ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1293+1294
บทที่ 1293 ไม่รู้ว่าห้องหอนั้นจะยังอยู่หรือไม่?
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบหลงซือเย่ที่นี่เธอเข้าไปแอบในพุ่มดอกไม้ตามสัญชาตญาณ
หลังจากแอบดีแล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้คนที่นี่มองไม่เห็นเธอ…
พวกหลงซือเย่ทั้งสองมองไม่เห็นเธอจริงๆ เดินผ่านหน้าพุ่มดอกไม้ที่เธอซ่อนอยู่ไปเลย ไม่หันมามองเลยสักแวบ
เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มีเรื่องในใจ ระหว่างเดินก็ไม่คุยกันเท่าไหร่ เดินผ่านไปเช่นนี้เลย
บรรยากาศของทั้งวังค้ำนภาเงียบเหงาวังเวงยิ่ง แตกต่างจากความคึกคักตอนกู้ซีจิ่วมาเมื่อหลายวันก่อนลิบลับ
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ระหว่างนี้ก็มีคนอีกมากมายเดินผ่านเธอไปอย่างเร่งรีบ ยังคงไม่มีใครมองเธอเลยสักแวบ
นี่ตนอยู่ในความฝันหรือว่าถอดวิญญาณมากันแน่?
กู้ซีจิ่วเองก็ชักจะงุนงงขึ้นมาบ้างแล้ว เธอจำได้ว่าตนดื่มสุราอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น ต่อมาก็กลับเรือนแล้วหลับไป แล้วทำไมจู่ๆ ถึงแล่นมาที่นี่ได้ล่ะ?
เธอมองไปรอบๆ ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ
โถงพิธีรื้อแล้ว แพรมงคลแกะแล้ว ไม่รู้ว่าห้องหอนั้นจะยังอยู่หรือไม่?
บางทีอาจกลับสู่สภาพเดิมแล้วกระมัง?
เสียดายแค่เธอยังไม่ได้เห็นการตกแต่งในนั้นก็…
ความคิดเธอเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ ก็พบว่าร่างของตนอยู่ในห้องหอสีแดงชาดแล้ว
เธอตะลึงไปหลายวินาที เพ่งพินิจรอบข้างอย่างอดไม่ได้
การตกแต่งภายในห้องหอประณีตงดงาม เหนือล้ำกว่าจินตนาการของเธอ
มีเครื่องเรือนไม้ที่ดูเรียบง่ายงามสง่า ไม้ชนิดนั้นเธอไม่เคยพบเห็นในป่ามาก่อน มีลายสีดำที่งดงามยิ่ง ภายใต้แสงสะท้อนของมุกราตรีที่อยู่บนโต๊ะลวดลายดูราวกับคลื่นวารีรินไหล
ตรงทางเข้าเป็นฉากกั้นลมทิวทัศน์ขุนเขาสายธารบานหนึ่ง บนฉากกั้นลมเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเพียงภาพวาด แต่กลับมีมิติยิ่ง แฝงไอวิญญาณคล้ายขุนเขาสายธารของจริง หมอกล่องลอยยู่ในอากาศ ทำให้คนมองแวบเดียวก็ดื่มด่ำลืมทุกข์ ราวกับอีกก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่ขุนเขาเขียวขจีธาราสีหยกได้แล้ว
ใต้เท้าปูพรมสีแดงเข้มผืนใหญ่ ทว่าสีแดงนั้นไม่ฉูดฉาด พรมอ่อนนุ่มดุจเมฆา เมื่อคนเหยียบย่างจะเสมือนย่ำอยู่บนเมฆาแดง
บนโต๊ะเล็กมีเปลือกหอยแก้วผลึกอยู่อันหนึ่ง ในเปลือกหอยมีมุกราตรีสีชมพูระเรื่อทอแสงสลัวๆ อยู่ เพิ่มบรรยากาศฟุ้งๆ เหมือนห้วงฝันให้แก่ทั้งห้อง
ในห้องนี้สิ่งที่สะดุดตาที่สุดยังคงเป็นเตียงมงคลหลังนั้น มีขนาดใหญ่กว่าเตียงคู่แบบปกติถึงสองเท่า ถึงแม้ม่านเตียงจะเป็นสีแดงเข้มเช่นกัน ก็พลิ้วบางล่องลอยสลัวเลือนราง บางครั้งเมื่อสายลมโชยผ่าน ม่านเตียงที่เสมือนเมฆาแดงนั้นก็จะโบกไสวขึ้นลง บนม่านเตียงที่เสมือนเมฆาแดงมีพู่ระย้าอยู่ พู่ระย้าใช้ไข่มุกที่มีขนาดเล็กเสมอกันมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน กลายเป็นลวดลายยวนยางเคล้าคลอ
กู้ซีจิ่วก้าวไปที่เตียงหลังนั้นช้าๆ เธอจำเตียงหลังนี้ได้ ตี้ฝูอีเคยวาดภาพตัวอย่างของเตียงหลังนี้ในอาณาจักรบาดาลของชาวเงือกเพื่อสั่งทำ ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้เห็นของจริงแล้ว
กระดานเตียงเป็นหยกสีแดงอมชมพูกึ่งโปร่งแสงชนิดหนึ่ง ด้านบนฉลุลายเมฆาอย่างประณีต ทั้งเตียงให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่งแก่ผู้คน
เธอยืนอย่างค่อนข้างเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เพราะการสั่งทำเตียงหลังนี้ เธอกับเขาจึงถกเถียงกันอยู่นานสองนาน ตอนนั้นเธอบอกว่าอยากได้เตียงธารา ผลคือเขาบอกว่าเขาจะสั่งทำเตียงที่ใช้ประโยชน์ได้จริงที่สุด…
ยามนี้ดูแล้วงดงามมากจริงๆ…
หัวใจปานจมดิ่งลงไป เธอยื่นมือไปอย่างอดใจไม่อยู่อยากเลิกม่านเตียงออก อยากมองสภาพด้านใน แต่พอยื่นมือออกไปกลับพบเพียงความว่างเปล่า ฝ่ามือทะลุผานม่านเตียงไป ตัวเธอก็ถลาไปด้านหน้า ถลาลงบนเตียง พุ่งใส่ฟูกที่อ่อนนุ่ม ซ้ำยังกลิ้งอยู่ยนนั้นหลายตลบด้วย…
เธอทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้ามองเครื่องนอนใต้ร่างตน
ผ้าห่มใยเงือกลายยวนยางเริงธารา ฟูกผ้าไหมลายมัจฉาแหวกว่ายระหว่างใบบัว ลายเส้นละเอียด เนื้อผ้าอ่อนนุ่ม นุ่มนวลดั่งสายน้ำ อบอุ่นดุจปุยเมฆ
————————————————————————————-
บทที่ 1294 หาใช่หมกมุ่น แต่เป็นความคำนึงที่ซึมลึกถึงกระดูก
เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญ ย่อมทราบว่าข้าวของในห้องนี้ล้วนเป็นของชั้นเลิศ ตี้ฝูอีผู้นี้ให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบ ข้าวของที่เขารังสรรค์เรียกได้ว่าไร้ที่ติ
เครื่องนอนปูไว้อย่างดี มีผ้านวมเพียงผืนเดียว ชัดเจนยิ่งนัก ในคืนวิวาห์ เดิมทีบ่าวสาวก็ต้องห่มผ้านวมผืนเดียวกันอยู่แล้ว
หากว่าเธอไม่ได้หนีงานแต่ง ยามนี้เธอคงนั่งอยู่หน้าเตียง รอเขามาเปิดผ้าคลุม คล้องแขนดื่มสุรา จากนั้น…
ยื่นมือไปหมายจะสัมผัสผ้านวมใต้ร่างอย่างห้ามใจไม่อยู่ วลีหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในสมอง…ผ้านวมแดงพลิกตลบ
มือเธอยังสัมผัสไม่ถูกผ้านวม ก็ลอยขึ้นมาแล้ว ติดอยู่บนยอดม่าน มองเห็นทุกอย่างใต้ร่าง ในใจงุนงงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
ขณะที่เธอใจลอยอยู่ ทันใดนั้นบานประตูก็มีเสียงแว่วขึ้นเบาๆ คนผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามา
เธอมองออกไปนอกม่านเตียงทันที หัวใจพลันเต้นกระหน่ำขึ้นมา
ผู้ที่เข้ามาคือตี้ฝูอี
เขาสวมชุดเจ้าบ่าวอย่างเป็นทางการ อาภรณ์สีแดงเข้มลากระพื้น ขับให้ดวงหน้าเขากระจ่างดั่งหยก
กู้ซีจิ่วเคยเห็นเขาใส่ชุดม่วงบ้าง ชุดขาวบ้าง น้อยนักที่จะได้เห็นเขาสวมชุดแดง หลงนึกว่าเขาไม่ค่อยเข้ากับสีนี้เท่าไหร่ ที่แท้เมื่อเขาสวมอาภรณ์แดงก็ดูสดใสทรงเสน่ห์ถึงเพียงนี้ สูงศักดิ์ไร้ใดเทียม
กู้ซีจิ่วมองเขาที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวเต็มยศ ประหลาดใจอยู่บ้าง งานแต่งยกเลิกไปแล้ว เขายังสวมชุดเจ้าบ่าวเช่นนี้อีกทำไม?
หลังจากตี้ฝูอีเข้าก็ไม่ได้พบเห็นเธอที่ซ่อนอยู่บนยอดม่าน เขานั่งลงบนเตียงทันที จ้องมองกาสุราชุดหนึ่งบนโต๊ะอย่างเหม่อยลอยสายตาของกู้ซีจิ่วร่อนลงบนกาสุราชุดนั้น นึกออกในทันใดว่ากาสุราชุดนี้เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเธอปรารถนา ยามนั้นตี้ฝูอียังอยู่ในฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างๆ เธอ ยังหยอกเธอเล่นอยู่เลยว่าหากเธอชอบกาสุราชุดนี้ก็ให้หมั้นหมายกับตี้ฝูอี ให้เขาจะมอบกาสุราชุดนี้ให้เป็นของหมั้น
อดีตดั่งเมฆหมอกเลื่อนลอย วาบขึ้นมาในใจเธอ และทำให้หัวใจของเธอบีบรัดในทันใด
เธอแปะอยู่ตรงนั้นเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง มองเขาอย่างเลื่อนลอย ในใจดั่งมีระลอกคลื่นซัดถาโถม
มีคนกล่าวไว้ว่าสิบปีพลัดพรากแยกจากเป็นตาย แต่เธอกับเขาแยกจากกันเพียงสิบวันเท่านั้น ทว่าความรู้สึกเธอกลับเสมือนแยกจากกันนานสิบปี…
หาใช่หมกมุ่น แต่เป็นความคำนึงที่ซึมลึกถึงกระดูก[1]
ทราบว่านี่คือความฝัน ทราบว่าเขามองไม่เห็นตน ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงเพ่งพิศพินิจเขาอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง
ความจริงแล้วเธอทราบว่าตนสมควรจะจากไป ในเมื่อชะตาลิขิตให้ไร้วาสนา ไยจะต้องต้องพัวพันยืดเยื้อไปให้มากความ ในเมื่อตัดขาดทุกอย่างกับเขาแล้ว ก็ไม่ควรจะละโมบในการมองเขาอีกต่อไป
แต่ทราบก็ส่วนทราบ จะทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เธอแปะอยู่ตรงนั้นสองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ ยังคงหักใจจากไปไม่ลง
สุดท้ายก็ได้ปลอบใจตัวเอง อย่างไรเสียนี่เป็นความฝัน เธอจะมองเขาให้มากหน่อยแล้วกัน!
เมื่อตื่นจากฝันเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับทุกสิ่งในความเป็นจริงแล้ว
ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานยิ่ง ทำให้กู้ซีจิ่วแทบจะนึกว่าเขานั่งจนกลายเป็นรูปปั้นไปเสียแล้ว นั่งไปตราบฟ้าสิ้นดินสลาย!
โชคดีที่ในที่สุดเขาก็ขยับแล้ว เขายื่นมือไปหยิบกาสุราใบนั้น ตั้งจอกสองใบให้ดี จากนั้นก็รินสุราใส่จอกจนเต็มเปี่ยม หยิบจอกใบหนึ่งขึ้นมา บอกไปที่ด้านตรงข้ามแล้วยิ้มบางๆ “กู้ซีจิ่ว เจ้าไม่มีทางรู้ ว่าข้าตั้งตารอคอยช่วงเวลานี้มาเนิ่นนานนัก…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน ตรงหัวใจคล้ายถูกสิ่งใดดึงทึ้ง ความเจ็บปวดเหลือคณาลุกลามอยู่ในทรวงอก
เธอก็เคยตั้งตารอช่วงเวลานี้ยิ่งนักเช่นกัน
คืนเข้าเรือนหอ มิใช่มีเพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ตั้งตารอ ฝ่ายหญิงก็ตั้งตารอเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อแต่งให้กับคนที่ตนชมชอบ ยิ่งตั้งตารอมากขึ้นไปอีก
อันที่จริงเธอไม่มีนิสัยเหนียมอาย เมื่อเล่นพลิกผ้าห่มกับคนรัก เช่นนั้นก็ควรจะดุเดือดบ้าคลั่งจนสุดขีดมิใช่หรือ?
————————————————————————————-
[1] เป็นท่อนหนึ่งจากบทกวีของมหากวีซูตงพัว