้เหล่าพนักงานของร้านคนอื่นนอกจากเซดริก
“ลอตเต้จัง มันไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจสักหน่อยนะที่ต้องมารอรับยาแบบนี้เนี่ย”
เอเลนหัวเราะออกมา
“งั้นเดี๋ยวผมจะให้ยาต้านฮีสตามีนนะ เอาเป็นเฟกโซเฟนาดีนก็แล้วกัน”
“นั่นไม่ได้อยู่ในประเภทสเตียรอยด์ใช่ไหม เพราะคงจะไม่ดีหากเธอมีอาการติดเชื้อหรือเกิดการเสื่อมสภาพของต่อมหมวกไตเข้า?”
เอเลนถามฟาร์มา เพราะหากอ้างอิงตามตำราแล้ว สเตียรอยด์ควรจะใช้กับผู้ใหญ่ที่มีอาการรุนแรงจริงๆ เท่านั้น
“ลอตเต้ยังอายุไม่ถึง15ดังนั้นผมคงไม่จ่ายสเตียรอยด์ให้เธอหรอก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ”
“ถ้าอย่างงั้นทำไมไม่จ่ายพวกยาหยอดตาหรือจมูกให้ด้วยเลยล่ะ?”
ยาเฟกโซเฟนาดีนที่เขาใช้เป็นยาที่ใช้ระงับการทำงานของฮีสตามีนต่อพาเรียทัลเซลล์ในกระเพาะอาหารมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารก่ออาการแพ้ (ฮีสตามีน) โดยลอตเต้จะรับประทานอยู่ในปริมาณ 30 มก. วันละสองครั้ง ส่วนรีเบคก้านั้นจะอยู่ที่ 60 มก. ต่อวันแทน โดยใช้ร่วมกับโมเมทาโซนฟูโรเอตในรูปแบบของสเปรย์ฉีดจมูก
“สำหรับไข้ละอองฟางยาบางประเภทอาจจะไม่มีผลต่อคนบางกลุ่ม ดังนั้นหากมันไม่ได้ผลเราค่อยมีพิจารณาแนวทางการรักษากันใหม่น่ะ ยังไม่จำเป็นต้องรีบจ่ายยาทั้งหมด”
“แล้วพวกฉันต้องชั่งน้ำหนักเพื่อวัดปริมาณยาไหมคะ?”
ลอตเต้และรีเบคก้ารู้สึกลังเล
“อ๋อ คราวนี้ไม่จำเป็นหรอก เพราะผมวัดจากรูปร่างของพวกคุณเอาก็ได้”
“เอ๋!? ได้ยังไงกัน นี่คิดว่าฉันหนักเท่าไหร่กันคะ?!”
“จริงด้วยค่ะ! ท่านฟาร์มานี่ละก็”
“ล้อเล่นน่ะครับ เพราะวิธีคำนวณปริมาณยาคราวนี้ใช้อายุเป็นตัววัดครับ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่างที่มีอาการแพ้อยู่ก็ขอให้เลี่ยงอาหารจำพวกข้าวสาลี เมล่อน แล้วก็แตงโม กีวีไปก่อนนะครับ”
ฟาร์มาแนะนำพวกเขาในห้องจ่ายยา เพราะอาหารพวกนี้จะทำให้อาการแพ้รุนแรงขึ้น จากเมล็ดของพืชเหล่านี้ที่เข้าไปในร่างกายและอาจจะทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่าละอองเกสรและทำให้อาการแพ้กำเริบขึ้นมา
ฟาร์มาอธิบาย
“กีวีนี่มันอะไรเหรอ?”
เอเลนถาม
“อ้าว ที่นี่ไม่มีกีวีเหรอ? มันเป็นพืชชนิดหนึ่งน่ะ”
“ถ้าท่านฟาร์มาพูดแบบนั้น ฉันก็จะเลี่ยงค่ะถ้าพวกผลไม้ก็ยังพอไหว แต่ฉันจะไม่ตายเอาเหรอคะถ้าไม่ได้กินพวกข้าวสาลี! นั่นมันอาหารหลักฉันเลยนะคะ…”
ลอตเต้พูดออกมาด้วยความโศกเศร้า เพราะขนมปัง ของหวานของโปรดเธอหลายชนิดก็ทำมาจากข้าวสาลีทั้งสิ้น
“ทางที่ดีเลี่ยงได้จะดีกว่านะ เพราะหากมีอาการไข้ละอองฟางอยู่ การทานอาหารพวกนั้นเข้าไปอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ถึงขั้นอันตรายได้เลย”
“ถ้าเกิดเผลอทานเข้าไปจะเป็นยังไงคะ?”
“กรณีที่เลวร้ายสุด จะทำให้คุณมีอาการช็อกและเสียชีวิตครับ เรียกว่าร้ายแรงเลย”
“ฮี๊~!?”
ลอตเต้กับรีเบคก้าถึงกับตัวสั่น
“หากมีอาการแพ้รุนแรง ก็จำเป็นต้องรีบฉีดอะดรีนาลีนเข้าช่วยด้วยสิ”
เอเลนพูดเหมือนเป็นการทวนเนื้อหาตำรา
“ตามที่เอเลนบอกเลย เราน่าจะต้องเตรียมไว้เผื่อกรณีนั้นด้วยสินะ”
ฟาร์มาคิดอย่างจริงจัง
“โถ่! ขอให้พวกหญ้าตีนไก่มันหายไปจากโลกนี้ให้หมดเลย”
ลอตเต้พิงเคาน์เตอร์ของร้านขณะถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่ฟาร์มาจะวางถุงยาไว้บนหัวของเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกน่าลอตเต้ อาการของคุณก็ใช่ว่าจะแย่หนักเสียหน่อย รีเบกก้าก็เหมือนกันนะครับ”
“ขอบพระคุณค่ะ….ท่านฟาร์มา”
ลอตเต้สัมผัสกับถุงยาและมือของฟาร์มาพร้อมกัน ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวแล้วรีบดึงมือของตัวเองออกมาด้วยความเร่งรีบ
“ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าพวกหญ้านั้นไม่ถูกกำจัดออกไปจนหมด ก็คงต้องทนกันต่อไปนั่นแหละนะ”
คำพูดของเอเลน ไม่ได้ช่วยให้ลอตเต้กับรีเบคก้าสบายใจขึ้นเลย
“โถ่ แล้วฉันควรทำยังไงดีล่ะคะ แบบนี้จะออกไปข้างนอกก็ไม่ได้เลยใช่ไหมคะ!?”
“ลอตเต้จังกับรีเบคก้าจังผู้น่าสงสารโถๆ …บางทีพวกเธอคงต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิตแล้วล่ะนะ”
“อย่าพูดเหมือนเป็นปัญหาของคนอื่นเขาสิเอเลน ใครจะรู้ว่าคุณอาจจะเป็นรายถัดไปก็ได้นะ เพราะทุกคนมีโอกาสจะติดโรคไข้ละอองฟางกันอยู่แล้ว ระวังตัวไว้ก็ดีนะ”
ฟาร์มาเตือนเอเลน
“ฟาร์มาคุงอย่างฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก”
“ยังไงก็มีความเป็นไปได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง?”
“จ้า จ้า เข้าใจแล้ว งั้นมาใช้หน้ากากกันดีกว่านะลอตเต้จัง หน้ากากกับแว่นตาจะช่วยป้องกันละอองพวกนั้นเอง!!”
ว่าแล้วเอเลนก็พูดถึงวิธีการรับมือกับไข้ละอองฟาง พร้อมกับขยับแว่นของเธอซึ่งมันก็คือความรู้ที่ได้มาจากตำราของฟาร์มาเหมือนเดิม
“อ๊ะเดี๋ยวก่อนสิ พอพูดถึงเรื่องนี้ บางทีจักรพรรดินีอาจจะติดโรคไข้ละอองฟางด้วยก็ได้นี่นา ลอตเต้คุณบอกผมวันก่อนใช่ไหมว่าฝ่าบาทก็มีอาการนี้เหมือนกัน เห็นทีว่าต้องรีบเตรียมยาไว้ให้ด้วยเหมือนกันสินะ”
ฟาร์มานึกขึ้นได้ จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นแค่หวัดก็ได้แต่ก็ต้องนึกถึงไข้ละอองฟางเอาไว้ด้วย และพอวันถัดมาเขาได้เข้าวังไปเพื่อตรวจอาการ ผลก็เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้
ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันหญ้าตีนไก่หรือจะหญ้าสวนผลไม้ก็ดี ทั้งหมดนั้นได้สูญสิ้นไปจากเมืองหลวงของจักรวรรดิโดยไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น สาเหตุก็มาจากโองการของจักรพรรดินีที่ออกคำสั่งให้ทำการเผาหญ้าพวกนั้นให้หมดทุ่งด้วยศาสตร์แห่งเปลวเพลิง ซึ่งแน่นอนว่าจักรพรรดินีสมองกล้ามคนนั้นก็มาออกยืดเส้นสายด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้อาการดีฉันขึ้นมากแล้วค่ะ ต้องขอบคุณยาของท่านฟาร์มาจริงๆ!”
โดยสรุปแล้วลอตเต้กับรีเบคก้าก็ถือว่าได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นเดียวกัน อาการของพวกเธอก็ดีขึ้นตามลำดับ
“ก็ดีแล้วนี่นะ ว่าแต่ฉันสงสัยจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน หญ้าพวกนั้นมันหายไปไหนกันหมดนะ”
ฟาร์มาที่รู้ความจริงดังกล่าวก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้า พร้อมกับรู้สึกตกใจในพลังของจักรพรรดินีจากใจจริง
ถึงแม้จะมียาที่สามารถรักษาอาการของเธอได้ แต่มันก็ไม่ได้จบแค่นั้น หญ้าตีนไก่กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มันโผล่มาก็จะถูกกำจัดออกไปทันที จนถึงกับต้องถูกบันทึกในสมุดเล่มแดง (สิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์) ของจักรวรรดิในอนาคตอันใกล้
เปลวเพลิงจากศาสตร์แห่งเทพได้ถูกจุดขึ้นทั่วทุกหนแห่งของเมืองหลวงจักรวรรดิเพื่อเผาหญ้าตีนไก่ถึงเจ็ดวัน สำหรับผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวได้ให้ชื่อมันในภายหลังว่า เจ็ดวันแห่งเทพอัคคี
———————
Note 1 : ตอนนี้สอนให้รู้ว่าอะไรทำจักรพรรดินีสิ่งนั้นจะต้องสูญพันธุ์
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913