ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 100
นี่เป็นลักษณะการอยู่ร่วมกันของพวกเขายามปกติ แต่ชิวเยี่ยไป๋หารู้ไม่ว่า อากัปกริยาใกล้ชิดกับเป๋าเป่าครั้งนี้กลับตกอยู่ในสายตาของคนมีเจตนาไม่ดี และตีความหมายเป็นอื่น
รถม้าประทุนสีเขียวค่อยๆ ห่างออกไปในกล้องส่องทางไกลทองเหลืองสลักลายดอกไม้
ไป๋หลี่ชูวางกล้องส่องทางไกลลง สีหน้าคาดเดามิได้ ใช้เข็มเงินเล่มหนึ่งปักลงบนผลองุ่นเข้าปาก ครู่หนึ่งจึงสั่งเรียบๆ ว่า “ไปสืบดูว่าเด็กที่อยู่กับเสี่ยวไป๋เป็นใคร”
ซวงไป๋รับคำอย่างนบนอบ “ขอรับ”
เขาเหลือบมองมุมปากผู้เป็นนาย เห็นน้ำองุ่นเปื้อนริมฝีปากแดงฉานจนน่ากลัว
……
“ข้าไม่อยู่เสียหลายวัน ในซือหลี่เจียนเป็นอย่างไรบ้าง” ชิวเยี่ยไป๋นั่งบนรถม้า ข้อมือเชยแก้มอิงกับมือของสารถีชมดูความครึกครื้นของตลาดนัดรอบข้าง อารมณ์ดีมาก
เป๋าเป่าที่กำลังขับรถอยู่ พอได้ยินคำถามก็เชิดปากอย่างไม่พอใจ “ยังจะเป็นอย่างไรไปได้ พอท่านเข้าวังก็เงียบหายไปเลย ข้าเลยถือโอกาสตั้งข้อหาไอ้พวกกเฬวรากในกองคั่นเฟิงเสียเลย พวกมันจะได้ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างรู้ทัน “มีคนมาหาเรื่องใช่ไหม”
ต่อให้ปิดประตูเงียบไว้ ก็คงขวางคนที่จะมารังควานถึงประตูบ้านไม่ได้ ดูท่าเป๋าเป่าคงรำคาญพอดู
เป๋าเป่าแค่นเสียง “แน่นอนละสิ แต่ก็แค่พวกสวะทั้งนั้น ข้าจัดการขับไล่ไปเรียบร้อย”
สายตาของเขาจับจ้องรอยแผลที่ลำคอและหลังมือของชิวเยี่ยไป๋ แววตาเย็นเยียบทำให้ตากลมโตของเขาแฝงกลิ่นอายการฆ่าฟัน “ยายแก่ในวังหาเรื่องท่านหรือไร หรือว่าเป็นใครในวัง”
“เรียกยายแก่เชียวหรือ ไม่กลัวว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องหรือไร เกิดใครได้ยินเข้าเจ้าจะโดนลงโทษนะ” ชิวเยี่ยไป๋อดหัวร่อมิได้
ใต้ฟ้านี้คนที่บังอาจเรียกพระพันปีว่ายายแก่ได้คงมีไม่มาก
เป๋าเป่าแค่นเสียงอย่างดูแคลน “ก็เป็นยายแก่จริงๆ นี่นา คนในวังก็เรียกนางเป็นพระโพธิสัตว์เฒ่ามิใช่หรือ สรุปแล้วแก่ก็คือแก่ อย่าว่าแต่ซือหลี่เจียนทุกวันนี้ก็อับแสงแล้ว ยังจะมีใครกล้าสอดรู้สอดเห็นอีกหรือ”
เขาหยุดรถ จ้องรอยแผลที่ลำคอของชิวเยี่ยไป๋แล้วพูดต่อ “นายน้อยสี่ยังไม่ได้บอกเลยว่า แผลของท่านเป็นฝีมือของยายแก่สมควรตายนั่นใช่หรือไม่!”
ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้า “ถ้าข้าบอกว่าเข้าวังคราวนี้ไม่ได้เข้าเฝ้าพระพันปี เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
หนิงชุนได้ยินก็งงงัน กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “พระพันปีเรียกท่านเข้าวังมิใช่หรือ หรือว่าระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุอันใด”
เป๋าเป่าก็มองนางอย่างข้องใจ
ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ “เรื่องมันยาว แต่โดยสรุปไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่”
เข้าวังคราวนี้นาง ‘ขาย’ ตัวเองไป เรื่องเช่นนี้นางพูดไม่ออก
“หนักหนาหรือไม่” เป๋าเป่าเห็นท่าทางของนางแล้วก็ขมวดคิ้ว
นายน้อยสี่เป็นคนจิตใจเปิดเผย ความคิดเฉียบแหลม น้อยครั้งที่จะเห็นนางกลัดกลุ้มเช่นนี้
ชิวเยี่ยไป๋สั่นศีรษะ กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่เป็นไร”
หนิงชุนกับเป๋าเป่าเห็นนางไม่ยอมพูดจึงไม่ถามอีก
เป๋าเป่าจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เอ้อนี่ ข้าจำได้ว่าก่อนนายน้อยสี่จะเข้าวัง เคยบอกว่าท่านข้าหลวงจะให้พวกเรากับทิงเฟิงและกองปู่เฟิงไปสืบคดีปล้นที่ไหวหนานมิใช่หรือ บัดนี้ข้ารวบรวมข้อมูลบางอย่างได้แล้ว และสั่งให้หน่วยเปลวอัคคีเปิดช่องทางรับข่าวกรองทั้งหมด”
ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งเข้ารับตำแหน่งก็ได้รับเสาวนีย์จากพระพันปี ยามรีบร้อนจึงได้แต่สั่งเสียเป๋าเป่าจัดแจงสองเรื่อง หนึ่งคือรวบรวมข้อมูลคดีการปล้น อีกหนึ่งคือจับตากองคั่นเฟิงไว้ อย่าให้พวกเขาก่อเรื่องก่อราวอีก
บัดนี้เห็นเป๋าเป่าจัดการได้ดี แถมยังช่วยนางเตรียมการล่วงหน้า จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยิ้มพลางถูไถแก้มของเป๋าเป่า “รู้อยู่ว่าเจ้าไว้ใจได้”
เป๋าเป่าเชิดคางขึ้นอย่างลำพอง “แน่นอน แล้วนายน้อยสี่มีรางวัลให้ไหมล่ะ”
ชิวเยี่ยไป๋หยิกแก้มของเป๋าเป่าอย่างมันมือ หัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “ได้สิ ข้าจะเข้าครัวผัดกับข้าวให้สองจาน น้ำแกงอีกชามพอไหม”
เป๋าเป่าฟังแล้วก็เบิกตาโพลง กล่าวอย่างดีอกดีใจว่า “พูดแล้วห้ามกลับคำนะ”
ฝีมือทำกับข้าวของนายน้อยสี่ยอดเยี่ยมมาก แต่ขี้เกียจเป็นที่สุด ปกติจะไม่ยอมเข้าครัวเลย ดังนั้นคนในสำนักหอซ่อนกระบี่ต่างถือว่าการได้ลิ้มรสอาหารฝีมือนายน้อยสี่คือรางวัลใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นยาวิเศษหรือคัมภีร์ลับยอดฝีมือล้วนไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา การให้รางวัลเช่นนี้เกรงว่าคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวงการยุทธจักรแล้ว
“แน่นอน” ชิวเยี่ยไป๋เห็นกริยาที่น่ารักของเป๋าเป่าเหมือนแมวเหมียวตัวน้อยที่เบิกบาน จึงจุมพิตที่ดวงตากลมโตอย่างอดมิได้
ชิวเยี่ยไป๋กระทำต่อเป๋าเป่าด้วยจิตใจบริสุทธิ์ แต่เป๋าเป่านึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะจุมพิตเขา ริมฝีปากงดงามนุ่มเนียนชื้นเล็กน้อยสัมผัสกับเปลือกตา เขาพลันตัวแข็ง จ้องมองใบหน้าแสนงดงามของชิวเยี่ยไป๋
อย่างงงงัน ดวงตาสุกใสปานจันทราของนางยามนี้เปี่ยมด้วยรอยยิ้มและประกายนุ่มนวล
ราวกับบึงน้ำมรกตที่แทบจะทำให้ผู้คนสำลักจนตาย เป๋าเป่ารู้สึกหัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ ราวกับว่าแม้เวลาก็ยังช้าลง แต่มิรู้ว่านึกอะไรได้ เขาพลันเย็นเยือกในหัวใจ คลื่นลมระลอกน้อยๆ ในหัวใจที่บังเกิดอย่างฉับพลันถูกสะกดไว้หมดสิ้น เหลือแต่ความอาดูรหนักหนา
“เป็นอะไรไป” ชิวเยี่ยไป๋แลดูหนุ่มน้อยที่เหมือนวิญญาณหลุดจากร่างจึงอดสงสัยมิได้
ดวงตาเป๋าเป่าฉายแววประหลาดแวบหนึ่ง พลันถามว่า “นายน้อยสี่ท่านชอบข้าไหม”
ชิวเยี่ยไป๋งง ลูบศีรษะเขาพลางหัวร่อ “เป๋าเป่าของข้าน่ารักขนาดนี้ ข้าย่อมชอบเจ้า”
“น่ารักหรือ…ใช่แล้ว เป๋าเป่าคือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของนายน้อยสี่” เป๋าเป่าหัวร่อฮิฮะแล้วซบหน้าลงบนไหล่ของชิวเยี่ยไป๋
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าอากัปกริยาของเป๋าเป่าแปลกไป แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน เห็นเขาดูเหมือนจะกลับคืนสู่สภาพชอบออดอ้อนเหมือนปกติ จึงลูบคลำศีรษะของเขา “เด็กโง่ ใครว่าเจ้าเป็นแค่สัตว์เลี้ยงตัวโปรดเล่า…”
“ไม่ ข้าคือสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เป็นสัตว์เลี้ยงตัวเดียวของท่าน!” เป๋าเป่าหันหน้ามาแล้วดึงแขนเสื้อชิวเยี่ยไป๋ ขึ้นเสียงสูงแหลม
ดวงตากลมโตเหมือนแมวจ้องชิวเยี่ยไป๋เขม็ง หางตาขยับขึ้นคล้ายแฝงแววเจ้าเล่ห์
ชิวเยี่ยไป๋และหนิงชุนที่นั่งอยู่ด้วยต่างงงงัน นางไม่ขยับเหลือบดูหนิงชุน กลับเห็นหนิงชุนส่ายศีรษะเล็กน้อยแทบสังเกตไม่ได้ แสดงว่านางก็มิรู้ว่าเป๋าเป่าเป็นอะไรไป ก่อนหน้านี้ยังปกติอยู่เลยนี่นา
“เป๋าเป่าเจ้าเป็นอะไรไป” ชิวเยี่ยไป๋ถามเด็กหนุ่มข้างกายอย่างสงสัย
“ขออภัย ข้าเพียง…” เป๋าเป่าคล้ายกับเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเสียกริยาไป เขาหลุบตาลง สองมือกำบังเ**ยนแน่น คล้ายไม่รู้จะกล่าวอย่างไร
ในที่สุดเขายังคงก้มหน้าลงพึมพำว่า “ข้าก็แค่อยากเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของนายน้อยสี่ ไม่อยากเป็นเหมือนคนอื่น ไม่ได้หรือ”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างจนใจ ยื่นมือเขกศีรษะดังโป๊ก “เอาล่ะ เจ้าอยากทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า แต่จงอย่าอมพะนำพิลึกจนน่าตกใจเยี่ยงนี้”