ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1263+1264
บทที่ 1263 เช่นนี้…ก็ดีแล้ว…
ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา เอ่ยเพียงประโยคเดียวด้วยเสียงลุ่มลึก “สามวันก่อนนางเคยพักแรมอยู่ที่นี่!”
มู่เฟิงเงียบงัน สามวันก่อนเคยพักแรมอยู่ที่นี่ แต่ระยะเวลาสามวันก็เพียงพอให้แม่นางกู้ผู้นี้หนีไปสุดขอบโลกได้แล้ว!
เพียงแต่ ดีร้ายอย่างไรก็ยืนยันได้ว่านางเคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน ต้องลองใช้ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลาง แล้วค้นหาไปรอบๆ ดูอีกครั้ง มู่เฟิงปล่อยนกสืบรอยออกมาสี่ตัว ให้พวกมันดมกลิ่น ผลคือนกสืบรอยทั้งสี่ตัววินบนปานแมลงวันหัวขาด และไม่ได้ออกไปเลยสักตัว
ชัดเจนยิ่งนักว่ากู้ซีจิ่วกับสัตว์เลี้ยงทั้งสามของนางหายไปจากจุดเดิม
ดังนั้นการใช้วิชาเคลื่อนย้ายหนีไปจึงเป็นเรื่องน่าชังที่สุด!
ทำให้ผู้อื่นไม่อาจไล่ตามได้ การค้นหาเช่นนี้ก็เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร มู่เฟิงมองป่าดงดิบที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ กลุ้มใจเหลือเกิน…
นิ้วมือของตี้ฝูอีที่อยู่ในแขนเสื้อก็กำแน่นเช่นกัน วิชาเคลื่อนย้ายของสาวน้อยคนนี้ช่างทำให้ผู้อื่นระอาโดยแท้ ทำให้เขารู้สึกไร้กำลังอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน…
เขาไม่พูดอะไร ในรัศมีห้าลี้ของสถานที่แห่งนี้เขาเคยค้นหาอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบร่องรอยอื่นๆ เลน
เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พลิกข้อมือขึ้นมา แหวนทับทิมวงหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
แหวนวงนี้เป็นแหวนที่เขาสวมไว้บนนิ้วของนางตอนที่ขอกู้ซีจิ่วแต่งงาน จำได้ว่าตอนนั้นนางดีใจยิ่งนัก และตอนอยู่ร่วมกับเขาที่วังค้ำนภา เขามักจะเห็นนางมองแหวนวงนี้แล้วยิ้ม ยิ้มเหมือนเด็กน้อยที่ได้กินลูกกวาด
แต่ครั้งนี้ตอนที่นางจากไป กลับทิ้งแหวนวงนี้ไว้ แม้แต่ข้าวของพวกนั้นที่เขาเคยมอบให้นาง ก็ถูกใส่ไว้ในถุงเก็บของใบนั้น ยัดใส่แขนเสื้อขององครักษ์ลับที่ถูกนางจับไว้ ให้ส่งมอบแก่เขา
เขาหลับตาลงเล็กน้อย มุมปากหยักยิ้มขมขื่น นางปล่อยวางได้สง่างามกว่าเขาเสมอมา และตัดเยื่อเยื่อได้หมดจดกว่าเขา…
บางทีความรักของนางอาจไม่ได้มากมายเช่นที่เขาคิดไว้
เช่นนี้…ก็ดีแล้ว…
มู่เฟิงเห็นเขามองแหนวงนั้นอย่างเหม่อลอย ก็ไม่กล้ารบกวนชั่วขณะ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าบนร่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในยามนี้มีความโศกศัลย์อย่างหนึ่งอยู่
เคราะห์ดีที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ใจลอยนานนัก เขาเริ่มทำมุทรา แสงเจ็ดสีผุดออกมาจากปลายนิ้ว ที่ผุดออกมาพร้อมกับแสงเจ็ดสียังมีมุกโลหิตสีแดงฉานเป็นพิเศษด้วย มุกโลหิตก่อตัวเป็นแอ่งโลหิตกลางฝ่ามือเขา ห่อหุ้มแหวนวงนั้นไว้…
มู่เฟิงมองอย่างตกตะลึง ไม่กล้าหายใจแรงเลย
โลหิตที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หลั่งออกมาครานี้มิใช่โลหิตธรรมดา พอผุดออกมาก็ทำให้เกิดกลิ่นหอมประหลาดอบอวลอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมพิสดารนี้คล้ายสมุนไพรคล้ายบุปผา ทำให้คนสดชื่น แม้แต่มู่เฟิงที่หนักแน่นถึงเพียงนี้ก็ยังรู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่นอยู่บ้าง ปรารถนาจะโผเข้าไปกัดสักสองคำยิ่งนัก เสียงกู่ร้องแว่วมาจากสี่ทิศ เห้นได้ชัดว่ามีสัตว์ร้ายที่ต้านทานความเย้ายวนใจของกลิ่นหอมพิสดารนี้ไม่ไหว ตามกลิ่นมาแล้ว…
มู่เฟิงไม่เกรงกลัวสัตว์ร้าย ที่นี่คือยอดเขาที่หก สัตว์ร้ายจะดุร้ายสักเพียงใดอยู่ในมือเขาก็เป็นเพียงของหวานจานหนึ่ง!
เพียงแต่เกิดอะไรขึ้นกับโลหิตนี้?
ในอดีตท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เคยหลั่งโลหิตเช่นกัน แต่โลหิตนั้นไม่ได้หอมหวนมอมเมาผู้คนถึงเพียงนี้…
หัวใจของมู่เฟิงเต็มไปด้วยความฉงน ทว่ายามที่เขาเห็นสีหน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกไม้ดีเหลือเกิน!
หนก่อนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถูกตรวนสลายวิญญาณล่ามไว้นานถึงเพียงนั้น สีหน้าก็ยังไม่ซีดขาวขนาดนี้ลย! โลหิตนี้ของเขาเป็นโลหิตอันใดกันแน่?!
มู่เฟิงตัดสินใจในทันใด ยอมทุ่มกับความเสี่ยงที่จะถูกท่านทพศักดิ์สิทธิ์ลงทัณฑ์ก้าวเข้าไปทันที “นายท่าน นี่ท่านทำอะไรอยู่ขอรับ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่นใจเขา โชคดีที่เมื่อแอ่งโลหิตกลางฝ่ามือเขามีขนาดประมาณสุราจอกหนึ่งแล้ว หยาดโลหิตก็หยุดหลั่งรินในที่สุด บักนี้โลหิตนั้นท่วมมิดแหวนวงนั้น จากนั้นก็ลอยขึ้นแล้วพลิกหมุนอยู่กลางฝ่ามือเขา…
หมุนอยู่ครู่หนึ่งก็ผละจากฝ่ามือของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ลอยขึ้นสู่อากาศกลายเป็นยันต์โลหิตนับไม่ถ้วน ยันต์โลหิตนั้นเหินลอยขึ้นสู่นภา….
ผ่านไปครู่หนึ่ง กลางฟากฟ้าก็ปรากฏมวลหมดสีโลหิต และเกิดเสียงอัศนีคำรามขึ้นคราหนึ่ง พิรุณโลหิตสีแดงอ่อนโปรยปรายลงมา!
————————————————————————————-
บทที่ 1264 ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานางให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทั้งป่าคล้ายจะเดือดพล่านขึ้นมา สัตว์ร้ายมากมายในป่ากระโดดโลดเต้น อ้าปากกว้างรับหยาดฝนสีโลหิตอย่างตะกละตะกลาม
ส่วนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับลอยพลิ้วขึ้น มือทำมุทรา มีน้ำเสียงเสมือนระฆังรุ่งสางกลองพลบค่ำแว่วออกไป “รับโลหิตข้า ฟังคำสั่งข้า ตามหาคนที่โลหิตที้นำ…”
แหวนวงนี้เคยเป็นสิ่งที่นางชอบที่สุด และนางสวมติดกายเป็นเวลานาน บนแหวนจึงมีกลิ่นอายของนางอยู่มากพอ ทั้งยังมีโลหิตเทพของเขาเป็นสื่อชักนำ สัตว์ร้ายทั้งหมดในป่าทมิฬที่ดื่มพิรุณโลหิตของเขาเข้าไป ล้วนต้องช่วยเขาตามหาคน…
ขอเพียงกู้ซีจิ่วยังอยู่ในป่าทมิฬแห่งนี้ จะต้องถูกสัตว์ร้ายเหล่าหาตัวพบ และส่งข่าวมาให้เขา
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาก็ค่อยๆ ร่อนลงมา ร่างส่ายโงนเงนเล็กน้อย ทรุดลงนั่งบนโขดศิลาเขียวก้อนหนึ่ง หยิบลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาแล้วกินเข้าไป
มู่เฟิงมองผิวเขาที่ขาวราวกับจะโปร่งแสง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตัวคนแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้เขารู้สึกคล้ายกระเบื้องเคลือบชนิดหนึ่ง เสมือนลมพัดคราหนึ่งก็ปลิวแล้ว
เขาถูกความคิดที่ผุดขึ้นมากะทันหันนี้ทำให้ตกใจ ส่ายหนาเล็กน้อย ทำไมเขาถึงมีความคิดที่ไม่เข้าท่าแบบนี้กันนะ?
แต่ไหนแต่ไรมาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนแข็งแกร่งที่สุด ไม่เคยมีผู้ใดเอาชนะเขาได้ เมื่อเขาโกรธเกรี้ยว สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้ แล้วจะเปราะบางเฉกเช่นกระเบื้องเคลือบไปได้อย่างไร? สองวันมานี้ตนคงจะตามคนจนเลอะเลือนไปแล้ว ถึงได้มีความคิดที่ไม่เข้าท่าเช่นนี้
หลังจากตี้ฝูอีกินยาลูกกลอนเข้าไปก็เริ่มนั่งสมาธิเงียบๆ มู่เฟิงก็คุ้มกันอยู่ข้างกายเขา
เป็นเช่นนี้จนผ่านพ้นไปหนึ่งชั่วยาม ตี้ฝูอีจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน
เขาไม่ได้รับข่าวใดๆ จากเหล่าสัตว์เลย กล่าวอีกอย่างก็คือ นางไม่ได้อยู่บนยอดเขาใดๆ ในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ดเลย!
เช่นนั้นนางไปที่ใดกัน?
หรือว่าออกจากป่าทมิฬไปแล้ว?
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สั่งการมู่เฟิงที่อยู่ข้างกาย “เจ้าออกไปสั่งการองครักษ์ลับทั่วทวีป ให้ตามหาที่อยู่ของนาง”
นอกเสียจากนางจะหาสถานที่เหมือนตำหนักลับใต้ลาวาของโม่เจ้าพบ มิเช่นนั้นขอเพียงนางออกจากป่าทมิฬแห่งนี้ไปก็จะถูกองครักษ์เงาเหล่านั้นของเขาหาตัวพบ…
มู่เฟิงตอบรับคราหนึ่งแล้วจากไป
ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานางให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
….
เมื่อเทียบกับความเป็นเดือดเป็นร้อนของตี้ฝูอีแล้ว วันเวลาของกู้ซีจิ่วในสองวันมานี้กลับผ่านไปอย่างราบรื่น
เธออยุ่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นชั่วคราว
อย่างไรเสียก็เข้าแล้วออกไม่ได้ ผู้คนของที่นี่ก็ค่อนข้างมีอัธยาศัยไมตรี แน่นอน เนื่องจากคนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นสานุศิษย์มาก่อน จึงมีความสามารถหลายด้านนัก ในกระดูกยังคงมีความทระนงยิ่งนักอยู่ แต่ละคนล้วนจองหองยิ่ง มักจะประชันขันแข่งกันเองอยู่บ่อยครั้ง สู้กันจนเกิดความโกลาหลขึ้น
แน่นอนว่ามีขอบเขตในการประลอง ไม่ได้สู้กันจนถึงชีวิตจริงๆ เมื่อประลองเสร็จก็กอดไหล่เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน
กู้ซีจิ่วอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้วันเดียวก็ทราบจำนวนประชากรของที่นี่อย่างชัดเจนแล้ว มีสตรีแปดคน บุรุษสามสิบสองคน ระยะเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่เท่ากัน บางคนก็เป็นผู้เฒ่าที่อยู่มาแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว และบางคนก็เป็นคนหนุ่มสาวที่เพิ่งมาได้สองสามปี
ที่นี่เป็นเมืองลับแลที่ปิดกั้นจากโลกภายนอก ตอนแรกที่คนเหล่านี้มาถึงที่นี่ ยังคงคิดหาจะออกไปอยู่ตลอด แต่หลังจากชนกำแพงหลายครั้งเข้าก็หมดหวังไปแล้ว ที่นี่เปรียบเสมือนหม้อเหล็กใบหนึ่ง พวกเขาเหล่านี้ล้วนถูกขังไว้ในหม้อ แม้แต่รูให้หนูลอดก็หาไม่พบเลย
ในเมื่อออกไปไม่ได้เช่นนั้นย่อมต้องใช้ชีวิตต่อไป โชคดีที่สภาพแวดล้อมของที่นี่ยังนับว่าผาสุก ใบไม้บนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมีสรรพคุณที่พิเศษยิ่งนักอย่างหนึ่ง หลังจากเด็ดใบลงมาขยำหลายๆ ครั้งแล้วทุบ ก็จะได้เป็นผ้าสีเงินบางๆ ใช้ผ้าชนิดนี้มาตัดเย็บเสื้อผ้าไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้นยังไม่สกปรกง่ายๆ ด้วย และใส่สบายยิ่งนัก
————————————————————————————-