ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1265+1266
บทที่ 1265 เดินไปทางไหนล้วนเป็นดั่งองค์หญิง
ต้นไม้ใหญ่ออกผลทั้งปี ผลที่ออกมาคล้ายมะพร้าวจริงๆ น้ำผลไม้อุดมไปด้วยสารอาหาร เนื้อผลไม้หวานฉ่ำ เอาไปตากแห้งเหมือนพืชผักได้
ด้านหลังหมู่บ้านแห่งนี้มีภูเขาเล็กๆ อยู่ลูกหนึ่ง บนเขามีสัตว์เลี้ยงอยู่ไม่น้อย สัตว์ร้ายเหล่านี้กินคนด้วย แต่เนื้อของพวกมันก็เลิศรสมากเช่นกัน ผู้คนที่นี่มักจะจับกลุ่มออกไปล่าสัตว์อยู่เสมอ ล่าสัตว์กลับมาให้คนทั้งหมู่บ้านได้ลิ้มรสชาติเนื้อ
เนื่องจากมีผู้หญิงน้อย ดังนั้นจึงถูกผู้ชายกว่าสามสิบคนในหมู่บ้านทะนุถนอมเอ็นดู
แน่นอนว่าพวกเขามีอิสระในการอยู่กินเป็นสามีภรรยา สตรีทั้งแปดคนในหมู่บ้านแต่งงานไปแล้วหกคน สตรีที่เหลืออีกสองคนจึงเนื้อหอมนัก เดินไปทางไหนล้วนเป็นดั่งองค์หญิง
สรุปคือ วิถีชีวิตของที่นี่ก็เหมือนชนเผ่าดึกดำบรรพ์ที่เล่าขานกัน โดยทั่วไปทุกคนเสมอภาคกัน แบ่งหน้าที่แตกต่างกัน ตัดเย็บเสื้อผ้าเอย ล่าสัตว์เอย เก็บเกี่ยวเอย วันเวลาก็นับว่าผ่านไปอย่างสงบสุข
มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ผู้คนที่เสียดายคือ สามีภรรยาที่ผูกสัมพันธ์กันที่นี่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ เป็นเช่นนี้อยู่นานหลายปี ที่นี่ก็ไม่มีเด็กน้อยถือกำเนิดขึ้นเลย
คุณชายวัยหนุ่มที่นั่งรถเข็นผู้นั้นเปรียบเสมือนหัวหน้าเผ่าของที่นี่ ทุกคนเลื่อมใสเขายิ่งนัก
รูปโฉมของเขาหล่อเหลาอย่างที่ยากจะพบพาน เป็นที่นิยมยิ่งนักในหมู่หญิงสาว หลายปีมานี้ในบรรดาสตรีทั้งแปดนางมีอยู่เจ็ดนางที่ทอดสะพานให้เขาอย่างเจตนาและมิเชิงเจตนา แต่เขาล้วนปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาไม่คิดจะแต่งงาน มุ่งมั่นเพียงฝึกฝนวรยุทธ์เท่านั้น
เขาฉลาดอย่างยิ่ง อีกทั้งมีไหวพริบสูง เป็นผู้บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าคนแรกของหมู่บ้านนี้
เพียงแต่เขาเดินไม่ได้จริงๆ ขาทั้งสองข้างไม่มีความรู้สึกอย่างสมบูรณ์ เดินทางโดยการนั่งรถเข็นอยู่เสมอ แต่ยามที่พบพานอันตรายเข้าจริงๆ เขาซัดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปก็สามารถแล่นฉิวผ่านอากาศไปได้แล้ว
เนื่องจากภูเขาด้านหลังมีสัตว์ร้ายอยู่มาก แถมส่วนใหญ่ยังเป็นสัตว์ระดับหกขึ้นไปอีกด้วย บางครั้งสัตว์ร้ายเหล่านี้ฝ่ากลไกด้านนอกเข้ามาโจมตีภายในหมู่บ้านได้ ก่อระลอกคลื่นโหมกระหน่ำขึ้น…
เขาเข้าใจค่ายกล ซ้ำยังรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ปกติแล้วถ้าคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บอันใด ล้วนเป็นเขาที่ลงมือรักษา เนื่องด้วยเรื่องเหล่านี้ เขาจึงได้รับความเคารพนับถือจากทุกคนยิ่งนัก
เนื่องจากการปรากฏตัวของกู้ซีจิ่วพิสดารอยู่บ้าง ดังนั้นเริ่มแรกผู้คนในหมู่บ้านยังค่อนข้างต่อต้านเธออยู่ แต่ภายหลังเมื่อได้ยินเธอบอกเล่าเรื่องราวของโลกภายนอก และลองหยั่งเชิงเธออยู่หลายครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่ภูตพรายอันใด และแล้วก็ยอมรับเธอ
หญิงสาวของที่นี่มีน้อยจนน่าสงสาร เมื่อมีเด็กสาวโฉมงามอย่างกู้ซีจิ่วเข้ามา ย่อมเป็นที่ต้อนรับขับสู้อย่างยิ่ง
ไม่ต้องมีคำสั่งจากคุณชายวัยหนุ่มคนนั้น ผู้คนมากมายก็แย่งกันสร้างกระท่อมพิเศษเช่นนั้นให้เธอแล้ว..
ยังมีคนที่นำผลไม้กับเนื้อสัตว์มามอบให้เธอด้วย ถึงขั้นที่มีบุรุษท่าทางยังหนุ่มคนหนึ่งมอบกำไลหยกมันแพะที่เก็บรักษาอย่างดีไว้หลายปีให้เธอด้วย บอกว่าสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เอาใจเธอสารพัดวิธี
กู้ซีจิ่วมีเงามืดต่อสิ่งของจำพวกกำไล ตอนนี้บนข้อมมือเธอเหลือเพียงหยกนภาเท่านั้น ไม่ต้องการกำไลใดๆ อีก
หยกนภาเป็นหยกเนื้อดีชิ้นหนึ่ง ยามนี้ถึงแม้มันจะสื่อสารกับกู้ซีจิ่วไม่ได้ แต่นิสัยที่ชอบเป็นหนึ่งไม่มีสองยังไม่เปลี่ยนไป ชอบหึงหวง มันรู้สึกว่าเจ้านายมีมันเป็นกำไลวงเดียวก็พอแล้ว กำไลอื่นๆ ล้วนสมควรถูกโยนทิ้ง
กำไลคู่บุพเพในคราก่อนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเจ้านายถอดออดไม่ได้
หยกนภาแอบกระทบกระแทกเจ้ากำไลคู่บุพเพวงนั้นอยู่หลายครั้ง หลังจากไม่อาจกระแทกอีกฝ่ายให้บุบสลายได้ ทำได้เพียงยอมรับกำไลคู่บุพเพวงนั้นอย่างยอมรับชะตากรรม
แต่ในใจยังคงหงุดหงิดอยู่บ้าง โดยเฉพาะยามที่เห็นเจ้านายมองเจ้ากำไลวงนั้นแล้วยิ้มออกมาอย่างโง่งม มันก็ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตำแหน่งของมันถูกแทนที่เสียแล้ว!
————————————————————————————-
บทที่ 1266 เป็นดั่งเครื่องยืนยันไมตรีอย่างหนึ่ง…
ต่อมาเจ้านายถูกสลับร่าง ถึงแม้เจ้ากำไลคู่บุพเพผีสางวงนั้นจะไม่ได้ติดตามนางมาด้วย แต่ตัวมันก็ไร้หนทางสื่อสารกับเจ้านายเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้มันฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก
ยามนี้เมื่อชายหนุ่มคนนั้นมอบกำไลให้กู้ซีจิ่วด้วยสีหน้าประหนึ่งมอบสมบัติล้ำค่าให้ กู้ซีจิ่วโบกมือไม่ยอมรับ ทว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับหัวรั้นยิ่งนัก ยืนยันจะมอบให้กู้ซีจิ่วให้ได้ แถมยังยัดใส่มือเธออย่างเอาเป็นเอาตายด้วย
นี่ทำให้หยกนภาฉุนเฉียวอย่างยิ่ง มันเปล่งแสงออกมาแวบหนึ่งทันที ลำแสงสีรุ้งพุ่งตรงไปที่กำไลหยกมันแพะวงนั้น!
ด้วยเหตุนี้ กำไลที่ตกทอดกันมาจากบรรพบุรุษวงนั้นจึงแตกเป็นเสี่ยงๆ…
ชายหนุ่มคนนั้นตกตะลึง
กู้ซีจิ่วก็นิ่งงัน
ชายหนุ่มคนนั้นแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความปวดใจ กู้ซีจิ่วรู้สึกผิด ด้วยหลักการที่ว่าทำของผู้อื่นเสียหายก็ต้องชดใช้ เธอจึงหยิบกำไลแก้วเคลือบสีวงหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของแล้วมอบให้ผู้อื่น
กำไลวงนั้นเธอซื้อมาเองจากเมืองบาดาลของชาวเงือก ที่เมืองบาดาลไม่นับว่าราคาอะไร แต่หลังจากนำขึ้นมาบนบกก็กลายเป็นของล้ำค่าหายาก ราคาสูงกว่ากำไลหยกมันแพะวงนั้นนิดหน่อย
เดิมทีชายหนุ่มคนนั้นไม่อยากรับไว้ แต่ต่อมาไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ ยื่นมือมารับไว้ กล่าวอย่างปราโมช “ของขวัญที่แม่นางกู้มอบให้ผู้แซ่หยางย่อมต้องรับไว้ เป็นดั่ง…เป็นดั่งเครื่องยืนยันไมตรีอย่างหนึ่ง…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย เธอเอากำไลคืนมาได้ไหมนะ?
กำไลประเภทนี้ที่เมืองบาดาลราคาวงละห้าไข่มุก ในถุงเก็บของของกู้ซีจิ่วบรรจุไว้ถึงสี่สิบห้าสิบวง เดิมทีวางแผนว่าจะซื้อกลับมาให้เหล่าสหายของตน และได้ส่งมอบออกไปแล้วสองสามวง ในถุงยังเหลืออีกกว่าสี่สิบวง ดังนั้นเธอจึงนำส่วนหนึ่งมาแบ่งปันที่นี่
หลังจากกู้ซีจิ่วมอบกำไลให้ชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มคนนั้นเก็บไว้อย่างดีหนึ่งวัน สุดท้ายก็อดไม่ไหวจริงๆ สวมไปโอ้อวดจนทั่วอย่างปรีดา ผลคือทุกคนต่างสวมกำไลที่คล้ายคลึงกับเขากันคนละวง…
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มคนนั้นจึงห่อเหี่ยว
ถึงแม้นิสัยของกู้ซีจิ่วจะเย็นชาไปบ้าง แต่ของเพียงไม่ล่วงเกินเธอ คนอย่างเธอก็ค่อนข้างอยู่ร่วมด้วยง่าย ผ่านไปถึงสามวัน เธอก็เข้ากับผู้คนที่นี่ได้แล้ว กลมกลืนไปกับพวกเขา
เนื่องจากกู้ซีจิ่วสงสัยว่าคุณชายวัยหนุ่มผู้นั้นจะเป็นกู้เทียนนั่วพี่ชายของเธอ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามเรื่องราวของเขาให้มากหน่อย
จากการพูดคุยกับคนเหล่านั้น เธอจึงทราบว่าคุณชายวัยหนุ่มผู้นี้นามว่าหลัวจั่นอวี่ ทุกคนที่นี่ล้วนเรียกขานเขาอย่างเคารพว่าคุณชายจั่นอวี่
เขามาที่นี่เมื่อสิบห้าปีก่อน ตอนที่มาเป็นเด็กน้อยอายุประมาณสิบขวบคนหนึ่ง จำไม่ได้ว่าตนชื่อแซ่อะไร และจำไม่ได้ว่าตัวเขามาที่นี่ได้อย่างไร เงียบขรึมไม่พูดไม่จา ถามไปสิบประโยคไม่ตอบเลยสักประโยค
ทุกคนย่อมเอื้ออาทรต่อเด็กน้อย และเนื่องจากเด้กคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านพลังวิญาณ ทุกคนจึงสอนวรยุทธ์ให้เขาอย่างเต็มอกเต็มใจยิ่ง
เนื่องจากเขาเงียบขรึมพูดน้อย ยามนั้นทุกคนจึงเรียกเขาว่าอาโม่ (เจ้าเงียบ)
ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ เขาก็สดใสขึ้น บอกว่าตัวเองชื่อหลัวจั่นอวี่ ทุกคนต่างยินดียิ่งนักที่ในที่สุกเขาก็นึกเรื่องในอดีตออกแล้ว ผลคือเขาเพียงเอ่ยนามนี้ออกมาเท่านั้น เรื่องอื่นอย่างคงถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ท่าเดียวเช่นเดิม เพียงแต่วรยุทธ์ของเขาดั่งมีทวยเทพคอยเกื้อหนุน ซ้ำยังเรียนรู้วิชาแพทย์ได้เองโดยไร้อาจารย์ แถมยังทราบการจัดกระบวนทัพด้วย
ทุกคนรู้สึกว่าบางทีนี่สิถึงจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ตัวจริง เพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกมาเท่านั้น
วรยุทธ์ของเขาสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพาทุกคนต่อสู้ขับไล่สัตว์ร้ายให้ล่าถอยอยู่หลายครั้ง ทุกคนจึงค่อยๆ ยกให้เขาเป็นผู้นำ
….
เสียความทรงจำ สิบห้าปีก่อน อายุประมาณสิบขวบ…
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ในใจเงียบๆ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกู้เทียนนั่ว
ตอนที่กู้เทียนนั่วหนีเข้าป่าทมิฬอายุสิบเอ็ดขวบพอดี และหายสาบสูญไปเมื่อสิบห้าปีก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะรูปโฉมของเขาที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับร่างเดิมของเธอจริงๆ…
————————————————————————————-