ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1135+1136
บทที่ 1135 หลับใหล ยิ่งหลับเวลายิ่งยืดยาว
ต่อให้ถูกปล่อยออกไป บนร่างก็ไม่มีพลังวิญญาณให้ใช้อีกต่อไปแล้ว
มือนี้ของเขากล่าวได้ว่ามีพิษร้ายแรงยิ่ง เขาถูกไอพิษทำลายจุดชีพจรทำให้เขาใช้วิญญาณไม่ได้ก่อน จากนั้นก็ใช้ตรวนสลายวิญญาณค่อยๆ สลายพลังวิญญาณของเขา เห็นได้ชัดว่าคิดจะทำให้ตี้ฝูอีกลายเป็นสวะไร้พลังโดยสมบูรณ์…
โม่เจ้าผู้นี้ยังคงกระทำการอย่างรอบคอบยิ่งนัก เขาทราบว่าในบรรดาร้อยกว่าคนที่เขาพาออกไปจะต้องมีคนของตี้ฝูอีแทรกซึมเข้ามาแน่นอน เขาไม่ได้ให้พวกเขาไปทำภารกิจใดต่อแต่นำพวกเขาทั้งหมดไปขังไว้ในโถงใหญ่ห้องหนึ่ง โถงใหญ่แห่งนี้เปรียบเสมือนคุก ทั้งสี่ด้านเป็นเนื้อเดียวกันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม่แต่ช่องหน้าต่างก็ไม่มี มีประตูเล็กๆ เพียงบานเดียวเท่านั้น เข้าออกได้ทีละหนึ่งคน จากนั้นเขาก็ตรวจสอบด้วยตัวเองทีละคน
เนื่องจากเขาตรวจสอบอย่างละเอียดยิ่งนัก ย่อมเชื่องช้ามากเป็นธรรมดา กว่าจะตรวจสอบกว่าหนึ่งร้อยคนจนเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยไปห้าวันแล้ว
คนที่แปลกๆ เขาก็ตรวจสอบดูอีกรอบ และพบว่าไม่มีคนของตี้ฝูอีอยู่เลย…
เขาโล่งอกเป็นล้นพ้น อีกทั้งรู้สึกว่าผิดปกติ ด้านในต้องมีปลาที่หลุดลอดแหอยู่แน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงจัดให้ลูกน้องอีกหลายคนรั้งอยู่ที่นี่ต่อเอรับการตรวจสอบอีกรอบ
ซ้ำยังให้คนสร้างมาตรการร้องเรียนความประพฤติขึ้นด้วย หากพฤติกรรมผิดแผกไปสักนิด คนที่คุ้นเคยกับเขาก็สามารถมาร้องเรียนได้ เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีไส้ศึกอีก
ถึงแม้วิธีคัดกรองเช่นนี้ของเขาจะพอรบประกันได้บ้าง แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการร้องเรียนความประพฤติ คนที่ปกติแล้วไม่ถูกกันมีเรื่องบาดหมางเล็กๆ น้อยๆ ก็ฉวยโอกาสใส่ไคล้ร้องเรียนผู้อื่น…
ในบรรดานี้มีผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นไส้ศึกจึงถูกประหารเสีย
มาตรการเช่นนี้ย่อมก่อให้ลูกน้องเหล่านี้ไม่พอใจ โดยเฉพะลูกน้องที่ถูกขังไว้ในโถงใหญ่ห้องนั้นตลอด ความคับข้องใจยิ่งหนักหนาขึ้น เดิมทีพวกเขาเป็นหัวกะทิของตำหนักใต้ดินแห่งนี้ ยามนี้ไม่เพียงแต่ถูกสงสัยอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น ยังถูกแบ่งแยกอีกด้วย
เดิมทีหน่วยสำคัญในตำหนักใต้ดินเหล่านั้นเป็นเขตอิทธิพลของพวกเขา ทว่ายามนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะเข้าไป!
พวกเขาไม่พอใจแต่ด้วยกริ่งเกรงพลังอำนาจของโม่เจ้า พวกเขาจึงไม่กล้าเปิดเผยออกมา แต่ก็เริ่มมีใจออกห่างแล้ว…
ภายในตำหนักใต้ดินดูคล้ายว่าจะสงบสุข ทว่าภายในกลับมีคลื่นใต้น้ำแล้ว
ส่วนหลงฟั่นถึงแม้รับบาดเจ็บ แต่เคราะห์ดีที่ตัวเขาเองก็เป็นหมอ สามารถดูแลรักษาตัวเองได้ ผ่านไปสองวันก็เริ่มทำงานได้ตามปกติแล้ว
สืบเนื่องมาจากบทเรียนในครั้งก่อนที่กู้ซีจิ่วทำลายกล้องวงจรปิดแล้วหลบหนีไป หลงฟั่นจึงสร้างห้องสังเกตการณ์ขึ้นอีกในห้องของตนกับโม่เจ้า เช่นนี้ต่อให้ห้องสังเกตการณ์ด้านนอกถูกทำลาย แต่ห้องสังเกตการณ์ทั้งสองห้องที่อยู่ข้างในจะไม่เสียหายไปด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลงซือเย่ถูกคุมขัง ในห้องเล็กๆ แห่งนั้นไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ ถึงเป็นการเปิดโอกาสให้หลงซือเย่หนีออกไปได้
ครั้งนี้เมื่อจับตัวตี้ฝูอีแล้ว ย่อมได้รับบทเรียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในห้องที่คุมขังเขาไว้จึงติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้สี่ตัว หนึ่งมุมต่อหนึ่งตัว สังเกตการณ์เขาได้รอบด้านโดยไร้จุดอับสายตา
ทุกๆ วันโม่เจ้าจะมาดูตี้ฝูอีในห้องสังเกตการณ์อยู่หลายรอบ เขารู้สึกว่าการได้เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ทุกข์ทรมานอยู่ที่นั่นค่อนข้างเจริญอาหารนัก แม้กายจิตของเขาจะไม่ต้องกินสิ่งใด แต่การที่เห็นตี้ฝูอีเป็นเช่นนั้นเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนได้กินโสมคนก็มิปาน
ตี้ฝูอีถูกล่ามไว้ที่นั่น ถึงแม้จะดูสงบนิ่งยิ่งนักอยู่ตลอด แต่สีหน้าของเขากลับซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ กำลังวังชาก็ถดถอยเซื่องซึมลงเรื่อยๆ
เริ่มแรกที่ถูกขังไว้ เขาเคยลองฝึกฝนอยู่ในคุกแล้ว ผลคือยิ่งฝึกพลังวิญญาณยิ่งถูกสลายเร็วขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหตุนี้ภายหลังเขาจึงไม่ฝึกฝนแล้ว
คนผู้หนึ่งถูกขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยมตลอด ย่อมเบื่อหน่ายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงเริ่มหลับใหล ยิ่งหลับเวลายิ่งยืดยาว ยิ่งหลับความง่วงงุนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ยิ่งหลับก็ยิ่งทรุดโทรมลงเรื่อยๆ
———————————————
บทที่ 1136 โรคแอบแฝง
เมื่อตี้ฝูอีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่ามีคนคู่หนึ่งอยู่เบื้องหน้าเขา
บุรุษสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีเขียวอ่อนปักลายวารีไหลริน เครื่องหน้าดั่งสลักเสลา แววตาลึกล้ำ บุคลิกสุภาพสง่างาม พัดจีบในมือโบกไหวสเมือนเขาเขียวธารใส เป็นโม่เจ้านั่นเอง
ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายเขารูปโฉมงดงามปานบุปผาที่เจิดจ้าที่สุดบนโลกใบนี้ บุคลิกเยือกเย็น สวมชุดกระโปรงยาวแบบเดียวสีเดียวกับของโม่เจ้า คิ้วตาอ่อนละมุน ในมือกุมขลุ่ยไผ่เลาหนึ่งไว้ เป็นกู้ซีจิ่ว
นางคล้องแขนโม่เจ้าไว้ดุจนกน้อยที่อิงแอบแนบซบคน กำลังเอียงคอมองเขาที่นอนอยู่บนเตียงหิน ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นคล้ายจะค่อนข้างสนใจใคร่รู้
สายตาของตี้ฝูอีตกลงบนแขนเขาที่นางเกาะเกี่ยวไว้ เท่าที่เขารู้ ถึงแม้กายจิตของโม่เจ้าจะแข็งแกร่ง ดูเหมือนก่อตัวเป็นร่างเนื้อได้ และสามารถสำแดงกระบวนท่าที่ร้ายกาจยิ่งนักได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพียงกายจิต หากมีคนสัมผัสตัวเขาเข้าจริงๆ คนผู้นั้นจะทะลุผ่านร่างเขาไป ไม่มีทางแตะต้องเขาได้ บ้างก็ถูกพลังจากดวงวิญญาณของเขาแช่แข็ง ร่างกายแข็งทื่อไปทันที
แต่ยามนี้สองคนนั้นยื่นเกาะเกี่ยวกันอยู่ตรงนั้น กู้ซีจิ่วไม่ตะขิดตะขวงเลยสักนิด
ตอนนี้โม่เจ้ามีร่างเนื้อแล้ว! ไม่ใช่กายจิตอีกต่อไป!
แววตาตี้ฝูอีคมปลาบ ในที่สุดก็มองข้อนี้ออก เพียงแต่ยามนี้สิ่งที่เขากังวลใจไม่ใช่เรื่องนี้ หลังจากมองโม่เจ้าแวบหนึ่งสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างกู้ซีจิ่ว
ท่าทางของนั้นผิดไปจากปกติอย่างเห็นได้ชัด!
แววตาของตี้ฝูอีดำดิ่งลงในชั่วพริบตา “โม่เจ้า เจ้าทำอะไรนาง?!”
โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ “ไม่ได้ทำอะไรนี่ นางเป็นว่าที่ภรรยาของข้า ข้าทำร้ายนางไม่ลงหรอก แล้วจะทำอะไรนางได้อย่างไร?” พลางตบมือน้อยของกู้ซีจิ่วเบาๆ “ซีจิ่ว ข้าปวดไหล่นิดหน่อย…”
กู้ซีจิ่วปรากฎสีหน้าวิตกทันที ดึงให้เขานั่งลงบนม้านั่งหินตัวหนึ่ง ยืนอยู่เบื้องหลังเขาทุบไหล่ให้เขาอย่างกระตือรือร้น กำปั้นน้อยๆ ทุบขึ้นทุบลง เรียวแรงกำลังพอดีไม่หนักไม่เบา โม่เจ้าพริ้มตาลงนิดๆ อย่างพอใจ ดูสำราญอย่างยิ่ง
สายตาของตี้ฝูอีมองกำปั้นน้อยๆ ของกู้ซีจิ่ว มองนางทุบขึ้นทุบลง ริมฝีปากบางเม้มแน่น!
โม่เจ้าลืมตาขึ้น หันไปสั่งการกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข้ากระหายเล็กน้อย…”
กู้ซีจิ่วหันหลังวิ่งออกไปทันที “ข้าจะไปชงชาให้ท่าน”
ตี้ฝูอีเงียบงัน
เขามองโม่เจ้าอย่างเยียบเย็น “เจ้าใช้ยากับนาง! โม่เจ้า เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ทำอันตรายนางไปชั่วชีวิต! เจ้าไม่กร่งเกรงคำสาบานงั้นรึ?”
โม่เจ้าดีดแขนเสื้อตนคราหนึ่งอย่างไม่อินังขัง ขอบ “ข้าแค่ลบล้างความทรงจำทั้งหมดของนางไปจนสิ้นแล้วเท่านั้น ความทรงจำในชาติก่นเหล่านั้นของนางเลวร้ายเกินไป ทำให้นางป็นทุกข์ตรม ยามนี้เป็นเช่นนี้ดีแล้ว นางเป็นคนใหม่อย่างสมบูรณ์ แถมยังชอบเพียงข้า ใส่ใจเพียงข้า ข้าก็ไม่ได้ทำอันตรายนางนี่ กลับกันเสียด้วยซ้ำ ร่างกายของนางในยามนี้แข็งแรงอย่างยิ่ง และมีความสุขยิ่งนักทุกวัน เช่นนี้มิใช่เป็นการดีที่สุดสำหรับนางหรอกหรือ?”
ดีกับผีน่ะสิ! กู้ซีจิ่วในตอนนี้เหมือนหุ่นกลไกตัวหนึ่ง ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลย นี่เรียกว่าดีหรือ?
โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ มองดูเขา “ตี้ฝูอี หรือเจ้ามองไม่ออกว่าข้ามีตรงไหนที่ต่างไปจากเดิม”
ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ “แค่สวมใส่ถุงหนังเหม็นโฉ่ใบหนึ่งเท่านั้น มีอันใดควรค่าให้เจ้าปรีดากัน?”
โม่เจ้าพูดไม่ออกเลย
ผ่านไปครู่หนึ่งกู้ซีจิ่วก็หิ้วกาน้ำชาชุดหนึ่งเข้ามา ถึงขั้นที่หิ้วเตาดินเผาเล็กๆ ใบหนึ่งเข้ามาด้วย นั่งลงตรงนั้นเริ่มทำการชงชา ดวงตาของนางหลุบต่ำ ทุกขั้นตอนล้วนทำอย่างจริงจังยิ่ง ราวกับยามนี้ในชีวิตนางเหลือการชงชานี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
———————————————-