ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1377+1378 (1)
บทที่ 1377 ทว่าไม่อาจหวนกลับไปได้แล้ว…
หลังจากเล่อเสี่ยวถงเลิกรากับเขาก็ย้ายเรือนทันที ตอนนี้อาศัยอยู่ที่โรงหมอ
เมื่อได้เห็นภรรยาที่เคยอยู่ร่วมกันในวันวานอีกครั้ง หัวใจเขาก็เต้นแรงเล็กน้อย ทั้งอับอายทั้งค่อนข้างคาดหวัง…
เขาคิดว่านางเคยรักเขาถึงเพียงนั้น สตรีที่คอยล้างเท้าให้เขาบีบนวดให้เขาอยู่ทุกวันเมื่อเห็นเขาบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้จะต้องปวดใจเป็นแน่ ในอดีตเมื่อเขากลับบ้านมาต่อให้บนแขนเป็นถลอกเล็กๆ นางก็จะกระวนกระวายอยู่เนิ่นนาน…
ความกระวนกระวายของนางในยามนั้นเพียงทำให้เขารู้สึกเอือมระอา รู้สึกว่านางหาทางควบคุมเขา ยามนี้กลับอยากเห็นเพียงแววตาปวดใจของนาง…
แต่เขาต้องผิดหวังแล้ว!
เล่อเสี่ยวถงมองเขาที่โชกเลือดไปทั้งตัวราวกับเม่น ไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง เพียงเรียกให้ลูกมือของตนเข้ามาจัดการ
ลูกมือของนางคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในสองคนที่เพิ่งเข้ามาที่นี่ รู้วิชาแพทย์เล็กน้อย จึงได้เป็นผู้ช่วยของเล่อเสี่ยวถงพอดี
ลูกมือคนนี้ไม่ชมชอบพูดคุย แต่จัดการเรื่องราวได้คล่องแคล่วยิ่งนัก ด้านวิชาแพทย์เคยได้รับการชี้แนะจากกู้ซีจิ่วมาเล็กน้อยเช่นกัน เล่อเสี่ยวถงก็รับเขาไว้อย่างยินดี ปกติแล้วทั้งสองทำงานเข้าขากันดียิ่งนัก
ยามนั้นโจวเทียนชื่อต้องการให้เล่อเสี่ยวถงถอดใจไป จึงหาเรื่องทะเลาะกับเล่อเสี่ยวถงเป็นประจำ ในคำพูดมักจะพาดพิงว่าระหว่างเล่อเสี่ยวถงกับผู้ช่วยคนนั้นคลุมเครือกันอยู่บ้าง ทำให้เล่อเสี่ยวถงโมโหจนร้องไห้อยู่หลายครั้ง ซ้ำยังเพราะเหตุนี้จึงไม่ร่วมงานกับผู้ช่วยคนนี้อีก เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา
แต่ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงข้อครหาแล้วก็ไม่อาจดึงรั้งจิตใจของคนที่เจตนาจะหาเรื่องทะเลาะให้กลับมาได้ ดังนั้นหลังจากเล่อเสี่ยวถงทราบความคิดที่แท้จริงของโจวเทียนชื่อ นางก็ค่อยๆ สิ้นหวัง จากที่พยายามรั้งความสัมพันธ์ไว้ก็ค่อยๆ ปล่อยวางอย่างสมบูรณ์…
จากหัวใจที่อบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา…
โจวเทียนชื่ออยากให้เล่อเสี่ยวถงมาจัดการด้วยตัวเอง ไม่ต้องการให้ลูกมือคนนี้มาช่วย ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธการรักษาอย่างเจ้าอารมณ์ ปากร้องต้องการเพียงเล่อเสี่ยวถง มิเช่นนั้นเขายอมปล่อยให้เลือดไหลจนตายอยู่ที่นี่…
ผลคือ…เขาเสียเลือดจนสลบไป หวิดจะสูญเสียชีวิตน้อยๆ ไปด้วย เล่อเสี่ยวถงก็ไม่มามองเขาอีกเลยสักแวบ
ความรักใคร่ผูกพันกว่าสิบปีของสามีภรรยาสิ้นสุดลงตรงนี้อย่างสิ้นเชิง…
และในที่สุดเขาก็ทราบแล้ว เมื่อสตรีดุดันขึ้นมา จะห้าวหาญยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก เมื่อนางตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกนั่นคือก็เลิกจริงๆ!
อย่าว่าแต่คำสาบานที่เขาปฏิญาณออกมาตรงนั้นเลย ต่อให้เขาไม่เอ่ยสาบาน นับตั้งแต่วินาทีที่เขาลงนามบนหนังสือหย่าร่างและให้นางลงชื่อ ระหว่างเขากับนางก็จบสิ้นกันแล้ว!
สำนึกได้เมื่อสายไปแล้วจวบจนยามนี้ถึงได้รู้ซึ้ง ทว่าไม่อาจหวนกลับไปได้แล้ว…
….
ยามที่พวกกู้ซีจิ่วออกไปได้ก็ร่วงลงบนยอดเขาที่แปด
บนยอดเขาที่แปดผนึกสัตว์ร้ายบรรพกาลจำนวนหนึ่งไว้ ทุกตัวล้วนเป็นตะเกียงที่ไม่ขาดน้ำมัน หากไม่มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปจนใช้วิชาเร้นกายแบบพิเศษได้ พวกเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการไล่ล่าโจมตีของสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้จริงๆ…
ระหว่างทางพวกเขาเคยเห็นเถาอู้[1]เดินทอดน่องอยู่ริมแม่น้ำ เคยเห็นนกเท้าแดง เคยเห็นฮุ่นตุ้น[2]…
แต่ละตัวหากว่าหลุดออกไปเพียงพอจะก่อหายนะให้โลกนี้ได้เลย!
ทุกคนล้วนกลั้นลมหายใจปกปิดกลิ่นอายตามที่กู้ซีจิ่วชี้แนะ จัดแถวเป็นขบวนค่ายรูปแบบพิเศษ ใช้วิชาเร้นกายแล้วเหินทะยานออกสู่ภายนอก…
วิชาเร้นกายมีมีเวลาจำกัด ทุกครั้งใช้ได้ประมาณหนึ่งเค่อเท่านั้น เคราะห์ดีที่ทุกครั้งยามวิชาเร้นกายของทุกคนจะสิ้นฤทธิ์ กู้ซีจิ่วล้วนใช้พลังวิญญาณถักทอม่านกำบังสีเขียววาววามผืนหนึ่งขึ้น ให้ทุกคนเผยตัวในม่านกำบังหลังจากพักผ่อนกันครู่หนึ่ง ค่อยใช้วิชาเร้นกายเดินทางต่อ
ม่านกำบังชนิดนี้สัตว์ร้ายเหล่านั้นมองไม่เห็น และปิดกั้นกลิ่นอายทั้งหมดได้ ทำให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นติดตามร่องรอยไม่ได้
เดินทางในยอดเขาที่แปดด้วยวิธีนี้อยู่หนึ่งชั่วยามเต็ม ทุกคนถึงได้เหินทะยานมาถึงพรมแดนระหว่างยอดเขาที่เจ็ดกับยอดเขาที่แปดได้
ขอเพียงข้ามกลับไปยังยอดเขาที่เจ็ดได้ ทุกคนก็ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว และนับว่าหนีออกมาได้อย่างแท้จริง!
————————————————————————————-
บทที่ 1378 สงบใจไว้ เจ้าทำได้! (1)
เห็นได้ชัดว่าการสร้างม่านกำบังสีเขียวนี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก หลังจากกู้ซีจิ่วมาถึงพรมแดนนี้ ก็ค่อนข้างเหนื่อยล้า เธอเอนตัวพิงร่างตี้ฝูอี “ท่านเปิดเขตแดนของที่นี่ให้หน่อยได้หรือไม่? ข้าค่อนข้างเหนื่อย…”
ตี้ฝูอีมองดวงหน้าน้อยๆ ที่ค่อนข้างซีดขาวอยู่บ้างของนาง การเดินทางนี้นางเป็นผู้เหนื่อยยากที่สุดโดยแท้ เป็นทัพหน้าเบิกทาง หากว่าเป็นตัวเขาที่ทำเรื่องนี้ก็คงรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน นับประสาอะไรกับนางที่เพิ่งบรรลุขั้นสิบ?
เขากุมมือน้อยเล็กๆ ข้างหนึ่งของนางไว้ “เช่นนั้นพวกเราพักผ่อนที่นี่ก่อนเถอะ มา ข้าจะช่วยนวดคลายเส้นให้เจ้า”
พลางดึงมือเธอให้นั่งลง นวดหลังให้เธอ บีบนวดมือเท้า…
อันที่จริงคนอื่นๆ ก็เหนื่อยล้ายิ่งนักเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าดินแดนของยอดเขาที่แปดแห่งนี้แตกต่างจากโลกภายนอก มีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าที่อื่นนับร้อยเท่า ยามที่ขยับเยื้อนเคลื่อนไหวล้วนหนักอึ้งปานภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง หากว่าผู้ที่มีพลังวิญญาณต่ำต้อยมาที่นี่ ไม่ต้องถึงสัตว์ร้ายมาโจมตีหรอก ด้วยแรงโน้มถ่วงในร่างตนก็สามารถกดทับตัวเองให้ล้มคว่ำได้แล้ว
ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ วิ่งสิบลี้ยังเหนื่อยกว่าวิ่งร้อยลี้เสียอีก การวิ่งหนึ่งชั่วยามกินแรงยิ่งกว่าการวิ่งสิบชั่วยามนัก!
ทุกคนเพียงแค่วิ่งตามพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองเท่านั้น ระหว่างทางไม่ได้ออกแรงอันใดเลย แต่ละคนกลับเหงื่อนผุดพราย กระดูกปวดร้าวราวกับมิใช่กระดูกตน
นับประสาอะไรกับกู้ซีจิ่วที่เป็นผู้นำทางเล่า?
ทุกคนวิ่งไปจนทั่วที่นี่แล้ว ถึงได้ทราบว่าสรุปแล้วยอดเขาที่แปดแห่งนี้มีสัตว์ร้ายอยู่เท่าใด ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากว่าพวกเขาทำลายเขตแดนของตาค่ายแห่งนั้นได้ ก็ไม่มีทางหนีรอดจากยอดเขาที่แปดได้! เกรงว่าพอทำลายเขตแดนได้ก็ต้องประสบกับหายนะทันที!
ตลอดการเดินทางนี้กู้ซีจิ่วเป็นผู้เลือกเฟ้นเส้นทาง ชี้นำทุกคนว่าต้องจัดขบวนอย่างไร ต้องซ่อนเร้นกลิ่นอายบนร่างอย่างไร…
แทบทุกอย่างล้วนเป็นแผนการที่กู้ซีจิ่วจัดเตรียมขึ้นเพียงผู้เดียว ส่วนตี้ฝูอีเป็นเหมือนผู้ติดตามของเธอเท่านั้น เพียงคอยอยู่เคียงข้างเธอ บีบนวดให้เธอบ้างอะไรทำนองนั้น ภาระอย่างอื่นเขาไม่ได้ช่วยเหลือเลย
ระยะเวลาแปดปีที่อยู่ในตาค่ายก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นทุกคนจึงเคยชินกับการเชื่อฟังกู้ซีจิ่วไปแล้ว เชื่อฟังเธอทุกอย่าง ความเคารพนับถือในตัวเธอทวีขึ้นทุกวัน
เพิกเฉยต่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้ลึกลับซับซ้อนคนนี้จนเคยชินแล้ว อย่าไปล่วงเกินเขาเป็นพอ ที่เหลือจะอย่างไรก็ได้
ยามนี้ทุกคนพากันหาก้อนหินหาขอนไม้แล้วนั่งลง พักผ่อนอย่างแข่งกับเวลา
เนื่องจากกู้ซีจิ่วบอกไว้แล้ว เขตแดนของยอดเขาที่แปดไม่สามารถทำลายได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเปิดช่องทางแล้วออกไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น การเปิดทางนี้ยากเย็นแสนเข็ญนัก ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจลงมือพร้อมกัน
ทักษะการบีบนวดของตี้ฝูอีเป็นมืออาชีพยิ่งนัก ประกอบกับระหว่างที่กำลงบีบนวดอยู่เขาลอบถ่ายทอดพลังวิญญาณบบางส่วนให้เธอด้วย กู้ซีจิ่วจึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เธอเอนกายซบอกเขาเสียเลย ส่งกระแสเสียงถามเขา ‘ท่านกำลังฝึกฝนข้าอยู่ใช่ไหม’
ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ ‘เจ้าไม่อยากเป็นนกน้อยที่ซุกอยู่ใต้ปีกข้า อยากโบยบินเคียงข้างข้ามิใช่หรือ? อยากเคียงข้างข้าย่อมต้องมีความสามารถกล้าแกร่ง…’
กู้ซีจิ่วเม้มปาก ‘แต่ว่า…แต่ว่ายามที่พายุโหมกระหน่ำจนข้าเหนื่อยล้า ข้าก็อยากพึ่งพิงสักหน่อยนี่นา!’
ตี้ฝูอีโอบเธอไว้ในอ้อมแขน ‘อืม ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นที่พึ่งพิงให้เจ้าอยู่หรือไง?’
กู้ซีจิ่วเถียงไม่ออกแล้ว
เจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ด้านข้างทนดูไม่ได้ “ข้าว่านะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง ยามนี้ไม่ว่าเรื่องใดท่านล้วนให้เจ้านายของบ้านข้ารับผิดชอบ ท่านเหมือนตาเฒ่าที่เอาแต่รอคว้าผลสำเร็จอย่างเดียวน่าละอายเกินไปแล้ว! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าความสามารถของท่านสูงส่งกว่านาง แต่ปล่อยให้นางเป็นผู้นำอยู่ตลอด อันตรายใดๆ ล้วนให้นางแบกรับด้วยตัวเอง…ท่านดูสามีภรรยาของบ้านอื่นสิ เมื่อมีอันตรายล้วนเป็นบุรุษที่พุ่งออกมา ปกป้องสตรีไว้ข้างกาย เช่นนั้นสิถึงจะสมเป็นชายชาตรีของแท้! อย่างท่านนี่…เฮอะ แม้แต่ข้าก็ทนดูไม่ได้เช่นกัน!”
————————————————————————————-
[1] เถาอู้ เป็นสัตวร้ายในตำนานโบราณของชาวจีน รูปร่างเหมือนพยัคฆ์และมีขนยาวแบบสุนัข หน้าตาคล้ายมนุษย์ เท้าเหมือนพยัคฆ์ เขี้ยวเหมือนหมูป่า หางยาวหนึ่งจั้งแปดฉื่อ เป็นใหญ่ทางฝั่งตะวันตก
[2] ฮุ่นตุ้น เป็นสัตว์ร้ายในตำนานโบราณอีกตัวหนึ่งของชาวจีน รูปร่างอ้วนกลม มีสีแดงดุจเปลวเพลิง มีปีกสี่ปีก มีขาหกขา แม้จะไม่มีใบหน้า แต่มีความสามารถรู้แจ้งในดนตรีสังคีต