ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1103+1104
บทที่ 1103 หลบหนี
หลงซือเย่เป็นวิชาหดกระดูก การปลอมแปลงเช่นนี้ของทั้งสองจึงดูแนบเนียนสมจริง ต่อให้เป็นพี่น้องของสองคนนั้นมาอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่แน่ว่าจะมองออก
หลงซือเย่กระทำการได้รอบคอบนัก เขายังหาตัวหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่รูปร่างไม่ต่างจากพวกเขาทั้งสองมากนักมาด้วย ทำให้พวกเขาสลบก็แยกไปวางไว้ในห้องขังและห้องส่วนตัวของกู้ซีจิ่ว ให้กู้ซีจิ่วแปลงโฉมพวกเขาด้วยเช่นกัน…
คนที่อยู่ในห้องขังถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นหลงซือเย่ หลังจากล่ามโซ่ตรึงวิญญาณชุดนั้นก็จัดให้นั่งพิงผนัง คล้ายว่ากำลังใคร่ครวญหรือเข้าฌานอยู่
ปกติแล้วยามที่หลงซือเย่ถูกขังไว้ที่นี่ แทบจะไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย และไม่ได้พบเห็นผู้ใดเลยตลอดทั้งวัน ดังนั้นขอเพียงปล่อยตัวปลอมไว้ที่นั่น ก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปเยี่ยมเยือนเขาอยู่ดี
มีเพียงคนที่อยู่ในห้องของกู้ซีจิ่วผู้นั้น ที่ถูกจัดวางไว้บนเตียง ท่าทางเหมือนคนหลับสนิทที่ติดป้ายห้ามรบกวนไว้ น่าจะไม่มีผู้ใดพบเห็นความผิดปกติได้ในระยะเวลาสั้นๆ
….
ทุกอย่างล้วนจัดการเรียบร้อยหมดแล้ ไม่มีจุดบกพร่องตรงไหนอีก ทั้งสองคนถึงได้เดินวางมาดออกมาจากในห้อง ระหว่างทางพบกับผู้คุ้มกันบางส่วน ล้วนทำความเคารพต่อพวกเขาอย่างนอบน้อมยิ่ง ทั้งสองก็ไม่ได้เผยพิรุธอันใดออกไป
เมื่อเดินผ่าอาคารทรงปิรามิดหลังนั้น กู้ซีจิ่วตั้งใจมองเป็นพิเศษ เนื่องจากที่นี่คือเขตหวงห้าม ตรงประตูมีผู้คุ้มอยู่สี่คนเท่านั้น ไม่มีเงาของผู้อื่นอยู่เลย
เดิมทีทั้งสองต้องเดินตรงไป ทว่าจู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เดินเลี้ยวไปทางประตูของปิรามิดหลังนั้น หลงซือเย่ตะลึงเล็กน้อย ส่งกระแสเสียงหาเธอ ‘เธอจะทำอะไร?’
กู้ซีจิ่วตอบอย่างตรงไปตรงมา ‘อยากรู้ จะไปดูสักหน่อย’
เธอคำนวณเวลาดูแล้ว โม่เจ้าเพิ่งจากไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เธอได้ยินเขาสั่งการลูกน้องเหล่านั้น บอกว่าออกไปหนนี้อย่างเร็วคือสองวัน ช้าหน่อยก็สามวันถึงจะกลับมา ดังนั้นไม่ต้องเกรงว่าเขาจะกลับมาจู่โจมสังหารอย่างกะทันหัน
ส่วนหลงฟั่นก็กำลังทำการวิจัยอย่างลืมกินลืมนอนอยู่ คนผู้นี้เมื่อทุ่มเทให้กับสิ่งใดแล้วจะหามรุ่งหามค่ำอยู่เสมอ ไม่น่าจะมีเวลาว่างออกมาเดินเตร็ดเตร่ ดังนั้นนอกจากพวกเขาจะหลบหนีได้แล้ว ยังสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วย…
ถึงแม้หลงซือเย่จะมึนงงอยู่บ้าง แต่เขายังคงตามมาอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าซย่า หัวหน้าจาง ลมอะไรหอบพวกท่านให้ดินมาถึงที่นี่ได้ขอรับ?” ผู้คุ้มกันทั้งสี่ค่อนข้างฉงน
กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง “ท่านเจ้าออกไปข้างนอก อีกทั้งที่นี่ก็แข็งแกร่งยากจะถูกตีแตกได้ พี่น้องทั้งหลายกังวลกันมานานถึงเพียงนี้ ควรได้ผ่อนคลายกันบ้าง ข้าเรียนรู้การละเล่นอย่างหนึ่งมากจากภายนอก จะสอนให้พวกพี่ชายเล่นดู สละเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น”
สี่คนนั้นคอยเฝ้าสถานที่แห่งหนึ่งอย่างขันแข็งอยู่ทุกวัน แต่ละวันยืนนิ่งเหมือนต้นไป๋หยาง ค่อนข้างเบื่อหน่ายยิ่งนักจริงๆ ยามที่ท่านเจ้าอยู่พวกเขาไม่กล้าเกียจคร้าน ยามนี้เมื่อหัวหน้ากล่าวเช่นนี้แล้ว พวกเขาไหนเลยจะไม่ตอบรับเล่า?
ปากบอกว่ามิกล้าๆ ทว่าสายตากลับมองดูกู้ซีจิ่วแล้ว รอให้เธอสอน
กู้ซีจิ่วหยิบไพ่สำรับหนึ่งออกมา สอนการละเล่นสมัยใหม่อย่างหนึ่งให้พวกเขา อย่างเช่นการทายหน้าไพ่
ระหว่างที่เล่นอยู่ กู้ซีจิ่วก็หลอกถามพวกเขาดูว่าที่แท้ในอาคารหลังนี้มีสิ่งใดอยู่กันแน่ ผลคือสี่คนนี้ก็ไม่ทราบเลยเช่นกัน ทราบเพียงว่าหลงฟั่นกับท่านเจ้าล้วนให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก และมีเพียงพวกเขาที่สามารถเข้าไปได้ คนอื่นแม้แต่คิดอย่าหวัง
กู้ซีจิ่วยิ่งรู้สึกว่าข้อวินิจฉัยของตนถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุนี้ระหว่างที่เล่นไพ่เธอจึงวางยาสี่คนนี้ ทำให้สี่คนนี้สติเลอะเลือนไม่รู้เนื้อรู้ตัว ให้พวกเขาทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเสมือนตอไม้เช่นเดิม
ประตูของ ‘ปิรามิด’ หลังนี้ย่อมเป็นตัวล็อคที่ต้องเข้ารหัสแบบพิเศษ แต่ในสายตากู้ซีจิ่วที่เป็นนักฆ่ามือฉมังแล้ว นี่ไม่คณามือเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือข้างกายเธอยังมีหลงซือเย่รู้ปูมหลังของหลงฟั่นดีอยู่ด้วย การเปิดที่นี่ก็เหมือนการล้วงหาของในกระเป๋าเท่านั้น…
ถึงแม้หลงซือเย่จะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเงียบงันปานกลัวทองจะร่วงเข้าไปใหญ่ แต่ก็ให้ความร่วมมือกับเธอตลอด
เห็นทีว่าสิ่งที่ซ่อนไว้ที่นี่จะสำคัญมากจริงๆ ด้านในปิรามิดแห่งนี้จึงติดตั้งกลไกไว้ไม่น้อยเลย ประหนึ่งเขาวงกตก็มิปาน หากเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านค่ายกลหลงเข้ามาในนี้ เดินดุ่มๆ ไปได้ไม่กี่ก้าวก็จะถูกลูกศรยิงใส่จนกลายเป็นเม่น หรือก็กลายเป็นแอ่งโลหิต…
ทั้งสองเดินลัดเลาะกลไกหลายจุดไปอย่างปลอดภัย ในที่สุดก็มาถึงส่วนใจกลางแล้ว มองเห็นโลงแก้วผลึกใบมหึมา แน่นอนว่ามองเห็นคนที่นอนอยู่ด้านในด้วย
อย่างไรเสียหลงซือเย่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เขาวนรอบโลงแก้วผลึกใบนั้นมองอยู่ครู่หนึ่งสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป “ร่างโคลนนิ่งที่มีพลังวิญญาณขั้นเก้าโดยกำเนิด!”
กู้ซีจิ่วกำหมัด เธอเดาไม่ผิดจริงๆ!
เธอเดินวอบรอบโลงแก้วผลึกใบนั้นเงียบๆ ในไม่ช้าก็ขมวดคิ้ว
ด้านในและด้านนอกของโลงแก้วผลึกใบนี้มีกลไกอยู่มากมาย อย่าว่าแต่ทำลายร่างโคลนนิ่งที่อยู่ในด้านในทิ้งเลย ต่อให้แตะถูกเพียงนิดก็เกรงว่าจะกระตุ้นให้กลไกส่งสัญญาณเตือนแล้ว ทำให้ร่องรอยของทั้งสองคนถูกเผย หนีไปไม่รอดแล้ว!
นี่เป็นโอกาสที่จะได้ผนึกมารร้าย หากว่าพลาดหนนี้ไปเกรงว่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
แต่ถ้าหากลงมือทำลาย ห้องวิจัยแห่งนี้ก็จะปิดล็อคอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าจะมีสิ่งของจำพวกที่พ่นควันพิษสังหารผู้บุกรุกทุกคนอยู่ด้วย หลงฟั่นและผู้คุ้มจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกย่อมตื่นตระหนก ด้วยสภาพของเธอกับหลงซือเย่ในตอนนี้ ความเป็นไปได้ที่หลบหนีออกไปอีกครั้งเท่ากับศูนย์…
ขณะที่กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หลงซือเย่ที่อยู่ด้านข้างพลันสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ถึงแม้จะทำลายร่างโคลนนิ่งร่างนี้ไม่ได้ แต่ฉันสามารถเติมส่วนผสมให้มันได้”
กู้ซีจิ่วมองเขา “ส่วนผสมอะไร?”
หลงซือเย่ไม่ตอบ เดินตรงไปที่ปลายอีกด้านของท่อเหล่านั้นที่เชื่อมต่อกับโลงแก้วผลึก ตรงนั้นมีบ่อยาปฏิชีวนะอยู่หลายบ่อ และยาที่อยู่ตรงนี้ก็ลำเลียงเข้าไปในท่อนั้นเป็นครั้งคราว ทั้งหมดล้วนหล่อเลี้ยงร่างโคลนนิ่งที่อยู่ด้านในโลงแก้วผลึก
หลงซืเย่นำตัวยาเหล่านั้นมาพินิจดูอย่างละเอียด คล้ายจะแยกแยะส่วนผสมด้านในอยู่ จากนั้นก็หยิบผงสีแดงอย่างหนึ่งอกมาจากร่างแล้วเติมเข้าไป
หลังจากผสมผงนั้นเข้าไปก็ไม่เห็นความผิดปกติอื่นใดเลย ย่อมไม่เป็นกรกระตุ้นกลไกด้านนอกและด้านในของโลงแก้วผลึก
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะร่ำเรียนวิชาแพทย์มา แต่เธอก็ไม่เข้าใจเทคโนโลยีโคลนนิ่งเลยจริงๆ ย่อมมองไม่ออกเช่นกันว่าส่วนผสมที่หลงซือเย่เติมเข้าไปคืออะไร
คงจะมองเห็นความสงสัยในแววตาของเธอ หลงซือเย่จึงกล่าวอธิบาย “ผงนี้คือ…” เขาค่อยๆ อธิบายหบักการให้เธอฟัง ด้วยเหตุนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เข้าใจสรรพคุณของผงนี้แล้ว
ผงนี้จะเข้าไปในระบบประสาทของร่างโคลนนิ่ง ค่อยๆ ทำลายเซลล์ประสาทช้าๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ไประยะหนึ่ง ต่อร่างโคลนนิ่งร่างนี้ฟื้นคืนชีพได้ก็จะเป็นสวะไร้พลังที่ตรงตามมาตรฐานชิ้นหนึ่ง ต่อให้เป็นร่างกายที่มีพลังวิญญาณขั้นเก่าแต่กำเนิด ก็ไม่สามารถควบคุมและใช้ออกมาได้ ถึงขั้นกลายเป็นอัมพาฒไปเลยด้วยซ้ำ…
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงนอยู่บ้าง “ทำไมคุณถึงพกของแบบนี้ติดตัว?”
หลงซือเย่เม้ริมฝีปากบางนิดๆ “ถ้าหาฉันบอกว่า ตัวยาพวกนี้ล้วนสร้างขึ้นเพื่อมอบให้เธอ เธอจะเชื่อไม่?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่เชื่อ!”
หลงซือเย่หลุบตาลง “ถ้างั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
เขาพกยาติดตัวไว้ไม่น้อย ล้วนเป็นตัวยาที่เขาคิดค้นขึ้นมาในระยะเวลาสองปีนี้ ไม่อาจตรวจจับความเป็นพิษได้ แต่เป็นพิษต่อคน ทำให้คนที่โดนยากจะป้องกันตัวเองนยามวิกฤตได้
กู้ซีจิ่วมองโลงแก้วผลึกใบนั้นอีกครา ปรารถนาจะเทน้ำกรดลงไปในนั้นยิ่งนัก!
แต่เธอก็มองเห็นอุปกรณ์วัดค่าปริมาณตัวยาต่างๆ ที่อยู่ด้านในโดยเฉพาะ หากเทสิ่งที่มีฤทธิ์กระตุ้นยิ่งนักลงไปเกรงว่าจะทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น…
ช่างเถอะ! หากว่าสิ่งที่หลงซือเย่พูดเป็นความจริง เช่นนั้นร่างโคลนนิ่งร่างนี้ก็นับว่าเป็นพิการทั้งเป็นครึ่งตัวแล้ว!
————————————————————-
บทที่ 1104 หนีไป
ช่างเถอะ! หากว่าสิ่งที่หลงซือเย่พูดเป็นความจริง เช่นนั้นร่างโคลนนิ่งร่างนี้ก็นับว่าเป็นพิการทั้งเป็นครึ่งตัวแล้ว! ทำให้เขาพิการอย่างเงียบๆ ได้ คาดว่าคงทำให้โม่เจ้าโกรธจนแทบกระอักเลือด
ต่อให้สิ่งที่หลงซือเย่พูดไม่เป็นความจริง ตอนนี้เธอก็ไม่มีวิธีอะไรอยู่ดี
เธอไม่ใช่แม่พระ และไม่ใช่คนบุ่มบ่าม เธอไม่อาจเอาชีวิตของเธอเข้าแลกเพื่อทำลายร่างโคลนนิ่งร่างเดียวทิ้งได้ ไม่คุ้มค่า!
อีกอย่างต่อให้ร่างโคลนนิ่งถูกทำลายทิ้งหลงฟั่นก็สร้างขึ้นใหม่ได้ เว้นแต่จะสังหารหลงฟั่นด้วย!
แต่ตอนนี้พลังวิญญาณของหลงฟั่นบรรลุขั้นสิบแล้ว หากปะทะกันซึ่งๆ หน้าเธอกับหลงซือเย่ร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ประกอบกับที่นี่เป็นถิ่นของหลงฟั่น หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน!
เธอไม่คิดจะโอ้เอ้ต่อไปแล้ว “ไปเถอะ พวกเราออกไปเร็วหน่อยดีกว่า!”
ตอนที่ทั้งสองคนออกมา สี่คนนั้นที่อยู่ตรงประตูยังยืนทื่อปานท่อนไม้อยู่ เมื่อพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองออกมาพวกเขาก็ราวกับมองไม่เห็น หลงซือเย่ดีดผงยาไปทางพวกเขาเล็กน้อย หนึ่งเค่อให้หลังพวกเขาก็ได้สติกลับมาอย่างแท้จริง แต่จำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น…
ระยะเวลาที่คนทั้งสองอยู่ในห้องวิจัยแห่งนี้ไม่นานนัก ประมาณสิบนาทีเท่านั้น เทพไม่รู้ผีไม่เห็นโดยแท้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังบ่อลาวาที่เป็นทางออก…
….
หลงฟั่นวางใจยิ่งนักจริงๆ สถานที่แห่งนี้คือฐานลับของเขา หากไม่มีพาหนะโดยสารพิเศษก็ไม่อาจเข้าออกได้ และคนที่สามารถมาที่นี่ได้ล้วนเป็นอัจฉริยะที่เขารวบรวมมาจากี่ต่างๆ ในหลายปีมานี้ ทุกคนต่างจงรักภักดีต่อเขา และถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเป็นตัวแปร แต่ถึงอย่างไรเธอก็สูญเสียความทรงจำไปแล้ว อย่างมากก็แค่รบเร้าอยากไปเล่นข้างนอก ไม่อาจเล่นลูกไม้อื่นได้
อีกอย่างที่นี่ก็มีหูตาอยู่มากมาย นางเองก็ไม่มีพิรุธอะไร
ดังนั้นหลังจากโม่จ้าวออกไป เขาก็แค่สังการให้คนสองสามคนที่จับตาดูอยู่ตื่นตัวให้มากหน่อย แล้วให้หัวหน้าผู้คุ้มกันกวดขันสักหน่อย เขาก็ไปทำวิจัยอย่างสบายใจเฉิบแล้ว
วันนี้ต้องทลายอุปสรรคด้านเทคนิคข้อหนึ่ง ขอเพียงเขาทลายอุปสรรคข้อนี้ได้ เขาก็สามารถยกระดับคุณสมบัติร่างโคลนนิ่งของท่านเจ้าได้อีกขั้นหนึ่ง ไม่ว่าอาจทำให้บรรลุระดับสิบได้!
ท่านเจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงสามารถเป็นร่มเงาให้เขาได้ ทำให้เขาได้ทำเรื่องที่ตนอยากทำต่อไปได้
วันนี้เขาทำงานอย่างลืมกินลืมนอนอยู่บ้าง ทุ่มเทจดจ่อกับการวิจัย แม้แต่ตอนที่กู้ซีจิ่วมาหาเขาก็ไม่มีเวลามาสนใจ
โชคดีที่เด็กสาวคนนี้ยังนับว่าเป็นเด็กดีอยู่ หลังป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขารอบหนึ่งก็ไม่รบกวนเขาอีก ออกไปเล่นด้วยตัวเอง
เขาทำวิจัยต่อไป เป็นเช่นนี้จนผ่านไปประมาณหนึ่งยาม เขาพบอุปสรรคเล็กน้อย จำเป็นต้องไปดูข้อมูลของร่างโคลนนิ่งในโลงแก้วผลึกใบนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าไปในห้องสังเกตการณ์…
ที่นี่มีห้องลับห้องหนึ่งอยู่ มีเพียงเขากับท่านเจ้าที่รู้ ภายในห้องลับสังเกตการ์สถานที่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือห้องวิจัยที่จัดวางร่างโคลนนิ่งของท่านเจ้าไว้
เรื่องการสร้างร่างโคลนนิ่งของท่านเจ้าเป็นความลับยิ่งนัก ต่อให้เป็นลูกน้องที่มีความสามารถที่สุดก็ยังไม่รู้ ดังนั้นห้องสังเกตการณ์นี้จึงเป็นห้องลับด้วย
เขามองที่นั่นอยู่ในห้องสังเกตการณ์นั้น ไม่พบเห็นสิ่งปกติใดๆ (ตอนนั้นพวกกู้ซีจิ่วออกไปแล้ว และไม่ได้ทำให้ข้าวของในห้องเสียหาย) เขาจึงดูข้อมูลที่ต้องการก่อน จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าร่างโคลนนิ่งร่างนั้นดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย…
สีหน้าดูไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่ก็แค่ไม่น่ามองเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรเสียอุปกรณ์ของยุคนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์ครบครันถึงเพียงนั้น ดังนั้นภาพที่แสดงบนจอภาพในห้องสังเกตการณ์จึงพอเห็นเป็นรุปเป็นร่างเท่านั้น ไม่ได้ละเอียดมากนัก
เขาก็ไม่ใคร่แน่ใจอยู่ชั่วขณะ ครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงตัดสินใจไปดูให้เห็นกับตาสักหน่อย
แต่เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ ‘ปิรามิด’ แห่งนั้นเขาก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้แล้ว
——————————————————-