ร้านขายอสูรดวงดาว Astral Pet Store - ตอนที่ 1002 อสูรโกลาหล
ปัง!
ลมบ้าหมูกระทบไหล่ของชายหนุ่มผมม่วง ผมของเขายุ่งเหยิงก่อนที่ลมจะกระจายไป เขาค่อนข้างแปลกใจ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากสิ่งนี้ แต่เขาตระหนักว่าลมนั่นทรงพลังเท่ากับหมัดของคนธรรมดา!
ต้องอย่าลืมว่ามังกรทรอย เพิ่งเกิด!
มันยังไม่ผ่านช่วงการตรัสรู้ แต่มันสามารถใช้พลังธาตุได้แล้ว… ชายหนุ่มจ้องไปที่มังกรสองตัวโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เขาเชี่ยวชาญเรื่องมังกรทรอย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพบว่าผลลัพธ์ที่ได้นี้ไม่น่าเชื่อ อสูรตัวน้อยจะค่อยๆ เข้าใจความสามารถที่สืบทอดมาหลังคลอดเป็นเวลาหนึ่งเดือนภายใต้สถานการณ์ปกติ หนึ่งเดือนนั้นเรียกว่าช่วงการตรัสรู้
หลังจากนั้นอสูรจะแข็งแกร่งขึ้นมาก หากเป็นมังกรที่มีสายเลือดทรงพลังจะสามารถล้มวัยผู้ใหญ่หรือต่อสู้กับเสือโคร่งและจระเข้ได้
กรี้ส!
มังกรเด็กส่งเสียงร้องและกระพือปีก พวกมันหลบเลี่ยงมนุษย์ อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับทุกสิ่งในโลกภายนอก
พวกมันดุมากตั้งแต่เกิด พวกมันดูเหมือนมังกรทรอย แต่ปีกไม่เหมือน แถบบนร่างกายของพวกมันก็ดูแตกต่างเช่นกัน… คนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจกับมังกรหนุ่มทั้งสอง
ในขณะนั้นอสูรตัวอื่นๆ ที่ฟักออกมาก็เริ่มเคลื่อนไหว กิ้งก่าพิษเขียวพ่นของเหลวสีเขียวเหนียวๆ ออกมาบนพื้น ซึ่งส่งกลิ่นหอมออกมา อย่างไรก็ตามทุกคนกลั้นหายใจเพราะกลิ่นหอมอาจมีพิษร้ายแรง ซึ่งอาจฆ่าคนธรรมดาได้
มีอสูรเด็กอีกตัวหนึ่งซึ่งดูเหมือนสิงโตเพลิง มันกำลังเล่นกับไฟที่เท้าของมัน
ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นอสูรเหล่านี้ เพราะพวกมันดูแตกต่างจากที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากผิวหนังสีชมพูของพวกมัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นอสูรที่เพิ่งฟักออกมา
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับอสูรที่แสดงความสามารถดังกล่าวได้ในขณะที่พึ่งฟักออกมา!
กิ้งก่าพิษเขียวจะพัฒนาของเหลวพิษหลังจากเกิดได้หนึ่งเดือนเท่านั้นไม่ใช่หรอ? เจ้าของกิ้งก่ารู้สึกสับสนเมื่อสังเกตอสูรตัวน้อย
ซูผิงกลัวว่าอสูรจะวิ่งหนีเมื่อสังเกตพฤติกรรมที่กระตือรือร้นของพวกมัน เขาขอให้เจ้าของของพวกมันมารับพวกมันและกล่าวว่า พวกมันเพิ่งฟักออกมาและยังไม่ได้รับการสอน พวกมันยังคงเป็นอสูรร้ายตามธรรมชาติ คุณต้องสอนพวกมันอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันทำร้ายผู้คน
เจ้าของอุ้มอสูรของตนขึ้นมาและสังเกตพวกมันอย่างระมัดระวัง พวกเขารับปากตามที่ซูผิงพูดอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครสงสัยคำพูดของซูผิงหลังจากได้เห็นอสูรเหล่านี้ อสูรเหล่านี้กระฉับกระเฉงและก้าวร้าวมากหว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งบ่งชี้ว่าคุณภาพของพวกมันต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ย แม้ว่าพวกเขามันไม่ได้ดีเท่าที่ซูผิงกล่าวอ้างก็ตาม
ลูกค้าแต่ละคนขอบคุณซูผิง
ซูผิงโบกมือด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็กลับไปที่สระวิญญาณแห่งการฟักหลังจากทุกคนออกไป
เขาทำภารกิจฟักไข่สำเร็จหลังจากฟักไข่อสูรทั้งเจ็ดตัว เมนูฟักไข่เพิ่มใหม่ในเมนูร้านค้าของเขา
เขาแค่ต้องวางไข่อสูรไว้ที่นั่น แล้วมันก็จะถูกฟักไข่
วัตถุดิบที่จำเป็นในการฟักไข่จะถูกแลกเปลี่ยนด้วยแต้มพลัง เขาไม่ต้องค้นหาพวกมันในสนามบ่มเพาะอีกต่อไป
ฉันสงสัยว่าต้องใช้แต้มพลังมากแค่ไหนในการฟักไข่อสูรโกลาหล…
ซูผิงค่อนข้างกังวลและตื่นเต้น
จากนั้นเขาก็เริ่มกระบวนการฟักไข่สำหรับสองใบสุดท้ายบนเมนูการฟักไข่
เขาเลื่อนการฟักของสองตัวนั้นออกไปเป็นพิเศษ หนึ่งในนั้นอยู่ในสภาวะชะตากรรมและอีกตัวอยู่ในระดับดวงดาวค่าใช้จ่ายของพวกมันคือ 500,000 และ 1,200,000 แต้มพลังงานตามลำดับ
ตัวหลังมีราคาแพงกว่าถึงสองเท่า
ตามคำอธิบายในเมนูการฟักไข่ พลังงานที่จำเป็นสำหรับการฟักไข่ขึ้นอยู่กับไหวพริบและสายเลือดของอสูรที่ถูกฟักไข่ เขาอยากรู้ว่าอสูรโกลาหลอยู่ในระดับใด
ซูผิงจึงย้ายไข่อสูรโกลาหลไปที่สระและเลือกตัวเลือกการฟักไข่
ไข่อสูรตัวนี้มีสายเลือดสภาวะวิถีสวรรค์ ข้อกำหนดสำหรับการฟักนั้นเข้มงวด และการฟักไข่จะใช้เวลา 180 ชั่วโมงและแต้มพลังงานหนึ่งพันล้านแต้ม นายต้องการที่จะฟักมันหรือไม่? ระบบถาม
ซูผิงตะลึงกับการแจ้งเตือน
การฟักไข่มีค่าใช้จ่ายเป็นพันล้านแต้มพลัง?
เขารู้ว่าจำนวนนั้นเพียงพอที่จะพัฒนาอสูรสภาวะเทพดวงดาวที่โตเต็มวัยโดยใช้สระวิญญาณแห่งการฟัก
แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องเลื่อนขั้นสระเป็นระดับ7 เพื่อที่จะทำอย่างนั้น
ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกใดๆ การฟักไข่เพียงอย่างเดียวใช้แต้มพลังมากขนาดนั้น มันน่ากลัว ซูผิงตื่นเต้นเกินกว่าจะคิด เขาจึงเลือกฟักไข่ทันที
ทันทีหลังจากนั้น เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของแต้มพลังในร้านของเขาถูกนำไปให้กับกระบวนการนี้!
แต้มพลังหนึ่งพันล้านแต้มเท่ากับรายได้ตลอดสามปีของเขา และถึงอย่างนั้นกลับถูกนำมาใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว…
ซูผิงไม่เสียใจ อันที่จริงเขาหลับรู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากสภาวะวิถีสวรรค์อยู่เหนือสภาวะเทพอมตะ เมื่ออสูรโตเต็มวัย มันจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่แม้แต่เทพอมตะก็ต้องเงยหน้ามองมัน
ตามคาดของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากความโกลาหล การเจริญเติบโตตามธรรมชาติของมันมีประสิทธิภาพมากกว่าการฝึกอย่างหนักของหลายสายพันธุ์! ซูผิงรู้สึกสับสน
เมื่อพลังงานถูกหักออก ด้านล่างของสระวิญญาณแห่งการฟักก็เปล่งแสงระยิบระยับ จากนั้นซูผิงก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ลึกลับและงดงาม มันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากกลิ่นอายโกลาหลที่เขาสัมผัสได้เมื่อพวกเขาพบกับมังกรญาณโกลาหล!
ฉันสงสัยว่าสระวิญญาณแห่งการฟักเชื่อมต่อกับที่ใด มันคือกลิ่นอายโกลาหลที่เล็ดลอดออกมาอย่างแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่มันไม่ต้องการวัตถุดิบใด ๆ ยกเว้นแต้มพลัง กลิ่นอายโกลาหลเป็นพลังงานดั้งเดิมที่สุดสำหรับการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มันสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ ซูผิงมองลงไปที่สระวิญญาณ แต่มองไม่เห็นก้นด้านล่าง
ไข่แสดงการเคลื่อนไหวบางอย่างในขณะที่กลิ่นอายโกลาหลถูกแทรกเข้าไปในไข่อสูรทีละนิด
จากการนับถอยหลังของระบบ การฟักไข่ยังต้องใช้เวลาอีก 180 ชั่วโมง
ถ้าฉันสามารถดูดซับกลิ่นอายโกลาหลและสลายมันได้ ซูผิงมองไปที่กลิ่นอายโกลาหลที่กระจายออกมาด้วยดวงตาเปล่งประกาย เมื่อนั้นเขาจึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของมัน ส่วนที่มีค่าที่สุดในร้านของเขาน่าจะเป็นสระวิญญาณแห่งการฟัก
พลังต่อสู้ของเขาจะทะยานขึ้นอีกหลายสิบเท่า ไม่แน่อาจหลายร้อยเท่า ถ้าเขาดูดซับกลิ่นอายโกลาหลได้!
สิ่งมีชีวิตในยุคดึกดำบรรพ์เต็มไปด้วยกลิ่นอายโกลาหลไม่ใช่หรอ? พลังเทพนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าพลังดวงดาวถึงสิบเท่า ในขณะที่กลิ่นอายเซียนนั้นทรงพลังกว่าแปดเท่า กลิ่นอายโกลาหลดีกว่าหลายพันเท่า!
ยุคดึกดำบรรพ์เป็นช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัว สิ่งมีชีวิตในยุคนั้นไม่สามารถจินตนาการได้
ซูผิงมองไปที่สระวิญญาณและค่อย ๆ เข้าไกล้โดยหวังว่าจะดูดซับกลิ่นอายโกลาหลที่รั่วไหลออกมา เขาแปลกใจมากที่พลังจิตของเขาไม่สามารถดึงพลังนั้นเข้าหาตัวเองได้
เขาพยายามบ่มเพาะกลิ่นอายโกลาหลด้วยเทคนิคของเขา แต่ก็ไม่ได้ผลเช่นกัน
กลิ่นอายโกลาหลดูเหมือนจะจับจ้องไปที่สระวิญญาณแห่งการฟักและไหลไปในวิถีเดียวกัน มันไม่ถูกรบกวนเลยแม้แต่น้อย
ดูดซึมไม่ได้? พลังของมันสูงเกินไปสำหรับร่างกายของฉันจะรองรับได้ ก็เหมือนช้อนที่มีรูเต็มไปหมด ไม่สามารถอุ้มน้ำได้ ซูผิงยื่นมือไปทางกลิ่นอายโกลาหล แต่ไม่สามารถสัมผัสได้อย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนจะอยู่ในมิติที่ต่างกัน
ซูผิงรู้สึกเสียใจ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ เขานั่งไขว่ห้างข้างสระวิญญาณ เนื่องจากเขาไม่สามารถดูดซับมันได้ เขาจึงต้องฉวยโอกาสที่จะเข้าใจกฎแห่งความโกลาหล
เวลาผ่านไป
ซูผิงนั่งสมาธิข้างสระวิญญาณแห่งการฟัก จิตใจของเขากระสับกระส่าย แต่ในไม่ช้าเขาก็สงบลง เขาตรวจสอบกลิ่นอายโกลาหลอย่างละเอียด ซึ่งบรรจุพลังอันน่าทึ่งที่กระตุ้นสมองของเขาและนำเขาไปสู่การเห็นแจ้งที่แปลกประหลาด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขารับรู้นั้นไม่ใช่ความโกลาหล แต่เป็นกฎหรือเทคนิคการต่อสู้อื่นๆ
กลิ่นอายโกลาหลดูเหมือนจะมีทุกอย่าง
ไม่กี่วันต่อมา ดวงตาที่ปิดสนิทของซูผิงเปิดออกอย่างเป็นประกาย เขารู้สึกเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
อีกสองสามวันผ่านไป ซูผิงก็เบิกตากว้าง ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงดังออกมาจากภายในร่างกายของเขา และมีภาพลวงตาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเขา ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโลกใบเล็กของเขา
อย่างไรก็ตาม ภาพลวงตากลายเป็นจริงด้วยความเร็วสูง ในเวลาเดียวกัน มันหดตัวอย่างรวดเร็วและห่อหุ้มซูผิงไว้
โลกใบเล็กปกคลุมเขาเหมือนโล่โปร่งใส
องค์ประกอบทั้งหมดของความโกลาหล… ดังนั้น ความโกลาหลก็คือความหวัง มันคือทุกสิ่ง มันผิดปกติ มันจึงเป็นความโกลาหล…
ซูผิงพึมพำกับตัวเอง ปล่อยกลิ่นอายที่เขาซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขารู้ว่าโลกใบแรกของเขากำลังจะมาถึงขีดจำกัด!
เขาเข้าใจกฎการทำลายล้าง ความโกลาหลและเวลา ถัดมาคือชีวิต
ถ้าฉันใช้กฎสูงสุดทั้งสี่ข้อกับโลกใบแรก ทำไมต้องสร้างโลกใบที่สองด้วย? ซูผิงคิด เขากำลังสับสน เขาคงจะพยายามควบคุมกฎหลักทั้งสี่แล้วบุกเข้าไปในสภาวะทำดวงดาวหากเขาไม่ได้เรียนรู้เทคนิคทวีคูณโลกจากสถาบันวิถีสวรรค์
หรือบางทีฉันไม่จำเป็นต้องควบคุมกฎสูงสุดทั้งสี่อย่างให้สมบูรณ์เพื่อย่อโลกใบแรก… แต่ฉันสามารถเชี่ยวชาญได้เมื่อฉันรวมโลกใบที่สองได้ ด้วยวิธีนี้โลกใบที่สองจะมีพลังมากกว่าโลกใบแรก พวกมันก็จะเป็นอิสระจากกัน ซูผิงครุ่นคิด
ในช่วงพริบตาเดียว-
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ซูผิงมองการนับถอยหลัง การฟักไข่สิ้นสุดลงราวๆเที่ยงของวันที่แปด
ไข่ในสระวิญญาณแห่งนั้นเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในขณะนี้ ต้องขอบคุณกลิ่นอายโกลาหลที่บ่มเพาะ มันจึงกลายเป็นทรงกลมระยิบระยับ และก็มองไม่เห็นอีก
ซูผิงจ้องไปที่การนับถอยหลังในเมนูฟักไข่
จากนั้นเขาก็หันไปมองไข่หลังจากวินาทีสุดท้ายผ่านไป เขาเห็นว่าความเจิดจรัสของมันหายไปแล้ว กลิ่นอายโกลาหลก็หายไปจากก้นบ่อวิญญาณเช่นกัน กลิ่นอายที่ขอบสระก็หายไปเช่นกัน มันดูเหมือนบ่อน้ำแห้ง
ได้ยินเสียงแตกดังชัดเจน
เมื่อไข่ถูกเปิดเผยอีกครั้ง ซูผิงเห็นว่ามันเริ่มแตก
รอยแตกขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งอสูรร้ายตัวเล็ก ๆ แยกเปลือกออกมาจากด้านในและกางกรงเล็บสีขาวของมันออกมาด้านนอก
กรงเล็บไม่แหลมและดูน่ารัก เปลือกไข่แตกขณะที่มันเคลื่อนไหว ลวดลายบนเปลือกไข่วูบวาบอย่างน่าประหลาด พลังพิเศษที่ปกป้องไข่นั้นกลายเป็นโมฆะ เพราะมันถูกทำลายจากภายใน
อสูรร้ายคลานออกมาจากเปลือกไข่ ในลักษณะที่ค่อนข้างงุ่มง่ามต่อหน้าต่อตาของซูผิง
ซูผิงกระพริบตา
เขาเคยเห็นอสูรที่ฟักออกมาก่อนหน้านี้ เตะและทุบออกมาราวกับโจมตีศัตรู พวกมันมีความกระตือรือร้นและกระปรี้กระเปร่า ดังนั้นเขาจึงคาดว่าวิธีการออกมาของอสูรโกลาหลตัวน้อยจะน่ากลัวกว่านี้
แม้แต่สภาวะเทพดวงดาวก็ล้มเหลวในการทำลายเปลือกไข่ อสูรเด็กนี่ทำลายมันจากภายใน ดังนั้นมันคงจะเหนื่อย… ซูผิงคิด
จากนั้นอสูรตัวน้อยก็จับตามองซูผิง ขยิบตาอย่างสงสัย แต่แล้วดวงตาของมันก็เปล่งแสงสีทองแปลก ๆ ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แล้วเด็กน้อยก็ยิ้มอย่างน่ารักให้กับซูผิง
ใช่ มันยิ้มเหมือนเด็กว่าง่าย อสูรดูเหมือนช้างที่มีหูใหญ่และจมูกยาว มันค่อนข้างอ้วนด้วย ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือมันมีเขาและเกล็ดอยู่ด้านข้าง นอกจากนี้ยังมีเปลวไฟสีเทาบนกีบของมัน ทำให้ดูทั้งน่ารักและน่าเกรงขาม
นี่คืออสูรโกลาหล…
ซูผิงพบว่าเขาสัมผัสได้ถึงความสุขและความเป็นมิตรจากรอยยิ้มเล็กๆ นั้น ซูผิงสัมผัสได้ว่าเวลาและมิติรอบ ๆ อสูรร้ายกำลังสั่นสะเทือน กระแสของพลังประหลาดกำลังบินเข้าสู่ร่างของมันจากความว่างเปล่า
มันสามารถมีอิทธิพลต่อเวลาและมิติโดยรอบแม้ว่าจะเพิ่งเกิด? ซูผิงค่อนข้างตกใจ
ต่อจากนั้น อสูรโกลาหลก็คลานออกมาจากเปลือกไข่ หูของมันใหญ่ขึ้นในทันใด และโพรงในหูของมันก็ดูดซับเปลือกไข่ที่แตกเหมือนหลุมดำ จากนั้นมันก็เริ่มลอยกลางอากาศและบินมาทางซูผิง แบบเซไปเซมา..