ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 86
ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ – ตอนที่ 86 มารในใจ (3)
ซวงไป๋เดินพลางตอบว่า “องครักษ์ค่งเฮ่อในตำหนักกวงหมิงแบ่งเป็นสามระดับ ระดับหนึ่งคือค่งเฮ่อหน่วยสือปาซือ จัดเป็นองครักษ์ใกล้ชิดประจำพระองค์ ระดับสองคือหน่วยเทียนอวิ๋นซือ รับผิดชอบการเฝ้าระวังรอบนอกของฝ่าบาทยามปกติ ระดับสามคือหน่วยตี้อวิ๋นซือ ทำหน้าที่จิปาถะในตำหนัก แต่ละหน่วยทางออกไม่เหมือนกัน”
ซวงไป๋ตอบอย่างรวบรัด ดูท่าคงไม่อยากเล่ารายละเอียดต่อคนนอก ชิวเยี่ยไป๋จึงไม่ซักอีก แต่ก็เข้าใจความหมายของซวงไป๋ พวกที่อยู่กับไป๋หลี่ชูเมื่อกี้น่าจะเป็นคนของเทียนอวิ๋นซือ
“ปกติพวกเจ้าสวมชุดเหมือนกันหมด ทำไมจึงรู้ว่าใครสังกัดกองใด” ชิวเยี่ยไป๋แลดูชุดขาวของซวงไป๋ ยามนี้อยู่ในเขตของตำหนักกวงหมิง เขามิได้สวมเสื้อคลุมสีดำ
ซวงไป๋แย้มยิ้ม ยกแขนเสื้อให้ดู “ใต้เท้าโปรดดู”
ชิวเยี่ยไป๋เพ่งพินิจก็เข้าใจ แม้เสื้อชั้นนอกของซวงไป๋จะเป็นสีขาว แต่ที่ปลายแขนเสื้อปักเป็นลายกิเลนย่ำเมฆ พอขยับภายใต้แสงตะวัน กิเลนนั้นก็เหมือนมีชีวิตและเป็นประกายเจ็ดสี ก็มิรู้ว่าทำด้วยวัสดุใด ลายกิเลนย่ำเมฆนั้นเป็นเนื้อเดียวกันกับผ้า นุ่มนวลงดงาม
นางหวนนึกถึงองครักษ์ค่งเฮ่อหลายคนที่เคยพบ ชุดขาวแตกต่างจากซวงไป๋มิใช่น้อย
“ฝ่าบาทชูช่าง…ใจป้ำจริง” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ คงมีแต่เขาที่ให้องครักษ์สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดีเช่นนี้
ซวงไป๋แลดูชิวเยี่ยไป๋ ยิ้มน้อยๆ “ฝ่าบาทใจกว้างกับผู้ซื่อสัตย์ภักดีเสมอ”
มิรู้เพราะอะไร ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าคำพูดของซวงไป๋ซ่อนความหมายลึกซึ้ง แต่ก็ดูเหมือนจะมิได้มีความหมายอื่นใด
ผ่านไปอีกนานมากในภายหลัง ชิวเยี่ยไป๋ถึงได้เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ที่แท้คนพวกนี้ก็เหมือนแมงดา…ช่วยนายหาผู้บำเรอ!
ระหว่างพูดคุย นางก็เดินตามซวงไป๋ขึ้นสะพานหยกเก้าหยักแล้ว พอมองลงใต้สะพานก็งงงัน “นี่เป็น…”
น้ำในบึงใสจนเห็นกรวดหินที่ท้องบึงได้ทุกเม็ด ไม่มีหญ้าน้ำเลยสักต้น และไม่มีบัวเขียวบัวแดง ต่างจากที่กล่าวกันว่าน้ำใสเกินไปจะไม่มีปลา แต่ในบึงน้ำใสราวผลึกแก้วนี้กลับมีปลาแดงตัวน้อยกลุ่มใหญ่ว่ายเวียนไปมา
นับเป็นครั้งแรกที่นางเห็นบึงน้ำที่…สะอาดถึงเพียงนี้
ซวงไป๋พูดต่อ “นี่เป็นบึงคันฉ่องของตำหนักกวงหมิง น้ำในบึงมาจากตาน้ำและเป็นน้ำไหล ระหว่างรัชศกเจินอู่ มีปีหนึ่งที่อากาศร้อนจัด จักรพรรดินีหยวนเจิ้นเป็นหวัดแดดจนนอนซม มหาจักรพรรดิเจินอู่อยากให้พระชายาหายป่วยโดยเร็ว จึงสั่งให้สร้างตำหนักกวงหมิงขึ้น ขุดเจาะตาน้ำ ชักน้ำเย็นจากภูเขาชิวซานมาให้ความร่มรื่นแก่ตำหนักกวงหมิง
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “ข้าจำได้ว่า ภูเขาชิวซานมีธารน้ำอุ่น…”
ซวงไป๋ผงกศีรษะ “ใช่ขอรับ ฤดูหนาวจะชักธารน้ำอุ่นมาแทน”
ชิวเยี่ยไป๋ถอนหายใจ “แม้จะดูว่าฟุ่มเฟือยเป็นที่สุด แต่ก็เห็นได้ว่ามหาจักรพรรดิเจินอู่ทรงเสน่หาต่อจักรพรรดินีหยวนเจิ้นอย่างแท้จริง”
จักรพรรดิและจักรพรรดินีที่เป็นตำนานคู่นี้มีเรื่องเล่าขานมิรู้จบ และไม่ง่ายเลยสำหรับการครองคู่หนึ่งชาติภพหนึ่งคู่ครองชั่วชีวิต ท่ามกลางครอบครัวของผู้ที่อยู่เหนือคนทั้งปวง
นางแลดูระลอกบนผิวน้ำ นึกในใจว่าองค์เหนือหัวก็โปรดปรานฝ่าบาทชูเป็นที่สุดเช่นกัน พระตำหนักที่ทรงอิสริยยศสำรับการพักอาศัยเช่นนี้ ทุกรัชกาลที่ผ่านมา หากมิใช่เป็นนิวาสสถานขององค์จักรพรรดินีก็ต้องเป็นพระพันปี บัดนี้ถึงกับพระราชทานให้องค์หญิงพระองค์หนึ่ง และมิรู้ว่าองค์เหนือหัวจะทรงทราบหรือไม่หนอว่าองค์หญิงของตนที่แท้เป็นองค์ชาย หรือที่โปรดปรานเพราะมีความนัยซ่อนอยู่ จึงแสนรักใคร่จนเหมือนอยากชดเชยอะไรบางอย่าง
แต่ความรักจนถึงขั้นสุดโต่งเช่นนี้ ในสายตาของจักรพรรดินีและพระพันปีแล้วคงไม่สบายใจอยากมากแน่
เมื่อเดินข้ามสะพานหยกเก้าหยัก อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นตำหนักหน้าของตำหนักกวงหมิงแล้ว ในนั้นตกแต่งด้วยพฤกษาแลบุปผานานาพันธุ์ ความฟุ่มเฟือยยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ในตอนที่ชิวเยี่ยไป๋มีคนนำทางเข้ามาในตำหนัก บังเอิญเห็นอีไป๋ออกจากตำหนักพอดี ทันทีที่เห็นหน้านาง สีหน้าของอีไป๋พลันแปรเปลี่ยนจนพิกล แต่แวบเดียวก็กลับคืนสู่ความงดงามอึมครึมเฉกเช่นยามปกติ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฝ่าบาทอยู่ข้างใน”
ชิวเยี่ยไป๋คิดว่ารีบให้เสร็จธุระโดยเร็วจะดีกว่าจะได้รีบจากไป จึงพยักหน้าแล้วเร่งฝีเท้าก้าวเข้าสู่ตำหนัก โดยมิได้สังเกตสายตาพิกลของอีไป๋
แม้ในตำหนักจะตกแต่งอย่างหรูหราประณีต แต่การยืนอยู่ในเขตแดนของไป๋หลี่ชู นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายกับเข้าสู่ดินแดนของสัตว์ประหลาดกินคนที่คาดเดามิได้
“ฝ่าบาทชู” ชิวเยี่ยไป๋เข้าไปในตำหนัก พอดีกับที่ไป๋หลี่ชูกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ขันทีหน้าตางดงามสองคนกำลังช่วยยกผมยาวสลวยขึ้น ช่วยถอดชุดชั้นนอกและชั้นกลาง เผยให้เห็นร่างท่อนบนที่หน้าอกบึกบึนและเอวคอดกิ่ว กล้ามเนื้อเป็นมัดงดงามราวกับลายเส้นแสนประณีตจากสรวงสวรรค์ ต่ำลงไปจากกล้ามท้องแปดมัดเป็นกางเกงหลวมโพรกระพื้น ยังเห็นเงาคลุมเครือในกางเกงด้วย
พอเห็นนางไป๋หลี่ชูก็เอียงหน้าเล็กน้อย เหลือบมองด้วยสายตาอันจดจ่อและเย็นเยือก
“…” ชิวเยี่ยไป๋มองไปมองมาจู่ๆ ก็รู้สึกปากคอแห้งผากอย่างประหลาด คืนนั้นนางจัดการทรมานเขาเป็นยามเที่ยงคืน แสงสว่างน้อยมาก เทียบกับขณะนี้มิได้จึงไม่รู้สึกอะไร แต่กลิ่นอายบุรุษในขณะนี้ทำเอานางหายใจถี่
นางสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ลอบด่าตนเองว่าไม่รักดี แล้วหลุบตาลงกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดให้อภัย ข้าน้อยมิทราบว่าฝ่าบาทเพิ่งสรงน้ำเสร็จ”
เห็นปลายผมของเขายังเปียกชื้น จึงคิดว่าคงมิใช่กำลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ หากแต่เพิ่งเสร็จจากการชำระกาย
แต่จะว่าไปแล้วนางมิรู้ว่าเจ้าคนที่เป็นโรคกลัวความสกปรกผู้นี้กำลังอาบน้ำยังพอทำเนา เป็นไปไม่ได้ที่อีไป๋มิรู้ หรือไอ้หมอนั่นคิดว่าเจ้านายของตนเจอะกับผู้คนขณะร่างเปลือยเปล่าก็ไม่เป็นไร!
เสียงโหวงเหวงแต่น่าฟังของไป๋หลี่ชูดังขึ้นคล้ายยังกลั้วหัวร่อด้วย “เสี่ยวไป๋เขินหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋นึกถึงคืนนั้นที่ผลักไป๋หลี่ชูฟุบกับเตียงแล้วก็ไม่อยากคิดต่อ จึงสงบใจลงฉับพลัน
อืม…นางออกจะสำนึกเสียใจอยู่บ้างที่กระทำเช่นนั้น เพราะขณะนี้ดูแล้วมิได้บังเกิดผลจากการกำราบตามที่คาดไว้ ทั้งก็ยังบังเกิดผลร้ายในทางตรงข้าม
“ฝ่าบาท จะรับยาเมื่อใด วันนี้พระพันปีรับสั่งเรียกข้าน้อยเข้าเฝ้า แม้ฝ่าบาทจะทรงสั่งให้ข้าน้อยมาที่นี่ แต่ทางด้านพระพันปี…” ชิวเยี่ยไป๋จึงบอกตามตรงไปเลย
นางหยุดลงแล้วเสริมต่อ “ข้าน้อยมิได้ดื่มสุรามาสามวันแล้ว มิได้กินอะไรที่จะมีผลกระทบต่อโลหิตในกาย”
พูดจบนางพลันรู้สึกอึดอัด ตนเองเป็นเหยื่อที่ถูกบังคับเอาเลือด บัดนี้ทำไมจึงกลายเป็นคนกระหายใคร่อยาก จะให้เลือดกับเขาเองเสียแล้ว!
ไป๋หลี่ชูเห็นนางจู่ๆ ก็จิตตกจึงหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ไยต้องรีบร้อน พักที่นี่ก่อน ข้ายังต้องตระเตรียมบางอย่างอีกสามวันค่อยว่ากัน”
เขาหยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ต้องวิตกเรื่องพระพันปี”
ชิวเยี่ยไป๋งงงันและชักร้อนใจ “สามวัน ทำไมข้าถึงต้องอยู่สามวัน!”
ต่อให้พระพันปีจะสยบภายใต้อิทธิพลของเขา อาจไม่กล้าหาเรื่องหาราวกับตนตอนนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าเฝ้า อย่าว่าแต่ยังมีภารกิจที่เจิ้งจวินมอบหมายให้ด้วยเลย พวกกองคั่นเฟิงส่วนมากไม่เอาไหนเหมือนสัดใส่ข้าว นางจึงต้องหาคนของสำนักหอซ่อนกระบี่ช่วยจัดแจงบางอย่าง!
แต่ไป๋หลี่ชูเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เชื่อฟังข้านะ” รอยยิ้มนั้นเยียบเย็นพิลาสล้ำเหนือจินตนาการ ทำให้ใจของคนหนาวสะท้านไปทั้งดวง