ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 131 เล่ห์แค้น (4)
เสี่ยวชีคิดดู “สารรูปแปลกๆ ดูเผินๆ เหมือนธรรมดา แค่พริบตาที่สองก็รู้สึกว่ายิ่งมองยิ่งน่าดู ทำเอาผู้คนอยากมองเขา คำพูดคำจานะหรือก็เหมือนในเมฆในหมอกคล้ายนายน้อยสี่นี่แหละขอรับ ทำให้ผู้คนจับทางไม่ถูก คนเช่นนี้ถ้ามิใช่กระสอบหญ้า ก็คงเหมือนนายน้อยสี่ที่เล่ห์กลเต็มท้องเก็บไว้ยังไม่ปล่อย เสี่ยวชีพูดถูกไหมขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเสี่ยวชีที่แอบด่าคนแถมยังขอคำชมอีก อดมิได้ยื่นปลายนิ้วดีดใส่แก้มกลมป่องของเขา “เจ้านี่ยิ่งมายิ่งเหิมเกริมแล้ว แต่ที่เจ้าก็พูดไม่ผิด คนอย่างพวกเรา…”
นางหยุดเล็กน้อย กล่าวเนือยๆ ว่า “เล่ห์กลเต็มท้องจริง เจ้ายังจำห้องหนังสือของเขาได้ไหม เขาตกแต่งจนบ้านสกุลเหมยหรูหรามีรสนิยมสูงส่งเป็นที่สุด แต่ห้องหนังสือดันสะอาดเรียบง่าย ต่างกับตัวสวนอย่างสิ้นเชิง”
เสี่ยวชีแยกเขี้ยวคลำแก้มตนเอง “แล้วอย่างไรขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋รั้งมุมปากเล็กน้อย “ไม่อย่างไรหรอก ห้องหนังสือกับห้องนอนเป็นสถานที่ส่วนตัวของคนคนหนึ่ง การตกแต่งมักสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยของเจ้าของ เราไม่เห็นห้องนอนก็จริง แต่ดูจากห้องหนังสือแล้ว สะอาดและธรรมดามากไร้เอกลักษณ์ใดๆ จึงพอจะรู้ว่าหากคนผู้นี้มิใช่คนนิสัยสมถะ ก็เป็น…”
“เป็นอย่างไรขอรับ”
“เป็นคนขี้ระแวงระแวดระวังสุดขีด เพราะคนขี้ระแวงและระแวดระวังมากจึงไม่อยากเผยอารมณ์และความรักชอบในใจตนเองแม้ยามอยู่คนเดียวก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสวนที่ประณีตหรูหรา หรือห้องหนังสือที่เรียบง่าย ก็แค่อยากให้ตัวเขาที่คนอื่นเห็นเป็นเช่นนั้น ช่องโหว่หนึ่งเดียวของเหมยซูก็คือคนที่ความหรูหรากับความเรียบง่ายต่างกันมากเกินไป”
ความแตกต่างนี้กลับทำให้นางสงสัยว่าเขามีนิสัยอย่างไร ระมัดระวังถึงขนาดสถานที่ส่วนตัวตามลำพัง ก็ยังไม่ยอมแสดงอารมณ์และจิตใจ
อีกเนิ่นนานภายหลัง นางจึงได้เข้าใจว่าห้องหนังสือกับตัวบ้านหลังนี้คือช่องโหว่ของเหมยซูอย่างแท้จริง นางเดาได้ใกล้เคียงกับความจริงแปดถึงเก้าในสิบส่วน เพียงหนึ่งเดียวที่แตกต่างก็คือสิ่งเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจที่ย้อนแย้งสุดโต่งของเขา
“ข้าน้อยว่าเจ้าคุณชายใหญ่เหมยดูเหมือนจะคาดเดานายน้อยสี่อยู่นะขอรับ” หลังเสี่ยวชีฟังแล้วจู่ๆ ก็โพล่งออกมา
ชิวเยี่ยไป๋แลดูระลอกคลื่นบนผิวน้ำพลางกล่าวเนือยๆ ว่า “เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาคาดเดาไปเถิด ค่อยๆ เดา ต่อให้เกิดความกริ่งเกรงบ้างก็มิเป็นไร”
ตัดสินใจมิได้ ดังนั้นการกระทำจึงยิ่งรอบคอบ ยิ่งรอบคอบลังเล การเคลื่อนไหวย่อมช้าลงเป็นธรรมดา นางจะได้มีเวลามากยิ่งขึ้นในการหาจุดอ่อนของเขา
“นายน้อยสี่ขอรับ ท่านน่าจะไปเป็นขุนนางสืบคดีที่กลาโหมหรือกรมราชทัณฑ์จะดีกว่านะขอรับ ไม่แน่ว่าราษฎรจะมอบป้ายผู้ทรงความยุติธรรมเหมือนเปาบุ้นจิ้นกับป้ายร่มปกปักษ์ทวยราษฎร์ให้อย่างรวดเร็ว” เสี่ยวชีพลันสั่นศีรษะ
นางหัวร่อเบาๆ “แล้วนายเจ้าขณะนี้มิใช่ขุนนางสืบคดีหรือ”
พ่อบ้านสามที่อยู่ท้ายเรือพยายามจะปัดนกกาน้ำตัวเมียที่โด่งก้นให้ตน พลางสังเกตเห็นคนทั้งสองตรงหัวเรือที่บัดเดี๋ยวสั่นศีรษะ บัดเดี๋ยวหัวร่อแต่กลับมิได้อ้าปาก ดูแล้วพิลึกพิลั่น นึกในใจว่าสมองของสองคนนี้คงไม่ปกติอยู่บ้าง
เรือแล่นเร็วมากถึงฝั่งอย่างรวดเร็ว ขึ้นฝั่งแล้วผ่านระเบียงที่มีสองฟากก็ถึงจุดออกจากจวนแล้ว แต่คราวนี้ทางเดินเปลี่ยนเป็นประตูใหญ่
ชิวเยี่ยไป๋กับเสี่ยวชีขึ้นจากเรือ พ่อบ้านสามจะตามขึ้นไป แต่มิรู้อย่างไร เรือน้อยพลันกระเพื่อมคราหนึ่ง พ่อบ้านสามจึงก้าวพลาดและโงนเงนไปมาที่กราบเรือ พยายามจะยืนให้มั่น เจ้านกกาน้ำตัวเมียคิดว่ากาน้ำตัวผู้ตัวนี้คงถูกตนยั่วยวนสำเร็จแล้ว กำลังกางปีกกระโดดไปมาด้วยท่าทางขอเป็นคู่ด้วย จึงกระดกก้นผวาเข้าไปอย่างยินดี พ่อบ้านสามยังยืนไม่ติดจึงหล่นลงน้ำดัง ต๋อม
เสี่ยวชีเห็นตอนพ่อบ้านสามถูกหญิงชาวเรือลากขึ้นจากน้ำอย่างทุลักทุเล ยังมีนกกาน้ำตัวเมียตัวหนึ่งเกาะบนศีรษะด้วย จึงกุมท้องหัวเราะลั่นอย่างอดมิได้
พ่อบ้านสามทั้งโกรธทั้งอาย ปีนขึ้นจากน้ำไม่รู้จะทำอย่างไร หญิงพายเรือที่รอรับช่วงต่อก้มหน้ากล่าวเอาใจว่า “พ่อบ้านสามเจ้าขา ท่านกลับไปก่อนเถิดนะเจ้าคะ ให้บ่าวไปส่งผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เอง”
พ่อบ้านสามเห็นประตูใหญ่อยู่ใกล้นิดเดียว ดูหญิงพายเรืออีกทีเห็นท่าทางระมัดระวังอย่างยิ่ง ดูแล้วน่าไว้ใจ เขาลังเลเล็กน้อย มองดูชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างอิหลักอิเหลื่อว่า “ข้าน้อยเสียมารยาท ขอตัวก่อนนะขอรับ ให้หญิงรับใช้นี่ส่งท่านนะขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นสารรูปของเขาแล้วรู้สึกอารมณ์ดี จึงโบกมือให้ “เจ้าไปเถิด”
พ่อบ้านสามประสานมือคารวะ แล้วรีบถอยไป
หญิงชาวเรือกล่าวกับชิวเยี่ยไป๋อย่างนอบน้อม “ใต้เท้า เชิญเจ้าค่ะ”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าแล้วเดินตามนางไปทางประตูใหญ่
เดินไปครู่หนึ่ง ชิวเยี่ยไป๋พลันเอ่ยปากถามว่า “นายของเจ้าคิดจะพูดอะไรกับข้ากันแน่ หากเจ้ายังไม่บอกอีก ข้าก็จะไปแล้ว”
หญิงพายเรือตัวแข็ง จากนั้นเหลือบมองชิวเยี่ยไป๋อย่างขลาดกลัวแวบหนึ่ง “ใต้เท้า…ไยท่านจึง…”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ “เมื่อกี้เรือน่าจะเทียบฝั่งได้อย่างมั่นคง จู่ๆ กลับสั่นไหว ดูแล้วระเบียบของตระกูลเหมยเข้มงวดไม่แพ้พวกตระกูลคนใหญ่คนโตเลย หากเป็นหญิงพายเรือที่ฝีมือไม่คงที่เช่นนี้คงโดนไล่ออกไปนานแล้ว คิดดูแล้วน่าจะมีคนอยากพบข้า จึงได้หาวิธีกันพ่อบ้านสามให้พ้นไปกระมัง”
หญิงพายเรือสะดุ้ง กัดริมฝีปากกระซิบว่า “ใต้เท้าร้ายกาจจริง บ่าวชื่อเซียงเหยียนเป็นหญิงรับใช้ของคุณหนูใหญ่ วันนี้ใต้เท้าช่วยชีวิตคุณหนูใหญ่ไว้ คุณหนูใหญ่ชื่นชมในบุคลิกของใต้เท้า หากใต้เท้ามิรังเกียจก็ยินดีจะลงมือทำอาหารให้เอง ผูกเป็นคู่สร้างคู่สม”
ชิวเยี่ยไป๋ตะลึง แลดูหญิงพายเรือที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าคาดเดามิออก พลันหัวร่อเบาๆ “แล้วถ้าข้าบอกว่ารังเกียจเล่า”
เซียงเหยียนงงงัน มองชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่อยากจะเชื่อ จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะตอบเช่นนี้ คุณหนูงดงามเพียงใด ถึงกับมีคนปฏิเสธคุณหนูด้วย
แต่อีกฝ่ายท่าทีเฉยชา ทำเอาเซียงเหยียนพูดไม่ออก งุนงงพิพักพิพ่วนครู่หนึ่ง พลันนึกขึ้นได้ รีบล้วงแพรเช็ดหน้าผืนหนึ่งยื่นให้ชิวเยี่ยไป๋ “ใต้เท้าเจ้าขา คุณหนูใหญ่บอกว่าหากใต้เท้าสงสัย ก็โปรดดูนี่”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วแล้วรับผ้าเช็ดหน้าแพรไว้ ก็พบว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เช้านี้เหมยเซียงจื่อใช้จับธูป แต่ยามนี้มีอักษรหลายแถวเขียนไว้บนผ้าเช็ดหน้า
ดูอักษรหลายแถวนั้นแล้ว แววตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง สีหน้ายากจะคาดเดา
อักษรบรรจงตัวเล็กหลายแถวนี้ กล่าวโดยสรุปคือหากชิวเยี่ยไป๋ยอมวิวาห์กับเหมยเซียงจื่อ นางก็จะทุ่มเทช่วยชิวเยี่ยไป๋ไขคดีไหวหนาน และรับรองว่าชิวเยี่ยไป๋จะปลอดภัยและมั่งมีศรีสุข
ซึ่งก็หมายความว่า เหมยเซียงจื่อกำลังขายพี่ใหญ่ผู้เป็นที่รักของตนเองและสกุลเหมย หรือจะว่าไปแล้วยังมีพระพันปีที่เป็นคนสกุลตู้ด้วย
เซียงเหยียนเดินพลางสังเกตสีหน้าชิวเยี่ยไป๋ แม้นางจะมิรู้ว่าคุณหนูเขียนว่าอย่างไร แต่คิดดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด คุณหนูใหญ่ของตนบอกไว้ว่า เมื่อชิวเยี่ยไป๋เห็นผ้าเช็ดหน้าของตนแล้ว จะเห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่นึกไม่ถึงว่า พอเลี้ยวจากระเบียงประตูใหญ่ก็อยู่ตรงหน้า ชิวเยี่ยไป๋พลันสอดผ้าเช็ดหน้าไว้ในปกเสื้อ แต่กลับมิได้ให้คำตอบทันที เพียงอมยิ้มกล่าวว่า “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องบุรุษ คนงามเช่นคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนในหอห้องจะดีกว่า”