ร้านขายอสูรดวงดาว Astral Pet Store - ตอนที่ 1011 เริ่มงาน
ทำไมเธอถึงต้องใส่อารมณ์ด้วย?
ซูผิงงงงวย แต่ด้วยพลังดวงดาวที่อยู่รอบตัวเขาไม่ช้าเขาก็ลืมมันไป เขาอุทิศตนไปกับการบ่มเพาะ
เขาไม่รู้ถึงการมาถึงอย่างไม่คาดคิดของชายชราสภาวะเทพดวงดาว เพื่อความปลอดภัย เขาจึงสร้างม่านพลังขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองก่อนที่จะบ่มเพาะ
“พวกแกก็ควรออกมาด้วย”
ซูผิงเรียกอสูรน้อย สุนัขมังกรดำ มังกรเพลิงนรก และอสูรอื่นๆ เขาลดขนาดของพวกมันลง เพื่อให้พวกมันเข้ามาอยู่ในค่ายกลดวงดาวได้
หลังจากนั้นก็บ่มเพาะต่อไป
นอกค่ายกลดวงดาว โหลวหลานหลินกระทืบเท้าด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าซูผิงได้สร้างม่านพลังขึ้นซึ่งขัดขวางการแอบมองของเธอ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงโกรธ แต่เธอไม่สามารถทำจัดการความรู้สึกนี้ได้
“เจ้าหญิงหลิน…” มีคนทักทายเธอ
“หุบปาก”
“ครับ”
เสียงที่ลานค่อยๆเงียบลง ทุกคนค่อย ๆ หยุดพูดถึงซูผิงหลังจากที่เขาเข้าไปในที่นั่งหลัก และแยกตัวออกไป
เจวี่ย เจ้าของที่นั่งคนก่อน อยู่ท่ามกลางฝูงชน—เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ชายหนุ่มสองสามคนที่ติดตามเจวี่ยมาหลายปีบ่นแทนเขา
“หัวหน้า ผู้อำนวยการอวี่ไม่ยุติธรรมเลย ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเรา ทำไมเขาถึงได้รับที่นั่งหลักในการบ่มเพาะ? เขาจะพยายามช่วยเราอย่างดีที่สุดไหมหากตระกูลมีปัญหา?”
”แน่นอนว่าไม่ เขาเป็นแค่แขก เขาจะหนีไปแน่นอนถ้ามีอะไรเกิดขึ้น” “เงียบไปเลย” เจวี่ยพูดขณะที่เขาละสายตาจากซูผิงและจ้องมาที่พวกเขา “นายตามฉันมาตั้งนานแล้ว นายไม่รู้หรอกว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด? นายไม่เห็นหรือว่าเขาต่อต้านอี้หลิงยังไง? ตอนนี้เขาอยู่ในแค่ระดับดวงดาว อี้หลิงจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อผู้ชายคนนี้กลายเป็นเจ้าดวงดาว!
“ทำไมเราต้องไปยุ่งกับคนอย่างเขาด้วย”
”เอ่อ…”
ผู้ติดตามของเขาหุปปากเงียบ แม้ว่าจะไม่เชื่อทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน ในห้องประชุมส่วนกลางของดาวเคราะห์ดวงนี้ ชายชราคนหนึ่งก็มาถึงวังนอกห้องประชุม และผ่านจุดตรวจความปลอดภัย
“ผู้นำ ได้โปรดดูสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์” ชายชราไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อำนวยการอวี่ เขาเปิดภาพฉายการปะทะกันระหว่างซูผิงอี้หลิง ”ฮะ?”
ที่ด้านหน้าวัง ชายวัยกลางคนผู้สง่างามและน่าเกรงขามเลิกคิ้วขึ้น เขาตั้งข้อสังเกตหลังจากดูคลิปว่า“สมกับที่เป็นศิษย์ของเทพอมตะ”
”ใช่แล้วครับ เขาสามารถต่อสู้กับอัจฉริยะอย่างอี้หลิงทั้งที่เขาอยู่แค่ระดับดวงดาวเท่านั้น ช่องว่างระหว่างพวกเขาไม่กว้างมาก น่าเหลือเชื่อ!” ผู้อำนวยการอวี่ตั้งข้อสังเกต เขาคิดว่าเขาไม่เคยได้เห็นนักรบที่มีศักยภาพมากขนาดนี้มาก่อน
ซูผิงย่อโลกใบเล็กได้ตั้งแต่อยู่สภาวะชะตากรรม นั่นเท่ากับเพดานของขอบเขตการบ่มเพาะนั้น
มีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จ บางคนตายโดยบังเอิญ หรือไม่ก็ไปถึงเทพอมตะ!
ซูผิงกำลังทำลายขีดจำกัดของระดับดวงดาวอีกครั้งในครั้งนี้ อนาคตของเขาคงจินตนาการไม่ได้ ถ้าเขายังคงเติบโตแบบนี้! “คนของเราบางคนไม่เห็นด้วยกับการที่เขาจะมาเป็นแขกรับเชิญ แต่ตอนนี้พวกเขาคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ผู้นำตระกูลโหลวหลานหัวเราะคิกคัก “ทำได้ดีมากผู้อำนวยการ หวังว่าเราจะมีลอร์ดสวรรค์เป็นพวกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
“ผู้นำ ผมได้มอบที่นั่งฝึกที่ดีที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา ผมคิดว่ามันเป็นการเสนอที่เหมาะสม พิจารณาจากว่าเขาจะไม่ได้มาเยี่ยมเราบ่อยๆ” ผู้อำนวยการยู่กล่าวด้วยความเคารพ
”ไม่มีปัญหา นายได้รับอนุญาตจากฉัน ไม่ต้องกังวลกับความขัดแย้งใดๆ” ผู้นำตระกูลกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่าทำไมผู้อำนวยการอวี่ถึงมาที่นี่ ตระกูลโหลวหลานใหญ่เกินกว่าจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าในกรณีใดเขาเป็นคนตัดสินใจ เขาจะไม่ยอมให้การทะเลาะวิวาทไร้จุดหมายมาทำลายผลประโยชน์ของตระกูล—
โดยรวมแล้วมันคงจะโง่มากหากคนที่เห็นต่างสร้างปัญหา ในขณะที่คนอื่นๆ พยายามดูแลเขาอย่างดี
ผู้อำนวยการอวี่รู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาหันหลังกลับและจากไป เขาต้องไปแจ้งให้สมาชิกหลายคนในตระกูลของเขารู้จักกับซูผิง
งานกาล่ากำลังจะเกิดขึ้น ทุกฝ่ายในตระกูลต่างยุ่งกับการเตรียมการ ข่าวการเผชิญหน้าของซูผิงและอี้หลิงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าและมักจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ข่าวดังกล่าวได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งดาว และทั้งจักรวาล
…
ความหนาแน่นของพลังดาวนี้ไม่น่าเชื่อ ฉันได้รับหนึ่งดาวต่อวัน! ภายในค่ายกลดวงดาว—ซูผิงพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อรวมดวงดาว พลังดวงดาวที่ดูดซับทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายเซียนโดยอัตโนมัติ วังวนในมหาสมุทรแห่งดวงดาวของเขา ร่างกายของเขาค่อย ๆ กลายเป็นเซียนด้วย
ในขณะนี้เขาเป็นครึ่งเซียน
เมื่อการเปลี่ยนแปลงเสร็จสมบูรณ์ เขาจะสามารถเปลี่ยนพลังดวงดาวเป็นกลิ่นอายเซียนได้โดยไม่ต้องใช้วังวน เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถถ่ายทอดกลิ่นอายเซียนให้ผู้อื่นและช่วยให้พวกเขาพัฒนาได้!
การรวมดวงดาวด้วยกลิ่นอายเซียนจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าร่างกายของฉันเปลี่ยนเป็นเซียน ประสิทธิภาพน่าจะดีขึ้นมาก ฉันจะลองถามโจแอนนาว่าให้เทพสูงสุดช่วยฉันได้ไหม คราวหน้าฉันจะไปหลุมศพกึ่งเทพ
ซูผิงตั้งตารอคอยมันจริงๆ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เร่งรีบ กลิ่นอายเซียนมีประสิทธิภาพมากกว่าพลังดวงดาวถึงแปดเท่าในขณะที่พลังเทพมากกว่าสิบเท่า การพัฒนานั้นไม่สำคัญเท่ากับที่เขาประสบอยู่
ฉันคิดว่าเทพมีลักษณะทางกายภาพที่ดีที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด อสูรหายากบางชนิดเท่านั้นถึงสามารถเอาชนะพวกเขาได้ จากนั้นซูผิงก็นึกถึงกายแสงอาทิตย์ของเขา น่าเสียดาย—แม้ว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนพลังดวงดาวเป็นพลังอีกาทองคำได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดยังไง เขาได้รับเพียงเทคนิคลับบางอย่างของอีกาทองคำเท่านั้น แต่พวกมันไม่ได้ครอบคลุมจริงๆ นั่นคือเหตุผลที่ซูผิงยังคงใช้พลังดวงดาว
ฉันควรจะไปโลกของอีกาทองคำอีกครั้งในสักวันหนึ่งและเรียนรู้เพิ่มเติม ซูผิงคิด
ในชั่วพริบตา ซูผิงรวมดวงดาวได้สิบห้าดวง
จำเป็นต้องจุดไฟดวงดาวหกสิบสามดวงเพื่อวาดภาพร่างดาวดวงที่เจ็ด เมื่อรวมกับที่รวมได้ก่อนหน้านี้ เขามี 28 ดาวแล้ว หากเขาบ่มเพาะต่อไปอีกหนึ่งเดือนเขาจะมีเพียงพอ
ฉันรู้สึกไม่ค่อยอยากไป ซูผิงไม่เต็มใจจริงๆ
อย่างไรก็ตาม มีใครบางคนกำลังเรียกเขาจากนอกค่ายกลดวงดาว ซูผิงทำได้เพียงหยุดการบ่มเพาะ เรียกคืนสุนัขมังกรดำและอสูรตัวอื่นๆ ของเขา เขาตรวจสอบระดับของพวกมัน ตามที่คาดไว้ อสูรน้อยมีความก้าวหน้ามากที่สุด มันอยู่ในสภาวะชะตากรรมแล้ว น่ากลัวขึ้นมาก มันอาจจะสามารถเอาชนะเจ้าดวงดาวทั่วไปได้
นั่นไม่สมเหตุสมผลเลย
อสูรโกลาหลไม่มีโลกใบเล็ก แต่กลิ่นอายโกลาหลที่เล็ดลอดออกมาจากมันก็เพียงพอที่จะทำให้เตะโลกใบเล็กธรรมดาๆ ได้อย่างง่ายดาย
ถูกต้อง มันสามารถกดขี่เจ้าดวงดาวด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว
“พวกแกต้องพยายามต่อไป อยากโดนแซงหน้าหรือไง?” ซูผิงกระตุ้นอสูรตัวอื่นของเขา
อสูรตัวอื่นๆ ทำหน้าโกรธใส่อสูรน้อย แม้ว่าการฝึกของพวกมันกับซูผิงจะโหดร้ายและรุนแรง แต่พวกมันชินแล้ว นั่นจนกว่าคู่แข่งรายใหม่จะปรากฏตัวขึ้น ซูผิงเห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่นอกค่ายกล แต่มีคนโหลวหลานอยู่ไม่มากนัก โหลวหลานเฟิงพร้อมกับผู้อำนวยการอวี่มองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซูผิงพบว่าท่าทางของพวกเขาน่าขนลุก
”คุณซู ขอโทษที่ขัดจังหวะการบ่มเพาะของคุณ แต่งานกาล่าของตระกูลเรากำลังจะเริ่มขึ้น เรามาที่นี่เพื่อพาคุณไปแท่นสูง หากคุณสนใจที่จะเข้าร่วม”โหลวหลานเฟิงหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาพูดกับซูผิงอย่างอบอุ่น
ซูผิงเดาเหตุผลของการมาเยี่ยมของพวกเขาไว้แล้ว เขาถามว่า “งานกาล่าจะนานแค่ไหน? เราจะไปที่ทะเลมายาในภายหลังใช่หรือเปล่า?”
โหลวหลานเฟิงพยักหน้า “ใช่แล้วครับ งานกาล่าจะใช้เวลาสามวันและเพื่อนจากเขตดวงดาวต่างๆจะมากัน หลายคนต้องการพบคุณ”
“ผมอยากบ่มเพาะมากกว่าพบพวกเขา” ซูผิงกล่าวพร้อมส่ายหัว เขาไม่ได้วางตัวเย่อหยิ่ง เขาแค่อยากบ่มเพาะมากกว่า เช่นเดียวกับที่เด็กเนิร์ดชอบเล่นเกมมากกว่าที่จะเข้าสังคม
”คุณซู การฝึกหนักไม่ใช่เรื่องผิด แต่มีการเดินทางไกลรอคุณอยู่ข้างหน้า แขกหลายคนอยู่ในสภาวะเทพดวงดาว เมื่อคุณท่องไปในจักรวาลชีวิตของคุณจะง่ายขึ้นถ้าคุณมีเพื่อนมากขึ้น” ผู้อำนวยการยู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ชีวิตของผมยังไม่ง่ายพอหรอ?” ซูผิงงง
ผู้อำนวยการอวี่พบว่าคำตอบของเขาน่าขำ เขากล่าวว่า “โดยธรรมชาติ การเดินทางปกติเป็นเรื่องง่าย แต่มีของดีที่จะพบในขุมสมบัติที่อาจเป็นประโยชน์กับคุณ สถานที่เหล่านั้นถูกยึดครอง คุณมีสถานะที่ไม่ธรรมดา และคุณเป็นแขกของตระกูลเรา แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าของสถานที่เหล่านั้นทั้งหมดจะเต็มใจให้คุณมีส่วนร่วมในการสำรวจสถานที่เหล่านั้น…”
เขาพูดค่อนข้างตรง แต่เขาเชื่อว่าซูผิงจะเข้าใจ
ซูผิงส่ายหัว “สิ่งที่ตระกูลโหลวหลานมอบให้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการบ่มเพาะของผม อาจารย์ของผมก็ให้ทรัพยากรผมด้วย มันมีสมบัติมากมาย แต่ผมไม่ได้ต้องการมันทั้งหมด นอกจากนี้ผมสามารถไปเยี่ยมพวกเขาได้เสมอเมื่อไปถึงสภาวะเทพดวงดาว ผมเชื่อว่าเจ้าของเหล่านั้นจะไม่ปฏิเสธผมในตอนนั้นแน่นอน”
ผู้อำนวยการอวี่หมดคำพูดอีกครั้ง และตระหนักว่าซูผิงมีจุดยืนของเขา เขาพยายามเกลี้ยกล่อมซูผิงเพื่อตระกูลของเขาเท่านั้น เป็นความจริงที่ชายหนุ่มไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร แต่เพื่อน ๆ ของซูผิงสามารถเป็นสายสัมพันธ์กับตระกูลของพวกเขาทางอ้อมได้ การหาเพื่อนให้ได้มากที่สุดคือวิธีที่ทำให้ตระกูลโหลวหลานเจริญรุ่งเรืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โหลวหลานเฟิงตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของซูผิง ดังนั้นเขาจึงหยุดการโน้มน้าวใจ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณซูไปงานกาล่าด้วยกันก่อน โอ้ ใช่แล้ว คุณรู้สึกอย่างไรกับเจ้าหญิงหลิน?”
“เจ้าหญิงหลิน?” ซูผิงตกตะลึง “คุณหมายถึงคุณยายที่ต้องการท้าทายผมนะหรอ?”
“คุณยาย…”โหลวหลานเฟิงเกือบสำลัก เดิมทีเขาตั้งใจจะถามความประทับใจของซูผิงที่มีต่อหลิน ถ้าเขาชอบเธอ เขาก็จะพูดเรื่องการแต่งงานระหว่างพวกเขา อย่างไรก็ตามคำตอบของซูผิงทำให้เขาหยุดพูดในสิ่งที่เขาคิดจะพูด
ผู้อำนวยการอวี่ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาเหลือบไปมองโหลวหลานเฟิง ไม่เชื่อหูตัวเอง
“เอ่อ… คุณซู คุณอายุน้อยมาก แต่การข้ามจากอาณาจักรเจ้าดวงดาวไปยังสภาวะเทพดวงดาวใช้เวลานานมาก ตัวอย่างอย่างอี้หลิงที่คุณพบก่อนหน้านี้ เขาติดตรงนั้นมานานกว่า 1,500 ปีแล้ว และเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะติดอยู่นานนับหมื่นปี คุณจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะหากคุณฝ่าฟันฝ่าไปได้ก่อนตาย”
โหลวหลานเฟิงไอและพูดอย่างละเอียดว่า “แม้ว่าเจ้าหญิงหลินจะแก่กว่าคุณร้อยปี แต่ช่องว่างอายุนั้นไม่มีอะไรสำคัญนอกจากนี้เจ้าหญิงหลินมักจะบ่มเพาะอยู่ในตระกูล ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เธอไร้เดียงสาเหมือนเด็ก”
ซูผิงทำได้เพียงถอนหายใจในใจ ไม่สามารถทำเป็นเปลี่ยนเรื่องได้อีกต่อไป เขาพูดว่า “เธอเป็นคนดี ผมเป็นเพื่อนกับเธอได้”
โหลวหลานเฟิงรู้สึกโล่งใจ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหญิงหลินอาจจะอารมณ์รุนแรงเป็นบางครั้ง แต่เธอก็ไม่ใช่คนเลวโดยธรรมชาติ ผมเชื่อว่าคุณจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
“ไว้พูดเรื่องนั้นกันทีหลัง เราควรจะไปงานกาล่า” ซูผิงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากหัวข้อนั้นโดยเร็วที่สุด
โหลวหลานเฟิงพยักหน้าและบอกใบ้ให้ผู้อำนวยการอวี่ และจากไปอย่างรวดเร็วหลังจากบอกลาซูผิง
ในทางกลับกันโหลวหลานเฟิงพาซูผิงไปที่งานกาล่า
“คุณกำลังขอให้ฉันใช้เวลากับผู้ชายคนนั้นมากขึ้นอย่างงั้นหรอ?” ที่มุมหนึ่งของลาน ดวงตาของโหลวหลานหลินเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อหลังจากที่เธอได้ยินสิ่งที่ผู้อำนวยการอวี่กล่าว “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ตระกูลของเรามีคนมากมาย ให้พวกเขาทำแทนไม่ได้หรอ?”
ผู้อำนวยการยู่กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “เจ้าหญิงหลิน พวกเขาสามารถเป็นได้แค่พี่น้องของเขาเท่านั้น ในทางกลับกัน คุณแตกต่าง”
“คุณอยากให้ฉันแต่งงานกับเขาหรอ?” เธอไม่ได้แปลกใจกับแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ เธอเริ่มเศร้าเมื่อถามว่า “คุณถามความคิดเห็นของพ่อแม่และอาจารย์ของฉันหรือยัง?”
“เราคุยกันแล้ว และทุกคนคิดว่าเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกับคุณ…” ผู้อำนวยการหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า“อย่างไรก็ตาม เราจะไม่บังคับคุณ ท้ายที่สุด คุณเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ เราแค่หวังว่าความรักจะจุดประกายระหว่างคุณ แต่จะไม่มีใครบังคับคุณหากคุณพบว่าพวกคุณไม่เหมาะสมกัน”
โหลวหลานหลินพ่นลมอย่างโล่งใจและพูดว่า “ถ้าอย่างงั้นฉันจะไม่เสียเวลากับเขา อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ฉันจะหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนสมาธิจนกว่าฉันจะเป็นลอร์ดสวรรค์ ฉันยอมรับว่าผู้ชายคนนั้นยอดเยี่ยม แต่ฉันก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยเมื่อเปรียบเทียบกัน ฉันก็มีโอกาสเป็นลอร์ดสวรรค์เมื่อฉันไปถึงสภาวะเทพดวงดาวเช่นกันจะ!”
ผู้อำนวยการอวี่ยิ้มเจื่อนเพราะหญิงสาวไม่มีศักยภาพพอที่จะเป็นลอร์ดสวรรค์ แม้ว่าเธอจะทำได้ เธอก็จะไม่แข็งแกร่งเท่าซูผิง ท้ายที่สุดเธอมาถึงจุดนี้ได้หลังจากใช้ทรัพยากรมากมายที่ตระกูลมอบให้
แผนการของพวกเขาที่จะให้ทั้งสองคนแต่งงานกันนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาจะเท่าเทียมกันหากทั้งคู่ไปถึงสภาวะเทพดวงดาว
“ถ้ามีโอกาส คุณควรพิจารณาใหม่ เจ้าหญิงหลิน คุณต้องแต่งงานกับใครสักคนในที่สุด คุณอาจไม่พบคนที่ดีกว่านี้หากคุณพลาดคนนี้” ผู้อำนวยการอวี่เกลี้ยกล่อมเธอ
โหลวหลานหลินเลิกคิ้วขึ้น เธอถูกล่อลวงอยู่ไม่มากก็น้อย ความจริงแล้ว ความรู้สึกของเธอที่มีต่อซูผิงนั้นเป็นกลางอย่างมาก เธอเพียงยื่นมือไปช่วยเพื่อปกป้องเขาจากอี้หลิงเพราะซูผิงเป็นหนึ่งในแขกของตระกูล และเธอไม่ต้องการให้เขาถูกดูหมิ่น
”เอาไว้ก่อน”โหลวหลานหลินพ่นลมและจากไป
ผู้อำนวยการอวี่รู้สึกหมดหนทาง เด็กสองคนนี้รับมือยากพอๆ กัน
ซูผิงและโหลวหลานเฟิงมาถึงงานกาล่าแล้ว งานถูกจัดขึ้นในเมืองอันงดงามที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในดาว
บันไดที่เหมือนเนินเขาถูกยกขึ้นด้วยอุปกรณ์พิเศษ ผลึกดวงดาวก็ร่วงหล่นจากเมฆก้อนใหญ่ที่อยู่เหนือพวกมันตลอดเวลา
มังกรและนกฟีนิกซ์กำลังบินอยู่รอบเมืองลอยฟ้า
ทันทีที่มาเขาก็ตรวจพบกลิ่นอายของสภาวะเทพดวงดาวทันที เห็นได้ชัดว่าแขกผู้มีเกียรติหลายคนได้รับเชิญมา
โหลวหลานเฟิงดูแลซูผิงเป็นการส่วนตัวและพาเขาเข้าไปในเมือง พวกเขาไปถึงชานชาลาที่เต็มไปด้วยพนักงานเสิร์ฟสาวสวย ถ้าซูผิงดูทีวีบ่อย เขาจะจำได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นดาราดัง
”คุณซูนั่งพักก่อนเถอะ สิ่งที่คุณต้องการเพียงแค่บอกพวกเขา”โหลวหลานเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูผิงพยักหน้าและนั่งลง
สาวสวยสี่คนมองซูผิงอย่างสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าสบตาเขา แขกของตระกูลโหลวหลานไม่ว่าคนไหนก็ล้วนมิพยสขมากกว่าเจ้าแห่งกาแล็กซี่!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเธอจะสังเกตซูผิงอย่างไร พวกเธอก็รู้สึกแค่ว่าเขาเป็นเด็กชายข้างบ้านที่เป็นมิตร เขาไม่เหมือนคนใหญ่คนโตที่ดูน่ากลัวแบบที่พวกเธอมักจะเจอมา
มีคนถามทันทีที่ซูผิงนั่งลง “เขาคือ..คุณซู?”
��
ซูผิงงงงวย แต่ด้วยพลังดวงดาวที่อยู่รอบตัวเขาไม่ช้าเขาก็ลืมมันไป เขาอุทิศตนไปกับการบ่มเพาะ
เขาไม่รู้ถึงการมาถึงอย่างไม่คาดคิดของชายชราสภาวะเทพดวงดาว เพื่อความปลอดภัย เขาจึงสร้างม่านพลังขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองก่อนที่จะบ่มเพาะ
“พวกแกก็ควรออกมาด้วย”
ซูผิงเรียกอสูรน้อย สุนัขมังกรดำ มังกรเพลิงนรก และอสูรอื่นๆ เขาลดขนาดของพวกมันลง เพื่อให้พวกมันเข้ามาอยู่ในค่ายกลดวงดาวได้
หลังจากนั้นก็บ่มเพาะต่อไป
นอกค่ายกลดวงดาว โหลวหลานหลินกระทืบเท้าด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าซูผิงได้สร้างม่านพลังขึ้นซึ่งขัดขวางการแอบมองของเธอ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงโกรธ แต่เธอไม่สามารถทำจัดการความรู้สึกนี้ได้
“เจ้าหญิงหลิน…” มีคนทักทายเธอ
“หุบปาก”
“ครับ”
เสียงที่ลานค่อยๆเงียบลง ทุกคนค่อย ๆ หยุดพูดถึงซูผิงหลังจากที่เขาเข้าไปในที่นั่งหลัก และแยกตัวออกไป
เจวี่ย เจ้าของที่นั่งคนก่อน อยู่ท่ามกลางฝูงชน—เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ชายหนุ่มสองสามคนที่ติดตามเจวี่ยมาหลายปีบ่นแทนเขา
“หัวหน้า ผู้อำนวยการอวี่ไม่ยุติธรรมเลย ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเรา ทำไมเขาถึงได้รับที่นั่งหลักในการบ่มเพาะ? เขาจะพยายามช่วยเราอย่างดีที่สุดไหมหากตระกูลมีปัญหา?”
”แน่นอนว่าไม่ เขาเป็นแค่แขก เขาจะหนีไปแน่นอนถ้ามีอะไรเกิดขึ้น” “เงียบไปเลย” เจวี่ยพูดขณะที่เขาละสายตาจากซูผิงและจ้องมาที่พวกเขา “นายตามฉันมาตั้งนานแล้ว นายไม่รู้หรอกว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด? นายไม่เห็นหรือว่าเขาต่อต้านอี้หลิงยังไง? ตอนนี้เขาอยู่ในแค่ระดับดวงดาว อี้หลิงจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อผู้ชายคนนี้กลายเป็นเจ้าดวงดาว!
“ทำไมเราต้องไปยุ่งกับคนอย่างเขาด้วย”
”เอ่อ…”
ผู้ติดตามของเขาหุปปากเงียบ แม้ว่าจะไม่เชื่อทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน ในห้องประชุมส่วนกลางของดาวเคราะห์ดวงนี้ ชายชราคนหนึ่งก็มาถึงวังนอกห้องประชุม และผ่านจุดตรวจความปลอดภัย
“ผู้นำ ได้โปรดดูสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์” ชายชราไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อำนวยการอวี่ เขาเปิดภาพฉายการปะทะกันระหว่างซูผิงอี้หลิง ”ฮะ?”
ที่ด้านหน้าวัง ชายวัยกลางคนผู้สง่างามและน่าเกรงขามเลิกคิ้วขึ้น เขาตั้งข้อสังเกตหลังจากดูคลิปว่า“สมกับที่เป็นศิษย์ของเทพอมตะ”
”ใช่แล้วครับ เขาสามารถต่อสู้กับอัจฉริยะอย่างอี้หลิงทั้งที่เขาอยู่แค่ระดับดวงดาวเท่านั้น ช่องว่างระหว่างพวกเขาไม่กว้างมาก น่าเหลือเชื่อ!” ผู้อำนวยการอวี่ตั้งข้อสังเกต เขาคิดว่าเขาไม่เคยได้เห็นนักรบที่มีศักยภาพมากขนาดนี้มาก่อน
ซูผิงย่อโลกใบเล็กได้ตั้งแต่อยู่สภาวะชะตากรรม นั่นเท่ากับเพดานของขอบเขตการบ่มเพาะนั้น
มีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จ บางคนตายโดยบังเอิญ หรือไม่ก็ไปถึงเทพอมตะ!
ซูผิงกำลังทำลายขีดจำกัดของระดับดวงดาวอีกครั้งในครั้งนี้ อนาคตของเขาคงจินตนาการไม่ได้ ถ้าเขายังคงเติบโตแบบนี้! “คนของเราบางคนไม่เห็นด้วยกับการที่เขาจะมาเป็นแขกรับเชิญ แต่ตอนนี้พวกเขาคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ผู้นำตระกูลโหลวหลานหัวเราะคิกคัก “ทำได้ดีมากผู้อำนวยการ หวังว่าเราจะมีลอร์ดสวรรค์เป็นพวกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
“ผู้นำ ผมได้มอบที่นั่งฝึกที่ดีที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา ผมคิดว่ามันเป็นการเสนอที่เหมาะสม พิจารณาจากว่าเขาจะไม่ได้มาเยี่ยมเราบ่อยๆ” ผู้อำนวยการยู่กล่าวด้วยความเคารพ
”ไม่มีปัญหา นายได้รับอนุญาตจากฉัน ไม่ต้องกังวลกับความขัดแย้งใดๆ” ผู้นำตระกูลกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่าทำไมผู้อำนวยการอวี่ถึงมาที่นี่ ตระกูลโหลวหลานใหญ่เกินกว่าจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าในกรณีใดเขาเป็นคนตัดสินใจ เขาจะไม่ยอมให้การทะเลาะวิวาทไร้จุดหมายมาทำลายผลประโยชน์ของตระกูล—
โดยรวมแล้วมันคงจะโง่มากหากคนที่เห็นต่างสร้างปัญหา ในขณะที่คนอื่นๆ พยายามดูแลเขาอย่างดี
ผู้อำนวยการอวี่รู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาหันหลังกลับและจากไป เขาต้องไปแจ้งให้สมาชิกหลายคนในตระกูลของเขารู้จักกับซูผิง
งานกาล่ากำลังจะเกิดขึ้น ทุกฝ่ายในตระกูลต่างยุ่งกับการเตรียมการ ข่าวการเผชิญหน้าของซูผิงและอี้หลิงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าและมักจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ข่าวดังกล่าวได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งดาว และทั้งจักรวาล
…
ความหนาแน่นของพลังดาวนี้ไม่น่าเชื่อ ฉันได้รับหนึ่งดาวต่อวัน! ภายในค่ายกลดวงดาว—ซูผิงพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อรวมดวงดาว พลังดวงดาวที่ดูดซับทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายเซียนโดยอัตโนมัติ วังวนในมหาสมุทรแห่งดวงดาวของเขา ร่างกายของเขาค่อย ๆ กลายเป็นเซียนด้วย
ในขณะนี้เขาเป็นครึ่งเซียน
เมื่อการเปลี่ยนแปลงเสร็จสมบูรณ์ เขาจะสามารถเปลี่ยนพลังดวงดาวเป็นกลิ่นอายเซียนได้โดยไม่ต้องใช้วังวน เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถถ่ายทอดกลิ่นอายเซียนให้ผู้อื่นและช่วยให้พวกเขาพัฒนาได้!
การรวมดวงดาวด้วยกลิ่นอายเซียนจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าร่างกายของฉันเปลี่ยนเป็นเซียน ประสิทธิภาพน่าจะดีขึ้นมาก ฉันจะลองถามโจแอนนาว่าให้เทพสูงสุดช่วยฉันได้ไหม คราวหน้าฉันจะไปหลุมศพกึ่งเทพ
ซูผิงตั้งตารอคอยมันจริงๆ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เร่งรีบ กลิ่นอายเซียนมีประสิทธิภาพมากกว่าพลังดวงดาวถึงแปดเท่าในขณะที่พลังเทพมากกว่าสิบเท่า การพัฒนานั้นไม่สำคัญเท่ากับที่เขาประสบอยู่
ฉันคิดว่าเทพมีลักษณะทางกายภาพที่ดีที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด อสูรหายากบางชนิดเท่านั้นถึงสามารถเอาชนะพวกเขาได้ จากนั้นซูผิงก็นึกถึงกายแสงอาทิตย์ของเขา น่าเสียดาย—แม้ว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนพลังดวงดาวเป็นพลังอีกาทองคำได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดยังไง เขาได้รับเพียงเทคนิคลับบางอย่างของอีกาทองคำเท่านั้น แต่พวกมันไม่ได้ครอบคลุมจริงๆ นั่นคือเหตุผลที่ซูผิงยังคงใช้พลังดวงดาว
ฉันควรจะไปโลกของอีกาทองคำอีกครั้งในสักวันหนึ่งและเรียนรู้เพิ่มเติม ซูผิงคิด
ในชั่วพริบตา ซูผิงรวมดวงดาวได้สิบห้าดวง
จำเป็นต้องจุดไฟดวงดาวหกสิบสามดวงเพื่อวาดภาพร่างดาวดวงที่เจ็ด เมื่อรวมกับที่รวมได้ก่อนหน้านี้ เขามี 28 ดาวแล้ว หากเขาบ่มเพาะต่อไปอีกหนึ่งเดือนเขาจะมีเพียงพอ
ฉันรู้สึกไม่ค่อยอยากไป ซูผิงไม่เต็มใจจริงๆ
อย่างไรก็ตาม มีใครบางคนกำลังเรียกเขาจากนอกค่ายกลดวงดาว ซูผิงทำได้เพียงหยุดการบ่มเพาะ เรียกคืนสุนัขมังกรดำและอสูรตัวอื่นๆ ของเขา เขาตรวจสอบระดับของพวกมัน ตามที่คาดไว้ อสูรน้อยมีความก้าวหน้ามากที่สุด มันอยู่ในสภาวะชะตากรรมแล้ว น่ากลัวขึ้นมาก มันอาจจะสามารถเอาชนะเจ้าดวงดาวทั่วไปได้
นั่นไม่สมเหตุสมผลเลย
อสูรโกลาหลไม่มีโลกใบเล็ก แต่กลิ่นอายโกลาหลที่เล็ดลอดออกมาจากมันก็เพียงพอที่จะทำให้เตะโลกใบเล็กธรรมดาๆ ได้อย่างง่ายดาย
ถูกต้อง มันสามารถกดขี่เจ้าดวงดาวด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว
“พวกแกต้องพยายามต่อไป อยากโดนแซงหน้าหรือไง?” ซูผิงกระตุ้นอสูรตัวอื่นของเขา
อสูรตัวอื่นๆ ทำหน้าโกรธใส่อสูรน้อย แม้ว่าการฝึกของพวกมันกับซูผิงจะโหดร้ายและรุนแรง แต่พวกมันชินแล้ว นั่นจนกว่าคู่แข่งรายใหม่จะปรากฏตัวขึ้น ซูผิงเห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่นอกค่ายกล แต่มีคนโหลวหลานอยู่ไม่มากนัก โหลวหลานเฟิงพร้อมกับผู้อำนวยการอวี่มองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซูผิงพบว่าท่าทางของพวกเขาน่าขนลุก
”คุณซู ขอโทษที่ขัดจังหวะการบ่มเพาะของคุณ แต่งานกาล่าของตระกูลเรากำลังจะเริ่มขึ้น เรามาที่นี่เพื่อพาคุณไปแท่นสูง หากคุณสนใจที่จะเข้าร่วม”โหลวหลานเฟิงหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาพูดกับซูผิงอย่างอบอุ่น
ซูผิงเดาเหตุผลของการมาเยี่ยมของพวกเขาไว้แล้ว เขาถามว่า “งานกาล่าจะนานแค่ไหน? เราจะไปที่ทะเลมายาในภายหลังใช่หรือเปล่า?”
โหลวหลานเฟิงพยักหน้า “ใช่แล้วครับ งานกาล่าจะใช้เวลาสามวันและเพื่อนจากเขตดวงดาวต่างๆจะมากัน หลายคนต้องการพบคุณ”
“ผมอยากบ่มเพาะมากกว่าพบพวกเขา” ซูผิงกล่าวพร้อมส่ายหัว เขาไม่ได้วางตัวเย่อหยิ่ง เขาแค่อยากบ่มเพาะมากกว่า เช่นเดียวกับที่เด็กเนิร์ดชอบเล่นเกมมากกว่าที่จะเข้าสังคม
”คุณซู การฝึกหนักไม่ใช่เรื่องผิด แต่มีการเดินทางไกลรอคุณอยู่ข้างหน้า แขกหลายคนอยู่ในสภาวะเทพดวงดาว เมื่อคุณท่องไปในจักรวาลชีวิตของคุณจะง่ายขึ้นถ้าคุณมีเพื่อนมากขึ้น” ผู้อำนวยการยู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ชีวิตของผมยังไม่ง่ายพอหรอ?” ซูผิงงง
ผู้อำนวยการอวี่พบว่าคำตอบของเขาน่าขำ เขากล่าวว่า “โดยธรรมชาติ การเดินทางปกติเป็นเรื่องง่าย แต่มีของดีที่จะพบในขุมสมบัติที่อาจเป็นประโยชน์กับคุณ สถานที่เหล่านั้นถูกยึดครอง คุณมีสถานะที่ไม่ธรรมดา และคุณเป็นแขกของตระกูลเรา แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าของสถานที่เหล่านั้นทั้งหมดจะเต็มใจให้คุณมีส่วนร่วมในการสำรวจสถานที่เหล่านั้น…”
เขาพูดค่อนข้างตรง แต่เขาเชื่อว่าซูผิงจะเข้าใจ
ซูผิงส่ายหัว “สิ่งที่ตระกูลโหลวหลานมอบให้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการบ่มเพาะของผม อาจารย์ของผมก็ให้ทรัพยากรผมด้วย มันมีสมบัติมากมาย แต่ผมไม่ได้ต้องการมันทั้งหมด นอกจากนี้ผมสามารถไปเยี่ยมพวกเขาได้เสมอเมื่อไปถึงสภาวะเทพดวงดาว ผมเชื่อว่าเจ้าของเหล่านั้นจะไม่ปฏิเสธผมในตอนนั้นแน่นอน”
ผู้อำนวยการอวี่หมดคำพูดอีกครั้ง และตระหนักว่าซูผิงมีจุดยืนของเขา เขาพยายามเกลี้ยกล่อมซูผิงเพื่อตระกูลของเขาเท่านั้น เป็นความจริงที่ชายหนุ่มไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร แต่เพื่อน ๆ ของซูผิงสามารถเป็นสายสัมพันธ์กับตระกูลของพวกเขาทางอ้อมได้ การหาเพื่อนให้ได้มากที่สุดคือวิธีที่ทำให้ตระกูลโหลวหลานเจริญรุ่งเรืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โหลวหลานเฟิงตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของซูผิง ดังนั้นเขาจึงหยุดการโน้มน้าวใจ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณซูไปงานกาล่าด้วยกันก่อน โอ้ ใช่แล้ว คุณรู้สึกอย่างไรกับเจ้าหญิงหลิน?”
“เจ้าหญิงหลิน?” ซูผิงตกตะลึง “คุณหมายถึงคุณยายที่ต้องการท้าทายผมนะหรอ?”
“คุณยาย…”โหลวหลานเฟิงเกือบสำลัก เดิมทีเขาตั้งใจจะถามความประทับใจของซูผิงที่มีต่อหลิน ถ้าเขาชอบเธอ เขาก็จะพูดเรื่องการแต่งงานระหว่างพวกเขา อย่างไรก็ตามคำตอบของซูผิงทำให้เขาหยุดพูดในสิ่งที่เขาคิดจะพูด
ผู้อำนวยการอวี่ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาเหลือบไปมองโหลวหลานเฟิง ไม่เชื่อหูตัวเอง
“เอ่อ… คุณซู คุณอายุน้อยมาก แต่การข้ามจากอาณาจักรเจ้าดวงดาวไปยังสภาวะเทพดวงดาวใช้เวลานานมาก ตัวอย่างอย่างอี้หลิงที่คุณพบก่อนหน้านี้ เขาติดตรงนั้นมานานกว่า 1,500 ปีแล้ว และเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะติดอยู่นานนับหมื่นปี คุณจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะหากคุณฝ่าฟันฝ่าไปได้ก่อนตาย”
โหลวหลานเฟิงไอและพูดอย่างละเอียดว่า “แม้ว่าเจ้าหญิงหลินจะแก่กว่าคุณร้อยปี แต่ช่องว่างอายุนั้นไม่มีอะไรสำคัญนอกจากนี้เจ้าหญิงหลินมักจะบ่มเพาะอยู่ในตระกูล ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เธอไร้เดียงสาเหมือนเด็ก”
ซูผิงทำได้เพียงถอนหายใจในใจ ไม่สามารถทำเป็นเปลี่ยนเรื่องได้อีกต่อไป เขาพูดว่า “เธอเป็นคนดี ผมเป็นเพื่อนกับเธอได้”
โหลวหลานเฟิงรู้สึกโล่งใจ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหญิงหลินอาจจะอารมณ์รุนแรงเป็นบางครั้ง แต่เธอก็ไม่ใช่คนเลวโดยธรรมชาติ ผมเชื่อว่าคุณจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
“ไว้พูดเรื่องนั้นกันทีหลัง เราควรจะไปงานกาล่า” ซูผิงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากหัวข้อนั้นโดยเร็วที่สุด
โหลวหลานเฟิงพยักหน้าและบอกใบ้ให้ผู้อำนวยการอวี่ และจากไปอย่างรวดเร็วหลังจากบอกลาซูผิง
ในทางกลับกันโหลวหลานเฟิงพาซูผิงไปที่งานกาล่า
“คุณกำลังขอให้ฉันใช้เวลากับผู้ชายคนนั้นมากขึ้นอย่างงั้นหรอ?” ที่มุมหนึ่งของลาน ดวงตาของโหลวหลานหลินเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อหลังจากที่เธอได้ยินสิ่งที่ผู้อำนวยการอวี่กล่าว “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ตระกูลของเรามีคนมากมาย ให้พวกเขาทำแทนไม่ได้หรอ?”
ผู้อำนวยการยู่กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “เจ้าหญิงหลิน พวกเขาสามารถเป็นได้แค่พี่น้องของเขาเท่านั้น ในทางกลับกัน คุณแตกต่าง”
“คุณอยากให้ฉันแต่งงานกับเขาหรอ?” เธอไม่ได้แปลกใจกับแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ เธอเริ่มเศร้าเมื่อถามว่า “คุณถามความคิดเห็นของพ่อแม่และอาจารย์ของฉันหรือยัง?”
“เราคุยกันแล้ว และทุกคนคิดว่าเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกับคุณ…” ผู้อำนวยการหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า“อย่างไรก็ตาม เราจะไม่บังคับคุณ ท้ายที่สุด คุณเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ เราแค่หวังว่าความรักจะจุดประกายระหว่างคุณ แต่จะไม่มีใครบังคับคุณหากคุณพบว่าพวกคุณไม่เหมาะสมกัน”
โหลวหลานหลินพ่นลมอย่างโล่งใจและพูดว่า “ถ้าอย่างงั้นฉันจะไม่เสียเวลากับเขา อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ฉันจะหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนสมาธิจนกว่าฉันจะเป็นลอร์ดสวรรค์ ฉันยอมรับว่าผู้ชายคนนั้นยอดเยี่ยม แต่ฉันก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยเมื่อเปรียบเทียบกัน ฉันก็มีโอกาสเป็นลอร์ดสวรรค์เมื่อฉันไปถึงสภาวะเทพดวงดาวเช่นกันจะ!”
ผู้อำนวยการอวี่ยิ้มเจื่อนเพราะหญิงสาวไม่มีศักยภาพพอที่จะเป็นลอร์ดสวรรค์ แม้ว่าเธอจะทำได้ เธอก็จะไม่แข็งแกร่งเท่าซูผิง ท้ายที่สุดเธอมาถึงจุดนี้ได้หลังจากใช้ทรัพยากรมากมายที่ตระกูลมอบให้
แผนการของพวกเขาที่จะให้ทั้งสองคนแต่งงานกันนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาจะเท่าเทียมกันหากทั้งคู่ไปถึงสภาวะเทพดวงดาว
“ถ้ามีโอกาส คุณควรพิจารณาใหม่ เจ้าหญิงหลิน คุณต้องแต่งงานกับใครสักคนในที่สุด คุณอาจไม่พบคนที่ดีกว่านี้หากคุณพลาดคนนี้” ผู้อำนวยการอวี่เกลี้ยกล่อมเธอ
โหลวหลานหลินเลิกคิ้วขึ้น เธอถูกล่อลวงอยู่ไม่มากก็น้อย ความจริงแล้ว ความรู้สึกของเธอที่มีต่อซูผิงนั้นเป็นกลางอย่างมาก เธอเพียงยื่นมือไปช่วยเพื่อปกป้องเขาจากอี้หลิงเพราะซูผิงเป็นหนึ่งในแขกของตระกูล และเธอไม่ต้องการให้เขาถูกดูหมิ่น
”เอาไว้ก่อน”โหลวหลานหลินพ่นลมและจากไป
ผู้อำนวยการอวี่รู้สึกหมดหนทาง เด็กสองคนนี้รับมือยากพอๆ กัน
ซูผิงและโหลวหลานเฟิงมาถึงงานกาล่าแล้ว งานถูกจัดขึ้นในเมืองอันงดงามที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในดาว
บันไดที่เหมือนเนินเขาถูกยกขึ้นด้วยอุปกรณ์พิเศษ ผลึกดวงดาวก็ร่วงหล่นจากเมฆก้อนใหญ่ที่อยู่เหนือพวกมันตลอดเวลา
มังกรและนกฟีนิกซ์กำลังบินอยู่รอบเมืองลอยฟ้า
ทันทีที่มาเขาก็ตรวจพบกลิ่นอายของสภาวะเทพดวงดาวทันที เห็นได้ชัดว่าแขกผู้มีเกียรติหลายคนได้รับเชิญมา
โหลวหลานเฟิงดูแลซูผิงเป็นการส่วนตัวและพาเขาเข้าไปในเมือง พวกเขาไปถึงชานชาลาที่เต็มไปด้วยพนักงานเสิร์ฟสาวสวย ถ้าซูผิงดูทีวีบ่อย เขาจะจำได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นดาราดัง
”คุณซูนั่งพักก่อนเถอะ สิ่งที่คุณต้องการเพียงแค่บอกพวกเขา”โหลวหลานเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูผิงพยักหน้าและนั่งลง
สาวสวยสี่คนมองซูผิงอย่างสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าสบตาเขา แขกของตระกูลโหลวหลานไม่ว่าคนไหนก็ล้วนมิพยสขมากกว่าเจ้าแห่งกาแล็กซี่!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเธอจะสังเกตซูผิงอย่างไร พวกเธอก็รู้สึกแค่ว่าเขาเป็นเด็กชายข้างบ้านที่เป็นมิตร เขาไม่เหมือนคนใหญ่คนโตที่ดูน่ากลัวแบบที่พวกเธอมักจะเจอมา
มีคนถามทันทีที่ซูผิงนั่งลง “เขาคือ..คุณซู?”
��