ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1337+1338
บทที่ 1337 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 6
ตี้ฝูอี ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้น
เขาปรากฏตัวขึ้นในอากาศท่ามกลางความว่างเปล่า เบื้องหลังคือร่มเงาของต้นไม้สีเขียวเข้ม เขาสวมชุดขาวยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเทพที่เหาะเหินอยู่บนเมฆา ไอพลังรอบกายแผ่ไพศาล ราวกับถ้ามองเขามากไปสักแวบจะเป็นการหยามหมิ่นเอาได้ แรงกดดันที่ทรงพลังทำให้เหล่าสัตว์ร้ายกลั้นหายใจเช่นกัน…
คนทั้งหลายล้วนตะลึงงัน ศาตราวุธในมือที่ฟาดฟันอยู่หยุดลงโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าหายใจแรงไปชั่วขณะ
เคราะห์ดีที่เหยี่ยวนิลกาฬสองตัวนั้นไม่รู้ว่าถูกแรงกดดันอันทรงพลังของเขาสะกดข่ม หรือว่าถูกเสีงขลุ่ยปัดเป่าไอพยาบาททั้งหมดไปแล้ว จึงส่ายโงนเงนเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวาอยู่ตรงนั้นดั่งเมามายก็มิปาน โซซัดโซเซอยู่บนพื้น
ฝูงนกที่บินอยู่บนฟ้า เหล่าสัตว์ที่วิ่งอยู่บนพื้น เดิมทีไอพยาบาทบนร่างเข้มข้นยิ่งนัก นัยน์ตาแดงฉานปานโลหิต ท่าทีดุร้ายยิ่งนัก แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การกำราบของเสียงขลุ่ย จิตใจของพวกมันก็ราวกับถูกสายลมกระจ่างปัดเป่าให้ได้สติ นิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง นัยน์ตาแดงฉานค่อยๆ กลับเป็นปกติ
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ฝูงนกและเหล่าสัตว์ถูกเหยี่ยวนิลกาฬควบคุม ยามนี้พอได้สติกลับมาย่อมไม่เข้าร่วมการปิดล้อมโจมตีอีกต่อไป
ฝูงนกบินวนรอบตี้ฝูอีรอบหนึ่ง แล้วกระพือปีกจากไป
ฝูงสัตว์ก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึงประหนึ่งบูชา พยักเพยิดศีรษะให้ตี้ฝูอีที่อยู่บนฟากฟ้าไม่หยุดเสมือนพวกมนุษย์ยามกราบกราน จากนั้นก็หันหลังวิ่งไปทางภูเขาด้านหลัง…
….
เวลาผ่านพ้นไปชั่วระยะหนึ่งถ้วยชา ฝูงนกและฝูงสัตว์ร้ายล้วนหายไปแล้ว
แม้แต่เหยี่ยวนิลกาฬสองตัวล้มปวกเปียกอยู่ตรงนั้น พวกมันคิดจะหยัดกายขึ้นแล้วหลบหนี แต่ก็ถูกเสียงขลุ่ยสะกดไว้ บนร่างเริ่มมีไอดำผุดออกมาเป็นระลอก ร่างกายของพวกมันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็หดเป็นก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งแน่นิ่งไปแล้ว เมื่อสายลมพัดพา ร่างกายของพวกมันก็สลายเป็นเถ้าปลิวกระจัดกระจายไป
ฉากนี้น่าตกตะลึงเกินไป เดิมทีฝูงชนสิ้นหวังกันถ้วนหน้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเกิดช่วงเวลานี้ขึ้น
ทุกคนเงยหน้ามองตี้ฝูอีที่ยืนอยู่กลางอากาศดึงสติกลับมาไม่ได้ชั่วขณะ นี่สิถึงจะใช่เขา สูงส่งเหนือปวงชน ลึกลับอัศจรรย์ปานเทพเซียน ดังเทพเจ้าที่ก้มมองเหล่ามนุษย์
ตี้ฝูอีในรูปแบบนี้พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพียงรู้สึกได้รางๆ ไอพลังบนร่างเขาคล้ายจะแตกต่างไปจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่พวกเขาเคยพบในกาลก่อน แน่นอนว่าแตกต่างไปจากตี้ฝูอีที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าพวกเขาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสภาพจนตรอกยิ่งนักด้วย…
บุคลิกเช่นนี้ของเขาทำให้คนอยากสักการะบูชายิ่งนัก กราบกรานลงไปโดยไม่คิดเลย
มีคนหมอบกราบลงไปแล้วจริงๆ ทำลงไปอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
กู้ซีจิ่วก็มองเขาอยู่เช่นกัน หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจห้ามปรามได้
ความคิดที่หนึ่ง ‘ในที่สุดเขาก็ออกมาแล้ว แถมยังออกมาก่อนกำหนดตั้งหนึ่งวัน!’
ความคิดที่สอง ‘ไม่น่าเชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆ พลังยุทธ์ของเขาจะฟื้นฟูได้ถึงเพียงนี้!’
ความคิดที่สาม ‘วรยุทธ์ที่เขาสำแดงออกมาเป็นของเทพศักดิ์สิทธิ์! ท่วงทำนองสีรุ้งที่หลั่งรินคือหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด’
หรือเขาคิดจะเผยฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาที่นี่?!
ขณะที่กู้ซีจิ่วค่อนข้างเหม่อลอย เขาก็ร่อนลงยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ถึงทำให้สติสติของเธอกลับคืนมา “ท่าน…พลังยุทธ์ของท่านกลับเป็นปกติแล้วหรือ?”
มุมปากตี้ฝูอียกขึ้นเล็กน้อย ร่างกายพลันส่ายโอนเอน มือข้างหนึ่งเกาะไหล่เธอไว้ “ยังหรอก ฝืนเอาเท่านั้น”
น้ำหนักทั้งหมดของเขาแทบจะกดทับบนร่างของกู้ซีจิ่ว เขากระซิบประโยคหนึ่งข้างหูเธอ “เด็กน้อย ข้าใช้แรงไปหมดแลว ยามนี้ค่อนข้างอ่อนแอ…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
ฝูงชนก็เงียบงันเช่นกัน
จู่ๆ เจ้าหอยยักษ์ก็มุดออกมาจากต้นไม้ยักษ์เสียงดังสวบ หมุนไปรอบๆ กู้ซีจิ่วอย่างยินดีปรีดารอบหนึ่ง อ้าฝาแล้วโอ้อวด “เจ้านายๆ ข้าทะลวงขั้นแล้ว!”
มันทะลวงขั้นแล้วจริงๆ เปลือกที่เดิมทีเป็นสีดำตุ่นๆ กลายเป็นห้าสีแล้ว รอบกายคล้ายจะส่องประกายระยิบระยับ
มันทะลวงขั้นแล้วจริงๆ เป็นขั้นแปด!
———————————————————–
บทที่ 1338 ความจริง
หมู่บ้านขนาดใหญ่ถูกทำลายจนเละเทะ กระท่อมของทุกคนส่วนใหญ่ล้วนถูกพังจนมีสภาพไม่ต่างกัน ยุ่งเหยิงไปทั่วแห่งหน
เพียงแต่ ครั้งนี้ทุกคนรอดพ้นจากความตายมาได้ สามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว สร้างบ้านเรือนขึ้นมาใหม่ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อย
เนื่องจากมีคนบาดเจ็บไม่น้อย บาดแผลที่ได้รับก็เป็นบาดแผลประหลาดที่มีวัชพืชมุดออกมาจากปากแผล มองแล้วทำให้หัวใจคนหนาวสะท้าน
บาดแผลเช่นนี้กู้ซีจิ่วก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน โชคดีที่ตี้ฝูอีเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง เขาหยิบโอสถออกมาสองสามเม็ดสั่งให้นำไปละลายน้ำ แล้วใช้คนใช้น้ำชนิดนี้ชำระล้างบาดแผล จะว่าไปก็แปลก วัชพืชที่งอกออกมาจากบาดแผลของคนเหล่านั้นเดิมทีเขียวชอุ่มปานทุ่งหญ้า แตะโดนเล็กน้อยก็จะเจ็บปวดคันคะเยอไปถึงหัวใจ ไม่อาจสัมผัสแตะต้องได้ แต่หลังจากใช้น้ำยาชนิดนี้ทาลงไป ‘วัชพืช’ เหล่านั้นก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาร่วงโรย กลายเป็นไอดำสลายหายไป เผยให้เห็นเนื้อหนังที่แท้จริงด้านใน…
ภัยพิบัติครั้งนี้สูญเสียประชากรไปทั้งสิ้นหกคน บาดเจ็บอีกกว่าหนึ่งโหล ถึงแม้จะมีผู้เสียชีวิตหนักหนาที่สุดครั้งหนึ่ง แต่ก็ดีกว่าถูกกวาดล้างกันทั้งบางมากนัก
ฝูงชนทั้งโศกศัลย์ทั้งยินดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดเริ่มสร้างบ้านใหม่อีกครั้ง
ทัศนคติที่ทุกคนมีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายซับซ้อนยิ่งนัก เคยชิงชังรังเกียจเป็นที่สุด แต่ครานี้เป็นเพราะการปรากฏตัวของเขาถึงช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้ ดังนั้นความเกลียดก็ดีความชังก็ช่าง ทั้งหมดสลายหายไปดั่งหมอกควัน
ดังนั้นยามที่พวกเขาสร้างบ้าน จึงช่วยกันสร้างบ้านให้เขาด้วยตัวเองหลังหนึ่ง งดงามเช่นเดียวกับหลังนั้นของกู้ซีจิ่ว
ในการฟื้นฟูบ้านเรือนทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่นอกเหนือจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว แทบทั้งหมดล้วนมีส่วนในการก่อสร้างบ้านเรือนอย่างขะมักเขม้น
แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วกับหลัวจั่นอวี่ก็ยุ่งง่วนกับการรักษาผู้คน…
ส่วนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเตร็ดเตร่อยู่รอบๆ คล้ายกำลังคำนวณอะไรอยู่
เนื่องจากครั้งนี้บ้านเรือนถูกพังยับเยิน คิดจะก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสี่วัน
ทุกคนยุ่งกันอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงสร้างบ้านเรือนเสร็จสิ้นไปครึ่งหนึ่ง นำผู้บาดเจ็บทั้งหมดเข้าพักฟื้นในที่ปลอดภัยแล้ว
ยามนี้ทุกคนย่อมเหนื่อยล้ากันเป็นธรรมดา นอกจากผู้ที่รับหน้าที่เฝ้ายาม คนที่เหลือล้วนกลับไปนอนรวมกันที่เรือน นอกจากคู่สามีภรรยาแล้ว ทุกคนที่เหลือล้วนนอนรวมกันสามสี่คน
เนื่องจากทูตสวรรค์ฝ่ายกับกู้ซีจิ่วเป็นที่เคารพ เรือนของพวกเขาจึงได้รับการซ่อมแซ่มเป็นอันดับแรก
กู้ซีจิ่วก็อ่อนล้าเช่นกัน เธอก็อยากกลับเรือนไปนอนก่อนสักงีบแล้วค่อยว่ากัน เพิ่งจะก้าวเข้าเรือนไปก็พบตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้น
เขายังคงสวมเสื้อคลุมสีขาวนวลจันทร์ตัวนั้น เกศาดำดั่งน้ำหมึก ยามที่นั่งอยู่ตรงนั้นกู้ซีจิ่วรู้สึกว่ากระท่อมหลังนี้ของตนให้ทิวทัศน์ดั่งภาพวาดน้ำหมึกขึ้นมาในชั่วพริบตา
หัวใจเธอเต้นแรงเล็กน้อย หลุดปากโพล่งออกไปประโยคหนึ่ง “ท่านสวมชุดนี้ ไม่กลัวฐานะของท่านจะเปิดเผยหรือ?”
เขากำลังชงชาสำหรับดื่มอยู่ตรงนั้นอย่างคุ้นเคย มือยุ่งสาละวนปานเมฆเคลื่อนคล้อยวารีไหลริน ทว่าปากยังไม่ลืมที่จะเอ่ยตอบเธอ “โง่งม พวกเขายังไม่เคยพบตัวข้าผู้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์เลย แล้วจะมองออกได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นการมองเสื้อผ้าแล้วระบุตัวคนก็ออกจะสุกเอาเผากินเกินไปหน่อยกระมัง?”
กู้ซีจิ่วจึงกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่ดูจากเสื้อผ้าเท่านั้นหรอก ดูจากกระบวนท่าที่ท่านสำแดงเมื่อครู่ก็มองออกได้”
ตี้ฝูอีเริ่มแยกชาแล้ว “ผู้ที่เคยเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์สำแดงกระบวนท่าทั้งแผ่นดินนี้มีอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน ในกาลก่อนเจ้าเด็กเมื่อวานซืนพวกนี้ไม่มีวาสนาพอได้เห็นข้าลงมือหรอก”
เด็กเมื่อวานซืน..
กู้ซีจิ่วอดขำไม่ได้ จงใจเอ่ยว่า “นี่ก็ใช่ คนเหล่านี้ถ้านับกันตามอายุแล้ว เป็นชนรุ่นหลังของชนรุ่นหลังท่านอีกทีจริงๆ พวกเขาล้วนสมควรเรียกขานท่านว่าท่านปู่ ท่านเรียกพวกเขาว่าเด็กเมื่อวานซืนก็ไม่นับว่าเกินไป ดูเหมือนว่าข้าก็เป็นเด็กเมื่อวานซืนเช่นกัน ข้าอายุน้อยกว่าพวกเขาอีกนะ!”
มือของตี้ฝูอีที่กำลังแยกชาชะงักทันที เงยหน้ามองเธอแวบหนึ่งด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ดังนั้นข้าจึงเรียกเจ้าว่าเด็กน้อยอย่างไรเล่า”
—————————————————————-