ร้านขายอสูรดวงดาว Astral Pet Store - ตอนที่ 971 ถึงแดนเทพอาเคี่ยน
โหลวหลานเฟิงรู้สึกโล่งใจ “ผมจะรอคำตอบจากคุณครับ คุณซู”
ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากความว่างเปล่า “คุณซู”
ผู้หญิงที่มีรูปร่างเย้ายวนค่อยๆ เดินออกจากความว่างเปล่า เธอสวมชุดสีดำที่พลิ้วไสวราวกับมีชีวิต เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เสื้อผ้าธรรมดา มันต้องเป็นสมบัติที่มีพลังเทพ
“ในที่สุดฉันก็ได้เจอคุณ คุณซู ฉันได้ยินมาว่าคุณเพิ่งกลับจากสภาเทพอมตะและกำลังจะเดินทางอีกครั้ง ฉันสงสัยว่าคุณสนใจที่จะสำรวจหอคอยมิติของตระกูลฟิลไหมคะ?” หญิงสาวสวยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
การแสดงออกของโหลวหลานเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากเห็นเธอ เขาพูดอย่างเคร่งขรึม“หอคอยมิติไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรอ? อสูรร้ายทั้งหมดที่อยู่ข้างในได้รับการฝึกให้เชื่องแล้ว แม้แต่รุ่นน้องในตระกูลของคุณเองก็ไม่ได้อะไรจากการฝึกฝนที่นั่น ไม่มีอันตรายใดที่จะถูกพบขณะสัญจรไปรอบๆ สถานที่นั่น มันจึงไม่ค่อยมีศักยภาพ”
”เข้าใจผิดแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่โหลวหลานเฟิง “มีอสูรร้ายหลายพันล้านตัวในหอคอยมิติ ตระกูลของฉันจะทำให้พวกมันทั้งหมดเชื่องได้ยังไง เราใช้ทหารรักษาการณ์เพียงบางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลานของเราเป็นอันตราย นอกจากนี้อลิสา ฟิลซึ่งเกิดเมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรต่อตระกูลโหลวหลานเฟิงเลยใช่ไหม?”
การแสดงออกของคุณเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยอีกครั้ง อลิสาเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลฟิล ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในช่วงพันปีที่ผ่านมา และเธอก็ได้บรรลุถึงสภาวะเทพดวงดาวแล้ว!
เธอจะสามารถกลายเป็นลอร์ดสวรรค์ในสักวันหนึ่ง!
”คุณซูตระกูลฟิลขอเชิญคุณมาเป็นแขกของตระกูลเรา คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากตอบรับ คุณจะได้รับสิทธิพิเศษของแขกระดับ 1!” ผู้หญิงคนนั้นประกาศ
ใบหน้าของโหลวหลานเฟิงเย็นชาหลังจากที่เธอพูดอย่างนั้น
ซูผิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความนิยมขนาดนี้ ผู้อาวุโสสองคนนี้เป็นสภาวะเทพดวงดาวแต่พวกเขาก็เดินทางมากลเพื่อส่งคำเชิญอย่างสุภาพ
ซูผิงปฏิเสธพวกเขาทางอ้อม “ผมขอเวลาพิจารณาเรื่องนี้สักสองสามวัน”
โหลวหลานเฟิงพูดกับซูผิงทันทีว่า “คุณซูตระกูลโหลวหลานสามารถให้ทุกอย่างที่ตระกูลฟิลสามารถให้ได้ ผมจะส่งวัตถุดิบที่คุณต้องการมาให้ทันที”
ซูผิงพยักหน้าและโบกมือให้พวกเขา จากนั้นเขาก็กลับไปในร้าน
โหลวหลานเฟิงโล่งใจเมื่อเห็นซูผิงรับวัตถุดิบ แม้ว่าจะไม่ยอมรับคำเชิญของเขาในท้ายที่สุด เขาก็ยังเป็นหนี้บุญคุณสำหรับวัตถุดิบดังกล่าว
ตามแหล่งข่าวของเขา ชายหนุ่มได้เข้าสู่อันดับราชาเทพในเวลาเพียงสามปีหลังจากชนะการแข่งขัน และเขาก็เป็นเพียง แค่ระดับดวงดาว!
ว่ากันว่าลอร์ดสูงสุดได้ห้ามไม่ให้เขาออกจากสภาเทพอมตะจนกว่าเขาจะสามารถเอาชนะนักรบในสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพ!
ความจริงที่ว่าซูผิงกลับมาถือเป็นคำบอกเล่าว่าเขาทำสำเร็จแล้ว
มันช่างน่ากลัวเสียจริง…
เขาจะไม่มาที่นี่และทำตัวประจบสอพลอถ้าซูผิงเป็นแค่ผู้บ่มเพาะสภาวะชะตากรรมที่เก่งที่สุดในจักรวาล ท้ายที่สุดในฐานะยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาว เขาไม่จำเป็นต้องเอาใจใครเลย ยกเว้นสภาวะเทพอมตะ อย่างไรก็ตามตระกูลของเขาส่งเขาไปมาทันทีหลังจากทราบข่าว การไปถึงสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพ ในขณะที่ยังคงเป็นระดับดวงดาวนั้นน่ากลัวกว่าการเป็นแชมป์ของจักรวาลเสียอีก
ในทางปฏิบัติ ซูผิงจะกลายเป็นลอร์ดสวรรค์ทันทีที่เขาไปถึงสภาวะเทพดวงดาว!
หากโชคดี จะมียอดฝีมือสภาวะเทพอมตะในจักรวาลเพิ่มอีกคนในอีกหมื่นปีข้างหน้า!
ศักยภาพของผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ตระกูลโหลวหลานเต็มใจที่จะลงทุนในตัวเขา การดำเนินการในขณะที่ซูผิงยังอ่อนแอจะนำมาซึ่งผลตอบแทนมหาศาล
ผู้หญิงที่อยู่ใกล้เคียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อซูผิงหันหลังกลับและจากไป แต่แล้ว เธอจำความลับที่เธอได้ค้นพบและถือว่าทัศนคติที่ไม่ใส่ใจของเขาต่อหน้าสภาวะเทพดวงดาวนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ท้ายที่สุดแล้ว เขาจะแข็งแกร่งกว่าพวกเธอมากเมื่อเขาไปถึงสภาวะเทพดวงดาว
ตระกูลโหลวหลานมีหนึ่งวัตถุดิบที่เขาต้องการ ฉันสงสัยว่าเขาจะสนใจสิ่งนั้นหรือไม่ ผู้หญิงคนนั้นคิด เธอมีความรู้สึกสังหรณ์ใจ หอคอยมิติดูเหมือนจะไม่น่าสนใจพอ ท้ายที่สุดซูผิงได้รับทรัพยากรมากมายจากอาจารย์ของเขาหอคอยมิติไม่ใช่สถานที่ฝึกฝนที่เขาต้องการ!
หวืด!
สภาวะเทพดวงดาวอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นเมื่อซูผิงกลับเข้าไปในร้านของเขา ทั้งคู่ต่างประหลาดใจที่เห็นโหลวหลานเฟิงและผู้หญิงจากตระกูลฟิล
“ดูเหมือนหลายคนรู้ว่าเขากลับมาแล้ว” ผู้หญิงจากตระกูลฟิลพูดเยาะเย้ย
ที่ซูผิงท้าทายอันดับราชาเททพไม่ได้ถูกเผยแพร่ มีคนจำนวนมากเกินไปให้ความสนใจกับเขา เนื่องจากชื่อเสียงของเขาจากชนะการแข่งขันสุดยอดอัจฉริยะระดับจักรวาลเมื่อสามปีก่อน ผู้เฒ่าหยานไม่ได้เก็บเป็นความลับ นั่นคือเหตุผลที่หลายองค์กรได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างซูผิงและเซินหวง เมื่อรู้อย่างนี้ ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าซูผิงกลับมาจากสภาเทพอมตะแล้ว
ไม่รู้ว่าเซินหวงจะให้เขาออกมาเป็นข้อยกเว้นหรือเขาปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว!
แต่ความเป็นไปได้อย่างที่สองน่าจะเป็นไปได้มากกว่า—
ท้ายที่สุดเทพอมตะจะไม่ค่อยกลับคำ
“มันเป็นโชคชะตา เขาสามารถประจันหน้ากับเจ้าดวงดาวได้ในขณะที่อยู่ในระดับดวงดาว เขาย่อโลกใบเล็กในขณะที่ยังคงอยู่ในสภาวะชะตากรรม แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะใช้เวลาเพียงสามปีในการเอาชนะอัจฉริยะในอันดับราชาเทพ…” ผู้มาเยือนรายใหม่กล่าวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เขาคิดถึงแต่เรื่องของซูผิง เขาได้รับแต่งตั้งจากตระกูลให้มาเชิญซูผิง
“โปรดรายงานว่าตระกูลเหมียนขอพบคุณซู” ชายชราร่างผอมบางพูดกับอวิ๋นมู่อย่างสุภาพ อวิ๋นมู่ส่ายหัวและกล่าวว่า “คุณซูเพิ่งบอกกับฉันทางกระแสจิตว่าเขาจะฝึกอย่างสันโดษสองสามวันและจะไม่พบใครในระหว่างนี้”
เธอค่อนข้างตกใจและคิดคำตอบไม่ออก เนื่องจากเธอไม่คาดคิดว่าจะมีสภาวะเทพดวงดาวจำนวนมากมาเยี่ยมซูผิงเธอรู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของมนุษยชาติ แต่ยังไม่เติบโตเต็มที่ มีอัจฉริยะของมนุษย์จำนวนมากเในประวัติศาสตร์ที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
“ฝึกอย่างสันโดษ?”
ชายชรามึนงงเล็กน้อย และพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ผมได้ยินมานานแล้วว่าคุณซูเป็นผู้บ่มเพาะที่ขยันขันแข็ง ตอนนี้ได้เห็นกับตาแล้ว”
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวที่กล้าหาญอีกคนหนึ่งยิ้ม และเพียงแค่รอซูผิงเพื่อแสดงความจริงใจของเขา
ยอดฝีมือเหล่านั้นลอยอยู่กลางอากาศ ผู้คนที่รอต่อแถวต่างตกตะลึงจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ แม้ว่าสภาวะเทพดวงดาวจะควบคุมกลิ่นอายของพวกเขา แต่แรงกดดันตามธรรมชาติของพวกเขายังคงสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังมองเทพ
“ตระกูลโหลวหลาน? ตระกูลฟิล? ฉันได้ยินมาว่าตระกูลโหลวหลานมียอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวและธุรกิจมากมายในเขตดวงดาวต่างๆ เกมและรายการยอดนิยมมากมายผลิตโดยพวกเขาเช่นกัน เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจ!” มีคนกระซิบในฝูงชน
พวกเขาอยู่ในยุคอวกาศ โหลวหลานอยู่ไกลกว่าที่พวกเขาจะสามารถเข้าถึงได้ แต่ผู้คนรู้บางเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาจากอินเทอร์เน็ต พลังที่ตระกูลแสดงให้เห็นผิวเผินนั้นตกตะลึงพอสำหรับพวกเขาแล้ว นักวิทยาศาสตร์จากตระกูลของพวกเขามีชื่อในหนังสือเรียนเกี่ยวกับดาวเคราะห์หลายดวง
ผู้มาเยี่ยมเกี่ยวข้องกับตระกูลที่น่าสะพรึงกลัวนั้นใช่ไหม? ที่พื้นดิน—ทั้งชายหนุ่มในชุดขาวและลุงของเขาต่างก็หวาดกลัวกับการมาถึงของยอดฝีมือเหล่านั้น โดยเฉพาะลุงเว่ยที่ตัวสั่นและพึมพำ “พวกเขา ล้วนเป็นสภาวะเทพดวงดาว!”
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เขาหรี่ตาและถามด้วยความตกใจ “พวกเขาไม่ใช่เจ้าดวงดาวหรอ?”
“ไม่ เจ้าดวงดาวไม่มีกลิ่นอายแบบนั้น…” ลุงชองเขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ชายหนุ่มตกตะลึง
…
ภายในร้าน—
ซูผิงตรวจพบรัศมีของสภาวะเทพดวงดาวอีกสองคนหลังจากปิดประตู เขาแน่ใจว่าพวกเขามาโดยมีจุดประสงค์เพื่อเชิญเขาหมือนกัน
โจแอนนาเหลือบมองซูผิงและพูดว่า “ตอนนี้นายดูจะดังทีเดียว” ซูผิงพยักหน้า “ผู้ชายที่หล่อเหลาอย่างฉันต้องโด่งดังเป็นธรรมดา”
โจแอนนากลอกตา แต่ถังยู่หรานพูดด้วยเสียงต่ำ “พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน? ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้เหมือนกับพี่เขียว”
“พวกเขาทั้งหมดเป็นสภาวะเทพดวงดาว” ซูผิงตอบ
ถังยู่หรานตกตะลึงกับคำตอบของเขา ปากของเธออ้าเปิดเล็กน้อย ตกใจเกินกว่าจะพูดอะไร
เธอไม่ใช่เด็กที่โง่เขลาอีกต่อไป เธอรู้ลำดับชั้นพลังบ่มเพาะในสหพันธ์ และรู้ว่ายอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวอยู่ที่ด้านบนสุดของปิรามิด!
เหนือพวกเขาคือเทพอมตะที่ปกครองจักรวาล
หลังจากที่เห็นว่าถังยู่หรานตกใจขนาดไหน ซูผิงก็แซวเธอว่า “พยายามให้หนักขึ้นเธอมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา”
ถังยู่หรานมีความหวังในแววตา และถามเขาว่า “จริงเหรอ?”
“พยายามให้มากๆ” ซูผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โจแอนนาเห็นดวงตาของถังยู่หรานเต็มไปด้วยความปรารถนาและความตื่นเต้น เธอจึงเสริมด้วยความเฉยเมยว่า “เธอไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เพียงแค่พยายามอย่างหนัก พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญ”
ถังยู่หรานเม้มริมฝีปากและพูดว่า “เธอกำลังหมายความว่าฉันไม่มีความสามารถเพียงพอหรือ?”
“ฉันอ่อนแอเกินไปเหรอ?”
ถังยู่หรานรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็รู้สึกจุกๆ เห็นได้ชัดว่าซูผิงพยายามปลอบโยนเธอ มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะได้มาจากความพยายามเพียงอย่างเดียว ซูผิงไม่พูดอะไรต่อ เขาเพียงขอให้พวกเธอเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปยังแดนเทพอาเคี่ยน
“เธอวางแผนที่จะให้ตัวตนเดิมของเธอเดินทางด้วยไหม?” ซูผิงพูดกับโจแอนนา
โจแอนนาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ส่ายหัว “ไม่ ตัวตนเดิมของฉันอยู่ที่อื่น มันไม่ง่ายสำหรับฉันที่จะย้ายที่อยู่ ฉันจะไปที่แดนเทพอาเคี่ยนเพื่อฝึกร่างนี้ ฉันจะกลายเป็นเทพแท้จริงเมื่อฉันรวมเข้ากับตัวตนดั้งเดิมของฉันอย่างสมบูรณ์!”
“ตัวตนดั้งเดิม? เธอมีตัวตนเดิมด้วยหรอ?”ถังยู่หรานอุทาน นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอ
ท่านหญิงเขียวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สภาวะเทพดวงดาวทุกคนสามารถพัฒนาร่างกลับชาติมาเกิดได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก”
หลังจากฟื้นจากอาการช็อก ถังยู่หรานก็ทำหน้ายาวแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันเป็นคนอ่อนแอคนเดียวในร้านนี้ที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเลยอย่างงั้นหรอ?”
“เพิ่งรู้ตัวหรือไง?”
อีกสามคนมองเธอด้วยความแปลกใจ
ถังยู่หราน: “…”
…
เมื่อพวกเขาไปเตรียมตัว ซูผิงก็ไปและเคลียร์ที่เก็บของเขาเพื่อเตรียมการ เขาพาหญิงสาวทั้งสองไปที่ล็อบบี้และเรียก หน้าต่างสถานะที่พวกเธอมองไม่เห็น
สนามบ่มเพาะชั้นนำอยู่ที่ด้านบน
มีไม่มากนัก ซูผิงเห็นว่าแดนเทพอาเคี่ยนอยู่ในอันดับที่ห้า
ถัดจากชื่อคือคำอธิบายของสนามบ่มเพาะ เป็นอาณาจักรที่เกิดในความโกลาหล เป็นที่อาศัยของเหล่าเทพ
“ค่าเข้า: 9,000”
“ยืนยันการเข้าของคุณ”
”ยืนยัน” “ตรวจพบพนักงานดีเด่น คุณต้องการใช้สิทธิพิเศษที่ได้รับหรือไม่”
”ใช้”
ไม่นานหลังจากนั้น หลุมดำที่เหมือนวังวนก็ปรากฏขึ้น ปกคลุมและดึงซูผิง โจแอนนาและถังยู่หรานเข้าไป
ท่านหญิงเขียวที่อยู่ใกล้ๆเฝ้าดูสิ่งนี้เกิดขึ้น เธอเคยสงสัยมาตลอดว่าซูผิงจะพาโจแอนนาไปที่แดนเทพอาเคี่ยนได้ยังไง เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นพวกเขาเคลื่อนย้ายออกจากร้านโดยตรง
“ร้านนี้…”
ท่านหญิงเขียวรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันใด พลังการเคลื่อนย้ายดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ซูผิงสามารถทำได้
เธอไม่สามารถเข้าได้ทุกห้องในร้าน จึงมีบางห้องที่เธอยังไม่สามารถเข้าไปได้
ความรู้สึกของห้องเหล่านั้นก็ถูกระงับไว้ด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ในร้าน
…
แสงแดดที่แห้งและอบอุ่นส่องลงมา
ซูผิงรู้สึกอบอุ่นสบาย สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกแปลกเล็กน้อยคือร่างกายของเขาหนักกว่าเดิมหลายสิบเท่า โชคดีที่เขาแข็งแกร่งมากและในไม่ช้าก็สามารถเอาชนะความยากลำบากดังกล่าวได้
ซูผิงลืมตาและเห็นโลกสีทองตรงหน้าเขา
ท้องฟ้าเบื้องบนนั้นกว้างใหญ่และไม่มีเมฆ มีดวงตะวันเจิดจ้าเก้าดวงส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า ซูผิงประหลาดใจพระอาทิตย์เก้าดวงนั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไหวช้า!
พวกมันกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้!
อย่างไรก็ตาม พวกมันกำลังเคลื่อนไปในทิศทางที่ต่างกัน มันกระจัดไปมาราวกับมีชีวิต!
ตรงหน้าซูผิงเป็นภูเขาที่งดงามตระการตาเต็มไปด้วยต้นไม้ มีวิหารอยู่ที่นั่นด้วย
โจแอนนาที่อยู่ใกล้ๆ พูดด้วยความงุนงง “นี่คือ… เดนเทพอาเคี่ยนหรอ?”
หญิงสาวกำลังซึมซับทุกสิ่งที่เธอมองเห็น และน้ำตาก็ไหลออกมา
”ทำไมเธอถึงร้องไห้?” ซูผิงตกตะลึงกับปฏิกิริยาของเธอ
โจแอนนาเช็ดตาตัวเอง เธอไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนตอนอยู่ในร้านของซูผิง ตัวตนปัจจุบันของเธอมีอารมณ์มากขึ้น เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้ ฉันแค่รู้สึกว่าที่นี่ดูคุ้นเคย…”
ซูผิงตระหนักว่าเธอแค่รู้สึกคิดถึงความหลังอย่างประหลาดที่เธอได้กลับบ้าน
“พลังเทพที่นี้รุนแรงมาก” โจแอนนามองไปรอบๆ และค่อยๆ ยับยั้งตัวเองไว้ เธอสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง “สถานที่นี้ให้ความรู้สึกเหมือนแดนเทพอาเคี่ยน.. แต่… ทำไมถึงมีดวงอาทิตย์ตั้งเก้าดวง? ฉันจำได้ว่าดวงอาทิตย์หกในเก้าดวงถูกทำลายในสงครามเมื่อนานมาแล้ว…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากความว่างเปล่า “คุณซู”
ผู้หญิงที่มีรูปร่างเย้ายวนค่อยๆ เดินออกจากความว่างเปล่า เธอสวมชุดสีดำที่พลิ้วไสวราวกับมีชีวิต เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เสื้อผ้าธรรมดา มันต้องเป็นสมบัติที่มีพลังเทพ
“ในที่สุดฉันก็ได้เจอคุณ คุณซู ฉันได้ยินมาว่าคุณเพิ่งกลับจากสภาเทพอมตะและกำลังจะเดินทางอีกครั้ง ฉันสงสัยว่าคุณสนใจที่จะสำรวจหอคอยมิติของตระกูลฟิลไหมคะ?” หญิงสาวสวยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
การแสดงออกของโหลวหลานเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากเห็นเธอ เขาพูดอย่างเคร่งขรึม“หอคอยมิติไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรอ? อสูรร้ายทั้งหมดที่อยู่ข้างในได้รับการฝึกให้เชื่องแล้ว แม้แต่รุ่นน้องในตระกูลของคุณเองก็ไม่ได้อะไรจากการฝึกฝนที่นั่น ไม่มีอันตรายใดที่จะถูกพบขณะสัญจรไปรอบๆ สถานที่นั่น มันจึงไม่ค่อยมีศักยภาพ”
”เข้าใจผิดแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่โหลวหลานเฟิง “มีอสูรร้ายหลายพันล้านตัวในหอคอยมิติ ตระกูลของฉันจะทำให้พวกมันทั้งหมดเชื่องได้ยังไง เราใช้ทหารรักษาการณ์เพียงบางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลานของเราเป็นอันตราย นอกจากนี้อลิสา ฟิลซึ่งเกิดเมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรต่อตระกูลโหลวหลานเฟิงเลยใช่ไหม?”
การแสดงออกของคุณเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยอีกครั้ง อลิสาเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลฟิล ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในช่วงพันปีที่ผ่านมา และเธอก็ได้บรรลุถึงสภาวะเทพดวงดาวแล้ว!
เธอจะสามารถกลายเป็นลอร์ดสวรรค์ในสักวันหนึ่ง!
”คุณซูตระกูลฟิลขอเชิญคุณมาเป็นแขกของตระกูลเรา คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากตอบรับ คุณจะได้รับสิทธิพิเศษของแขกระดับ 1!” ผู้หญิงคนนั้นประกาศ
ใบหน้าของโหลวหลานเฟิงเย็นชาหลังจากที่เธอพูดอย่างนั้น
ซูผิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความนิยมขนาดนี้ ผู้อาวุโสสองคนนี้เป็นสภาวะเทพดวงดาวแต่พวกเขาก็เดินทางมากลเพื่อส่งคำเชิญอย่างสุภาพ
ซูผิงปฏิเสธพวกเขาทางอ้อม “ผมขอเวลาพิจารณาเรื่องนี้สักสองสามวัน”
โหลวหลานเฟิงพูดกับซูผิงทันทีว่า “คุณซูตระกูลโหลวหลานสามารถให้ทุกอย่างที่ตระกูลฟิลสามารถให้ได้ ผมจะส่งวัตถุดิบที่คุณต้องการมาให้ทันที”
ซูผิงพยักหน้าและโบกมือให้พวกเขา จากนั้นเขาก็กลับไปในร้าน
โหลวหลานเฟิงโล่งใจเมื่อเห็นซูผิงรับวัตถุดิบ แม้ว่าจะไม่ยอมรับคำเชิญของเขาในท้ายที่สุด เขาก็ยังเป็นหนี้บุญคุณสำหรับวัตถุดิบดังกล่าว
ตามแหล่งข่าวของเขา ชายหนุ่มได้เข้าสู่อันดับราชาเทพในเวลาเพียงสามปีหลังจากชนะการแข่งขัน และเขาก็เป็นเพียง แค่ระดับดวงดาว!
ว่ากันว่าลอร์ดสูงสุดได้ห้ามไม่ให้เขาออกจากสภาเทพอมตะจนกว่าเขาจะสามารถเอาชนะนักรบในสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพ!
ความจริงที่ว่าซูผิงกลับมาถือเป็นคำบอกเล่าว่าเขาทำสำเร็จแล้ว
มันช่างน่ากลัวเสียจริง…
เขาจะไม่มาที่นี่และทำตัวประจบสอพลอถ้าซูผิงเป็นแค่ผู้บ่มเพาะสภาวะชะตากรรมที่เก่งที่สุดในจักรวาล ท้ายที่สุดในฐานะยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาว เขาไม่จำเป็นต้องเอาใจใครเลย ยกเว้นสภาวะเทพอมตะ อย่างไรก็ตามตระกูลของเขาส่งเขาไปมาทันทีหลังจากทราบข่าว การไปถึงสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพ ในขณะที่ยังคงเป็นระดับดวงดาวนั้นน่ากลัวกว่าการเป็นแชมป์ของจักรวาลเสียอีก
ในทางปฏิบัติ ซูผิงจะกลายเป็นลอร์ดสวรรค์ทันทีที่เขาไปถึงสภาวะเทพดวงดาว!
หากโชคดี จะมียอดฝีมือสภาวะเทพอมตะในจักรวาลเพิ่มอีกคนในอีกหมื่นปีข้างหน้า!
ศักยภาพของผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ตระกูลโหลวหลานเต็มใจที่จะลงทุนในตัวเขา การดำเนินการในขณะที่ซูผิงยังอ่อนแอจะนำมาซึ่งผลตอบแทนมหาศาล
ผู้หญิงที่อยู่ใกล้เคียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อซูผิงหันหลังกลับและจากไป แต่แล้ว เธอจำความลับที่เธอได้ค้นพบและถือว่าทัศนคติที่ไม่ใส่ใจของเขาต่อหน้าสภาวะเทพดวงดาวนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ท้ายที่สุดแล้ว เขาจะแข็งแกร่งกว่าพวกเธอมากเมื่อเขาไปถึงสภาวะเทพดวงดาว
ตระกูลโหลวหลานมีหนึ่งวัตถุดิบที่เขาต้องการ ฉันสงสัยว่าเขาจะสนใจสิ่งนั้นหรือไม่ ผู้หญิงคนนั้นคิด เธอมีความรู้สึกสังหรณ์ใจ หอคอยมิติดูเหมือนจะไม่น่าสนใจพอ ท้ายที่สุดซูผิงได้รับทรัพยากรมากมายจากอาจารย์ของเขาหอคอยมิติไม่ใช่สถานที่ฝึกฝนที่เขาต้องการ!
หวืด!
สภาวะเทพดวงดาวอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นเมื่อซูผิงกลับเข้าไปในร้านของเขา ทั้งคู่ต่างประหลาดใจที่เห็นโหลวหลานเฟิงและผู้หญิงจากตระกูลฟิล
“ดูเหมือนหลายคนรู้ว่าเขากลับมาแล้ว” ผู้หญิงจากตระกูลฟิลพูดเยาะเย้ย
ที่ซูผิงท้าทายอันดับราชาเททพไม่ได้ถูกเผยแพร่ มีคนจำนวนมากเกินไปให้ความสนใจกับเขา เนื่องจากชื่อเสียงของเขาจากชนะการแข่งขันสุดยอดอัจฉริยะระดับจักรวาลเมื่อสามปีก่อน ผู้เฒ่าหยานไม่ได้เก็บเป็นความลับ นั่นคือเหตุผลที่หลายองค์กรได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างซูผิงและเซินหวง เมื่อรู้อย่างนี้ ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าซูผิงกลับมาจากสภาเทพอมตะแล้ว
ไม่รู้ว่าเซินหวงจะให้เขาออกมาเป็นข้อยกเว้นหรือเขาปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว!
แต่ความเป็นไปได้อย่างที่สองน่าจะเป็นไปได้มากกว่า—
ท้ายที่สุดเทพอมตะจะไม่ค่อยกลับคำ
“มันเป็นโชคชะตา เขาสามารถประจันหน้ากับเจ้าดวงดาวได้ในขณะที่อยู่ในระดับดวงดาว เขาย่อโลกใบเล็กในขณะที่ยังคงอยู่ในสภาวะชะตากรรม แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะใช้เวลาเพียงสามปีในการเอาชนะอัจฉริยะในอันดับราชาเทพ…” ผู้มาเยือนรายใหม่กล่าวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เขาคิดถึงแต่เรื่องของซูผิง เขาได้รับแต่งตั้งจากตระกูลให้มาเชิญซูผิง
“โปรดรายงานว่าตระกูลเหมียนขอพบคุณซู” ชายชราร่างผอมบางพูดกับอวิ๋นมู่อย่างสุภาพ อวิ๋นมู่ส่ายหัวและกล่าวว่า “คุณซูเพิ่งบอกกับฉันทางกระแสจิตว่าเขาจะฝึกอย่างสันโดษสองสามวันและจะไม่พบใครในระหว่างนี้”
เธอค่อนข้างตกใจและคิดคำตอบไม่ออก เนื่องจากเธอไม่คาดคิดว่าจะมีสภาวะเทพดวงดาวจำนวนมากมาเยี่ยมซูผิงเธอรู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของมนุษยชาติ แต่ยังไม่เติบโตเต็มที่ มีอัจฉริยะของมนุษย์จำนวนมากเในประวัติศาสตร์ที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
“ฝึกอย่างสันโดษ?”
ชายชรามึนงงเล็กน้อย และพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ผมได้ยินมานานแล้วว่าคุณซูเป็นผู้บ่มเพาะที่ขยันขันแข็ง ตอนนี้ได้เห็นกับตาแล้ว”
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวที่กล้าหาญอีกคนหนึ่งยิ้ม และเพียงแค่รอซูผิงเพื่อแสดงความจริงใจของเขา
ยอดฝีมือเหล่านั้นลอยอยู่กลางอากาศ ผู้คนที่รอต่อแถวต่างตกตะลึงจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ แม้ว่าสภาวะเทพดวงดาวจะควบคุมกลิ่นอายของพวกเขา แต่แรงกดดันตามธรรมชาติของพวกเขายังคงสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังมองเทพ
“ตระกูลโหลวหลาน? ตระกูลฟิล? ฉันได้ยินมาว่าตระกูลโหลวหลานมียอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวและธุรกิจมากมายในเขตดวงดาวต่างๆ เกมและรายการยอดนิยมมากมายผลิตโดยพวกเขาเช่นกัน เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจ!” มีคนกระซิบในฝูงชน
พวกเขาอยู่ในยุคอวกาศ โหลวหลานอยู่ไกลกว่าที่พวกเขาจะสามารถเข้าถึงได้ แต่ผู้คนรู้บางเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาจากอินเทอร์เน็ต พลังที่ตระกูลแสดงให้เห็นผิวเผินนั้นตกตะลึงพอสำหรับพวกเขาแล้ว นักวิทยาศาสตร์จากตระกูลของพวกเขามีชื่อในหนังสือเรียนเกี่ยวกับดาวเคราะห์หลายดวง
ผู้มาเยี่ยมเกี่ยวข้องกับตระกูลที่น่าสะพรึงกลัวนั้นใช่ไหม? ที่พื้นดิน—ทั้งชายหนุ่มในชุดขาวและลุงของเขาต่างก็หวาดกลัวกับการมาถึงของยอดฝีมือเหล่านั้น โดยเฉพาะลุงเว่ยที่ตัวสั่นและพึมพำ “พวกเขา ล้วนเป็นสภาวะเทพดวงดาว!”
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เขาหรี่ตาและถามด้วยความตกใจ “พวกเขาไม่ใช่เจ้าดวงดาวหรอ?”
“ไม่ เจ้าดวงดาวไม่มีกลิ่นอายแบบนั้น…” ลุงชองเขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ชายหนุ่มตกตะลึง
…
ภายในร้าน—
ซูผิงตรวจพบรัศมีของสภาวะเทพดวงดาวอีกสองคนหลังจากปิดประตู เขาแน่ใจว่าพวกเขามาโดยมีจุดประสงค์เพื่อเชิญเขาหมือนกัน
โจแอนนาเหลือบมองซูผิงและพูดว่า “ตอนนี้นายดูจะดังทีเดียว” ซูผิงพยักหน้า “ผู้ชายที่หล่อเหลาอย่างฉันต้องโด่งดังเป็นธรรมดา”
โจแอนนากลอกตา แต่ถังยู่หรานพูดด้วยเสียงต่ำ “พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน? ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้เหมือนกับพี่เขียว”
“พวกเขาทั้งหมดเป็นสภาวะเทพดวงดาว” ซูผิงตอบ
ถังยู่หรานตกตะลึงกับคำตอบของเขา ปากของเธออ้าเปิดเล็กน้อย ตกใจเกินกว่าจะพูดอะไร
เธอไม่ใช่เด็กที่โง่เขลาอีกต่อไป เธอรู้ลำดับชั้นพลังบ่มเพาะในสหพันธ์ และรู้ว่ายอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวอยู่ที่ด้านบนสุดของปิรามิด!
เหนือพวกเขาคือเทพอมตะที่ปกครองจักรวาล
หลังจากที่เห็นว่าถังยู่หรานตกใจขนาดไหน ซูผิงก็แซวเธอว่า “พยายามให้หนักขึ้นเธอมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา”
ถังยู่หรานมีความหวังในแววตา และถามเขาว่า “จริงเหรอ?”
“พยายามให้มากๆ” ซูผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โจแอนนาเห็นดวงตาของถังยู่หรานเต็มไปด้วยความปรารถนาและความตื่นเต้น เธอจึงเสริมด้วยความเฉยเมยว่า “เธอไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เพียงแค่พยายามอย่างหนัก พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญ”
ถังยู่หรานเม้มริมฝีปากและพูดว่า “เธอกำลังหมายความว่าฉันไม่มีความสามารถเพียงพอหรือ?”
“ฉันอ่อนแอเกินไปเหรอ?”
ถังยู่หรานรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็รู้สึกจุกๆ เห็นได้ชัดว่าซูผิงพยายามปลอบโยนเธอ มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะได้มาจากความพยายามเพียงอย่างเดียว ซูผิงไม่พูดอะไรต่อ เขาเพียงขอให้พวกเธอเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปยังแดนเทพอาเคี่ยน
“เธอวางแผนที่จะให้ตัวตนเดิมของเธอเดินทางด้วยไหม?” ซูผิงพูดกับโจแอนนา
โจแอนนาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ส่ายหัว “ไม่ ตัวตนเดิมของฉันอยู่ที่อื่น มันไม่ง่ายสำหรับฉันที่จะย้ายที่อยู่ ฉันจะไปที่แดนเทพอาเคี่ยนเพื่อฝึกร่างนี้ ฉันจะกลายเป็นเทพแท้จริงเมื่อฉันรวมเข้ากับตัวตนดั้งเดิมของฉันอย่างสมบูรณ์!”
“ตัวตนดั้งเดิม? เธอมีตัวตนเดิมด้วยหรอ?”ถังยู่หรานอุทาน นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอ
ท่านหญิงเขียวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สภาวะเทพดวงดาวทุกคนสามารถพัฒนาร่างกลับชาติมาเกิดได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก”
หลังจากฟื้นจากอาการช็อก ถังยู่หรานก็ทำหน้ายาวแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันเป็นคนอ่อนแอคนเดียวในร้านนี้ที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเลยอย่างงั้นหรอ?”
“เพิ่งรู้ตัวหรือไง?”
อีกสามคนมองเธอด้วยความแปลกใจ
ถังยู่หราน: “…”
…
เมื่อพวกเขาไปเตรียมตัว ซูผิงก็ไปและเคลียร์ที่เก็บของเขาเพื่อเตรียมการ เขาพาหญิงสาวทั้งสองไปที่ล็อบบี้และเรียก หน้าต่างสถานะที่พวกเธอมองไม่เห็น
สนามบ่มเพาะชั้นนำอยู่ที่ด้านบน
มีไม่มากนัก ซูผิงเห็นว่าแดนเทพอาเคี่ยนอยู่ในอันดับที่ห้า
ถัดจากชื่อคือคำอธิบายของสนามบ่มเพาะ เป็นอาณาจักรที่เกิดในความโกลาหล เป็นที่อาศัยของเหล่าเทพ
“ค่าเข้า: 9,000”
“ยืนยันการเข้าของคุณ”
”ยืนยัน” “ตรวจพบพนักงานดีเด่น คุณต้องการใช้สิทธิพิเศษที่ได้รับหรือไม่”
”ใช้”
ไม่นานหลังจากนั้น หลุมดำที่เหมือนวังวนก็ปรากฏขึ้น ปกคลุมและดึงซูผิง โจแอนนาและถังยู่หรานเข้าไป
ท่านหญิงเขียวที่อยู่ใกล้ๆเฝ้าดูสิ่งนี้เกิดขึ้น เธอเคยสงสัยมาตลอดว่าซูผิงจะพาโจแอนนาไปที่แดนเทพอาเคี่ยนได้ยังไง เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นพวกเขาเคลื่อนย้ายออกจากร้านโดยตรง
“ร้านนี้…”
ท่านหญิงเขียวรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันใด พลังการเคลื่อนย้ายดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ซูผิงสามารถทำได้
เธอไม่สามารถเข้าได้ทุกห้องในร้าน จึงมีบางห้องที่เธอยังไม่สามารถเข้าไปได้
ความรู้สึกของห้องเหล่านั้นก็ถูกระงับไว้ด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ในร้าน
…
แสงแดดที่แห้งและอบอุ่นส่องลงมา
ซูผิงรู้สึกอบอุ่นสบาย สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกแปลกเล็กน้อยคือร่างกายของเขาหนักกว่าเดิมหลายสิบเท่า โชคดีที่เขาแข็งแกร่งมากและในไม่ช้าก็สามารถเอาชนะความยากลำบากดังกล่าวได้
ซูผิงลืมตาและเห็นโลกสีทองตรงหน้าเขา
ท้องฟ้าเบื้องบนนั้นกว้างใหญ่และไม่มีเมฆ มีดวงตะวันเจิดจ้าเก้าดวงส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า ซูผิงประหลาดใจพระอาทิตย์เก้าดวงนั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไหวช้า!
พวกมันกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้!
อย่างไรก็ตาม พวกมันกำลังเคลื่อนไปในทิศทางที่ต่างกัน มันกระจัดไปมาราวกับมีชีวิต!
ตรงหน้าซูผิงเป็นภูเขาที่งดงามตระการตาเต็มไปด้วยต้นไม้ มีวิหารอยู่ที่นั่นด้วย
โจแอนนาที่อยู่ใกล้ๆ พูดด้วยความงุนงง “นี่คือ… เดนเทพอาเคี่ยนหรอ?”
หญิงสาวกำลังซึมซับทุกสิ่งที่เธอมองเห็น และน้ำตาก็ไหลออกมา
”ทำไมเธอถึงร้องไห้?” ซูผิงตกตะลึงกับปฏิกิริยาของเธอ
โจแอนนาเช็ดตาตัวเอง เธอไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนตอนอยู่ในร้านของซูผิง ตัวตนปัจจุบันของเธอมีอารมณ์มากขึ้น เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้ ฉันแค่รู้สึกว่าที่นี่ดูคุ้นเคย…”
ซูผิงตระหนักว่าเธอแค่รู้สึกคิดถึงความหลังอย่างประหลาดที่เธอได้กลับบ้าน
“พลังเทพที่นี้รุนแรงมาก” โจแอนนามองไปรอบๆ และค่อยๆ ยับยั้งตัวเองไว้ เธอสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง “สถานที่นี้ให้ความรู้สึกเหมือนแดนเทพอาเคี่ยน.. แต่… ทำไมถึงมีดวงอาทิตย์ตั้งเก้าดวง? ฉันจำได้ว่าดวงอาทิตย์หกในเก้าดวงถูกทำลายในสงครามเมื่อนานมาแล้ว…”