ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1362 (6)+1363 (1)
บทที่ 1362 พูดไปพูดมาไม่พ้นร่วมหอ (6)
ตี้ฝูอีรั้งนางเข้ามานั่งในอ้อมแขนตน “ซีจิ่ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด อันที่จริงนี่ก็เป็นชะตาฟ้าลิขิตเหมือนกัน หากไม่ใช่เจ้าหนีมาเช่นนี้ ก็คงหาพี่ชายของเจ้าไม่พบใช่ไหมล่ะ? อีกอย่างข้าก็ยังมีชีวิตปลอดภัยดี เรื่องราวก็ไม่นับว่าดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้ายลง…”
“แต่ท่านถูกขังไว้ที่นี่ด้วย ยังไม่รู้เลยว่าจะถูกขังไปอีกนานเท่าไหร่ ท่านคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง ถูกขังไว้ในสถานที่เช่นนี้ ด้านนอกไม่มีท่านนั่งบัญชาการ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร” นี่เป็นปมที่อยู่ในใจของกู้ซีจิ่ว ซึ่งไม่เคยบอกกล่าวออกมาเลย ยามนี้ทนไม่ไหวแล้วจึงพูดออกมา
“วางใจเถอะ พวกเราจะต้องออกไปได้ในไม่ช้าก็เร็ว” เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริงข้าก็น่าจะตีความลิขิตสวรรค์นั้นได้แล้ว ขอเพียงบรรลุเงื่อนไขได้เรื่องที่พวกเราจะไปได้ก็ง่ายดายยิ่งนัก”
ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกายทันที “ท่านตีความได้แล้วหรือ? ต้องการเงื่อนไขใด?”
“ขั้นเก้าเก้าคน คนที่เป็นผู้นำจะต้องเป็นสตรี พลังวิญญาณต้องบรรลุขั้นสิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน” ตี้ฝูอีสรุปเงื่อนไขที่ต้องบรรลุภายในไม่กี่ประโยค
กู้ซีจิ่วตะลึงเล็กน้อย ยามนี้ในบรรดาคนเหล่านี้ มีเพียงตี้ฝูอีกับหลัวจั่นอวี่ที่บรรลุขั้นเก้า คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนเตร็ดเตร่อยู่ที่ขั้นแปดขั้นเก้าทั้งสิ้น ตอนนี้คนที่บรรลุขั้นแปดนับรวมเธอแล้วก็เป็นเจ็ดคน คนที่บรรลุขั้นแปดตอนกลางจนถึงขั้นเก้ารวมแล้วสามคน ที่เหลือเพิ่งจะบรรลุขั้นแปดเท่านั้น
อย่างที่ทราบกันดี การทะลวงจากขั้นแปดไปสู่ขั้นเก้ายากเย็นพอๆ กับปีนขึ้นสวรรค์ คนมากมายที่บรรลุขั้นแปดแล้วฝึกฝนต่ออีกห้าสิบหกสิบปีก็ยังไม่แน่ว่าจะทะลวงขึ้นสู่อีกขั้นได้
หากขั้นแปดไม่กี่คนนี้อยากทะลวงสู่ขั้นเก้าเกรงว่าใช้เวลาอีกสิบยี่สิบปีก็ยังบรรลุไม่ได้
ผู้นำต้องเป็นสตรี หากไม่ผิดจากที่คิดไว้ คนที่ว่านั้นก็คือตัวเธอกู้ซีจิ่ว
ตอนนี้เธอเพิ่งบรรลุขั้นแปด ไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ปีกี่เดือนถึงจะทะลวงขั้นเก้าได้ ให้เธอทะลวงสู่ขั้นสิบนั่นมิใช่ว่าแสนริบหรี่หรอกหรือ?
ยังมีอีก ผู้คนที่นี่ล้วนอยากออกไปจริงๆ ทุกคนร่วมหัวจมท้ายกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้หากว่าออกไปได้เพียงเก้าคน เช่นนั้นคนที่เหลือจะทำยังไงล่ะ? เกรงว่าพวกเขาจะสิ้นหวังเอา!
ความจริงข้อนี้หากว่าตี้ฝูอีกล่าวออกมา เกรงว่าจะก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นได้…
เธอค่อนข้างใจลอย ทว่าตี้ฝูอีราวกับอ่านความคิดเธอออก ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว เป็นผู้นำต้องรู้จักคัดสรร ไม่อาจใจอ่อนเยี่ยงอิสตรีได้…”
————————————————————————————-
บทที่ 1363 ราวกับมีประสบการณ์โชกโชน (1)
กู้ซีจิ่วย่อมเข้าใจหลักการนี้ดี แต่ว่า…
ช่วงนี้ตี้ฝูอีมักจะชอบปลูกฝังหลักการจัดการของนักปกครองให้เธอ ทำให้เธอรู้สึกขบขันอยู่บ้าง ความจริงคนอย่างเธอไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อย ไม่ต้องการปกครองโลกใบนี้ เธอแค่อยากมีชีวิตที่มีความสุข มีอิสระเสรี กระบี่ในมือมีไว้เพื่อปกป้องคนที่อยากปกป้องเท่านั้น ไม่ได้สนใจตำแหน่งอันสูงส่งเสียเท่าไร…
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้ว่าท่านเป็นนักปกครอง มีปรัชญาชีวิตของผู้ปกครอง แต่ข้าไม่ใช่และก็ไม่ได้อยากเป็นนักปกครองอะไร ข้าเล่าเรียนวรยุทธ์เพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องคนรักและมิตรสหายข้างกายข้า เพียงหวังว่าสหายของข้าจะมีชีวิตที่ดี…”
ตี้ฝูอีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง สบสายตาล้ำลึกของเธอ กู้ซีจิ่วถูกเขามองจนขนลุกขนพอง “มองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุอันใด? ข้าพูดอะไรผิดงั้นหรือ?”
“ซีจิ่ว ความจริงแล้ว…” ตี้ฝูอีเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดพลางยิ้ม “เจ้านี่นะ อย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา ความจริงเรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากทำก็ไม่ทำ และก็ไม่ใช่ว่าอยากทำแล้วจะสำเร็จได้ ข้าก็เคยเป็นเช่นเจ้ามาก่อน…”
เขาแน่นิ่งไปอีก ทอดถอนใจ “ช่างเถิด วันนี้พูดถึงเรื่องนี้ทำให้เสียบรรยากาศ ต่อไปเจ้าก็จะเข้าใจเอง…และข้าก็ไม่จำเป็นต้องสั่งสอนเจ้าเช่นนี้”
กู้ซีจิ่วอดยิ้มไม่ได้ กอดแขนเขาไว้ “ท่านสั่งสอนสาวกจนติดเป็นนิสัยแล้วใช่หรือไม่? เลยมาสั่งสอนข้าเหมือนข้าเป็นสาวกท่าน?”
ตี้ฝูอียิ้ม “เด็กโง่ ข้าแค่อยากให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น จะได้ไม่เสียเปรียบในภายภาคหน้า”
กู้ซีจิ่วเอนศีรษะซบไหล่เขา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านเอ่ยคำหวานไม่เป็นจริงๆ”
“หืม?”
“ข้าจำได้ว่าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อบุรุษรักใคร่สตรีจะพูดว่า ‘มีข้าอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่ง’ น่าประทับใจมากใช่ไหมล่ะ?”
ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง
กู้ซีจิ่วหอมแก้มเขาหนึ่งครา “ท่านพูดเช่นนี้กับข้าบ้างสิ”
“นี่กำลังออดอ้อนข้าหรือ?” ตี้ฝูอีโอบเอวนาง
สายตากู้ซีจิ่ววาบไหวจ้องมองเขา “พูดสิๆ เอาใจข้าหน่อย”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า เจ้าสอนข้าพูด ข้าพูดแล้วเจ้าจะรู้สึกอันใดหรือ?”
กู้ซีจิ่วเอ่ย “รู้สึกสิ ข้าชอบฟัง ท่านพูดให้ข้าฟังหน่อย ถ้าไม่พูดคืนนี้ไม่ร่วมหอ!”
“ขี้โกง!” แววตาตี้ฝูอีลึกล้ำ ริมฝีปากกลับโค้งยิ้มอันตราย “ไม่ร่วมหอ? เจ้าหักห้ามใจได้หรือ?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “มีอะไรหักห้ามใจไม่ได้?”
ริมฝีปากตี้ฝูอีแนบชิดใบหูนาง “เจ้าไม่กลัวข้าอกแตกตายหรือไร?”
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองส่วนล่างเขาแวบหนึ่ง เขาสวมใส่ชุดหลวมโคร่ง ย่อมมองไม่เห็นสิ่งใด เธอโอบคอเขาพลางพูดข้างหู “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านอดทนมาตั้งหลายปีก็ไม่เห็นจะอกแตกตาย ยามนี้ไยจะอกแตกตายได้? มิเช่นนั้น หลายพันปีมานี้ท่านใช้ชีวิตผ่านมาได้อย่างไร?”
ลมหายใจของเธอรินรดข้างใบหูเขา ตอนนี้เธอเหมือนนางมารร้ายที่มีเสน่ห์เย้ายวน เย้าหยอกใจคนให้คันยุบยิบ
ดวงตาตี้ฝูอีล้ำลึกดั่งน้ำวน “ก่อนหน้านี้…ยังไม่เคยได้กินเนื้อ…”
เมื่อใดได้กินเนื้อ ได้ลิ้มรสชาติอันแสนวิเศษนั้นแล้ว หากมองเห็นคนรักอีก เขาจะหักห้ามใจได้อย่างไร? และเขาก็ไม่อยากหักห้ามใจด้วย!
กู้ซีจิ่วยังอยากพูดอะไรอีก แต่ตี้ฝูอีไม่อยากคุยกับนางแล้ว!
เขาเพิ่งได้ลิ้มรสเนื้อก็ถูกบังคับให้อดกลั้นเป็นเวลาครึ่งเดือน วันนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าหอ เขาพานางมาที่นี่ไม่ใช่มาพูดคุยเป็นเพื่อนนาง!
ดังนั้นเขาจึงสะบัดชายเสื้อ เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพลันพร่ามัว ร่างกายเย็นวาบ คล้ายมีน้ำอุ่นชำระล้างผ่านกาย ยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกเขาคร่อมอยู่บนเตียงเมฆาหลังนั้นแล้ว…
————————————————————–